Saturator
เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่เราใช้ในการผสมไอสารที่ปรกติเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องเข้ากับแก๊สพาหะ
ในการใช้งานนั้นเราจะทำการผ่านแก๊สพาหะลงไปใต้ผิวของเหลวที่ต้องการระเหย
การปรับปริมาณ (ความเข้มข้น)
ของสารในแก๊สพาหะทำโดยการปรับอุณหภูมิการระเหย
ถ้าต้องการความเข้มข้นสูงก็จะใช้อุณหภูมิสูง
ถ้าต้องการความเข้มข้นต่ำก็จะใช้อุณหภูมิต่ำ
ในกลุ่มของเรานั้นมี
saturator
ใช้อยู่สองชนิด
ชนิดแรกที่เราใช้กันมากที่สุดคือที่เป็นโลหะที่เราออกแบบทำขึ้นเอง
(รูปที่
๑)
ตัวนี้ที่ผ่านมาไม่มีปัญหาใด
ๆ ยกเว้นเกิดการรั่วเนื่องจากประเก็นฉีกขาด
ซึ่งเราก็ได้แก้ไขด้วยการออกแบบไปแล้ว
อีกตัวหนึ่งที่เรามีใช้แต่ไม่ค่อยใช้กัน
แต่กลุ่มอื่นใช้กันมากกว่าคือที่ทำจากแก้ว
(รูปที่
๒)
รูปที่
๑ Saturator
แบบโลหะที่กลุ่มเราทำขึ้นใช้เอง
ฝาปิดใช้นอตยึดโดยมี o-ring
กันการรั่วซึม
เดิมใช้ในการระเหย phthalic
anhydride และ
maleic
anhydride แต่ตอนนี้ถูกนำไปใช้ในการระเหยน้ำของระบบ
DeNOx
รูปที่
๒ Saturator
แบบแก้วที่สองชิ้นส่วนประกบเข้าด้วยกันด้วยข้อต่อที่เรียกว่า
ground
joint
ตัวนี้ทั้งส่วนท่อนำแก๊สเข้าออกและส่วนลำตัวบรรจุของเหลวไม่มีเงี่ยงสำหรับให้สปริงเกี่ยวยึด
Saturator
ที่ทำจากแก้วนั้นมีชิ้นส่วนอยู่
๒ ชิ้น ชิ้นล่างเป็นส่วนลำตัวที่เป็นที่บรรจุของเหลว
ชิ้นบนเป็นฝาปิดที่มีท่อให้แก๊สไหลเข้า
(ปลายท่อนี้จุ่มอยู่ใต้ผิวของเหลว)
และท่อให้แก๊สไหลออก
(ที่ช่องทางออกควรอยู่สูงกว่าผิวเหลว
มากพอ
เพื่อป้องกันไม่ให้หยดของเหลวที่ลอยขึ้นมาพร้อมกับฟองแก๊ส
(ที่เรียกว่าเกิดการ
carry
over) ไหลออกไปกับแก๊สที่ไหลออกจาก
saturator
ชิ้นส่วนทั้งสองชิ้นประกบเข้าด้วยกันด้วยข้อต่อเครื่องแก้วทั่วไป
(ที่เรียกว่า
ground
joint) บริเวณผิวสัมผัสของ
ground
joint มักจะมีการทาจารบี
(หรือ
grease
ซึ่งต้องเลือกชนิดที่ไม่ทำให้สารที่อยู่ใน
saturator
เกิดการปนเปื้อนได้
ปรกติที่ใช้กันในแลปเป็นพวก
silicone
grease) เพื่อให้สามารถทำการสวม-ถอดได้ง่าย
และยังเป็นการปิดการรั่วซึมตามพื้นผิวที่ไม่เรียบของเครื่องแก้วด้วย
นอกจากนี้ส่วนลำตัวและส่วนฝาปิดอาจมีเงี่ยงอยู่
(รูปที่
๓)
เงี่ยงดังกล่าวมีไว้สำหรับเกี่ยวสปริงยึดเพื่อดึงให้ส่วนลำตัวและส่วนฝาปิดยึดปิดสนิทเข้าด้วยกัน
แรงดึงยึดดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับความตึงของสปริงที่ใช้
บางรายก็กลัวว่าสปริงจะคลายตัวทำให้เกิดการรั่วไหลได้
ก็เลยเอาลวดทองแดงพันยึดไว้แทน
รูปที่
๓
เงี่ยงที่ใช้สำหรับเกี่ยวสปริงเพื่อยึดชิ้นส่วนสองชิ้นเข้าด้วยกัน
(ตรงลูกศรสีแดงชี้)
รูปนี้ถ่ายมาจาก
saturator
ของระบบ
in
situ IR
ตรงนี้ต้องขอกล่าวไว้นิดนึงว่า
ปรกติในการใช้งานนั้นเรามักจะสมมุติว่าความดันไอเหนือผิวของเหลวจะเป็นความดันไอสมดุล
ณ อุณหภูมิที่ทำการระเหยนั้น
ในกรณีที่อัตราการไหลของแก๊สพาหะไม่สูง
ความดันไอของของเหลวที่อยู่ในแก๊สที่ไหลออกจาก
saturator
จะไม่ขึ้นอยู่กับอัตราการไหลของแก๊สพาหะ
แต่ถ้าอัตราการไหลของแก๊สพาหะสูงมากเมื่อเทียบกับขนาดของ
saturator
ความดันไอของของเหลวในแก๊สพาหะก็จะต่ำกว่าความดันไอสมดุล
ณ อุณหภูมินั้น ยิ่งแก๊สพาหะไหลเร็วเท่าไร
ความแตกต่างระหว่างความดันไอสมดุลกับค่าความดันไอที่ได้จริงก็จะมากขึ้นเรื่อย
ๆ
ดังนั้นในกรณีที่คิดว่าจะเกิดปัญหาในย่อหน้าข้างต้น
ก็มีการออกแบบโดยการใช้
saturator
2 ตัวต่ออนุกรมกัน
(ดูรูปที่
๔)
โดย
saturator
ตัวแรกจะระเหยสารที่อุณหภูมิที่เท่ากับหรือสูงกว่าอุณหภูมิความดันไอของสารที่ต้องการ
และ saturator
ตัวที่สองจะระเหยสารที่อุณหภูมิที่เท่ากับอุณหภูมิความดันไอของสารที่ต้องการ
ซึ่งการออกแบบเช่นนี้จะช่วยลดความแตกต่างระหว่างค่าความดันไอที่ต้องการและค่าความดันไอ
ณ อุณหภูมิที่ทำการระเหย
ในกรณีที่ saturator
ตัวแรกระเหยสารที่อุณหภูมิที่สูงกว่าอุณหภูมิค่าความดันไอสมดุลที่ต้องการ
ความดันไอของสารในแก๊สพาหะที่ออกจาก
saturator
ตัวแรกอาจจะสูงกว่า/เท่ากับหรือต่ำกว่าค่าความดันไอที่ต้องการ
แต่เมื่อแก๊สดังกล่าวไหลเข้า
saturator
ตัวที่สองที่ทำการระเหยสาร
ณ อุณหภูมิที่ให้ความดันไอที่ต้องการ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
(ก)
ถ้าแก๊สที่มาจาก
saturator
ตัวแรกนั้นมีความดันไอสูงกว่าความดันไอที่อุณหภูมิการทำงานของ
saturator
ตัวที่สอง
ไอส่วนเกินก็จะควบแน่นใน
saturator
ตัวที่สอง
ทำให้แก๊สที่ออกจาก saturator
ตัวที่สองมีค่าความดันไอที่ลดลงเข้าหาความดันไอสมดุล
ณ อุณหภูมิการระเหยของ
saturator
ตัวที่สอง
(ข)
ถ้าแก๊สที่มาจาก
saturator
ตัวแรกนั้นมีความดันไอเท่ากับความดันไอที่อุณหภูมิการทำงานของ
saturator
ตัวที่สอง
แก๊สที่ออกจาก saturator
ตัวที่สองก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นใด
ๆ และ
(ค)
ถ้าแก๊สที่มาจาก
saturator
ตัวแรกนั้นมีความดันไอต่ำกว่าความดันไอที่อุณหภูมิการทำงานของ
saturator
ตัวที่สอง
แก๊สที่ออกจาก saturator
ตัวที่สองก็จะมีความดันไอเพิ่มสูงขึ้นเข้าหาความดันไอสมดุล
ณ อุณหภูมิการทำงานของ
saturator
ตัวที่สอง
รูปที่
๔ (ซ้าย)
ระบบ
saturator
เดี่ยว
(ขวา)
ระบบ
saturator
คู่
โดยที่ตัว saturator
อาจทำการระเหยของเหลวที่บรรจุอยู่ภายในที่อุณหภูมิสูงกว่าหรืออุณหภูมิเดียวกันกับตัวที่สอง
โดยปรกติถ้าจะให้
saturator
ทำงานได้ดี
ระดับของเหลวที่ใช้เป็นตัวกลางนำความร้อน
(ที่ใช้เป็นประจำคือน้ำหรือน้ำมัน)
ควรที่จะอยู่สูงกว่าระดับของเหลวใน
saturator
เพื่อให้อุณหภูมิในส่วนที่เป็นแก๊สเหนือผิวของเหลวใน
saturator
มีอุณหภูมิเดียวกันกับของเหลวด้วย
เพราะด้านบนมักจะมีการสูญเสียความร้อนออกสู่อากาศด้านนอก
ดังนั้นถ้าเราไม่ให้แก๊สด้านบนร้อนด้วย
ไอระเหยจะควบแน่นตกกลับลงมาใหม่
ทำให้ความเข้มข้นของสารในแก๊สขาออกต่ำกว่าที่ต้องการจริง
เมื่อราวเที่ยงวันจันทร์ที่ผ่านมามีนิสิตรายหนึ่งจากกลุ่มหนึ่ง
(ที่ไม่ใช่กลุ่มเรา)
โทรมาปรึกษาเรื่อง
saturator
ที่ใช้ในการทดลองนั้นแตกระหว่างการใช้งานเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ระบบ
saturator
ที่เขาใช้นั้นเป็นระบบ
saturator
สองตัวต่ออนุกรมกัน
ตัวที่แตกเป็น saturator
ตัวแรก
แต่อุปกรณ์ที่เขาใช้ทำ
saturator
นั้นดัดแปลงมาจากฟลาสก์สามคอ
(รูปที่
๕)
โดยคอหนึ่งเป็นท่อสำหรับให้แก๊สไหลเข้า
อีกสองคอที่เหลือเป็นท่อสำหรับให้แก๊สไหลออกและวาล์วปิด-เปิดระบายแก๊สในฟลาสก์ออก
รูปที่
๕ ฟลาสก์สามคอชนิดที่นำมาใช้ทำเป็น
saturator
แล้วเกิดการ
"แตก"
สิ่งแรกที่ผมถามเขาเพื่อต้องการความชัดเจนคือ
ที่เขาบอกว่า “แตก” นั้น
มันเป็น (ก)
การแตกหัก
หรือการที่ (ข)
ส่วนลำตัวและส่วนฝาปิดแยกตัวออกจากกันระหว่างการใช้งาน
ถ้าเป็นกรณี
(ข)
ก็ต้องกลับไปดูว่าทำไมถึงไม่มีการยึด
หรือว่ามีการยึดแล้วแต่ความดันในระบบนั้นสูงเกินกว่าที่แรงยึดจะต้านเอาไว้ได้
แต่ที่ได้รับแจ้งกลับมาคือเป็นกรณี
(ก)
ในกรณี
(ก)
นี้มีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ
๑.
การแตกนั้นเกิดที่ความดันใช้งานปรกติ
หรือ
๒.
การแตกนั้นเกิดที่ความดัน
“สูงกว่า” ความดันใช้งานปรกติ
ในกรณีของการแตกที่เกิดขึ้นที่ความดันใช้งานปรกตินั้น
ก็ต้องไปดูว่าก่อนการใช้งาน
หรือระหว่างการใช้งาน
มีอะไรไปกระแทกให้ตัว
saturator
เกิดรอยร้าวหรือเปล่า
แล้วรอยร้าวนั้นขยายตัวจนทำให้ตัวเรือน
saturator
รับความดันไม่ไหวจึงแตกออก
แต่ถ้าเป็นกรณีที่ความดันใน
saturator
สูงกว่าความดันใช้งานปรกติ
ก็ต้องกลับมาพิจารณาดูสาเหตุที่ทำให้ความดันใน
saturator
สูงผิดปรกติ
ซึ่งอาจเกิดจาก
(ก)
ระบบจ่ายความดันให้กับ
saturator
จ่ายความดันตามปรกติ
แต่ทางด้านขาออกเกิดการอุดตัน/ไหลไม่สะดวก
ทำให้เกิดความดันสะสมใน
saturator
และ/หรือ
(ข)
ระบบจ่ายความดันให้กับ
saturator
จ่ายความดันสูงกว่าปรกติ
และด้านขาออกระบายความดันดังกล่าวไม่ทัน
ทำให้เกิดความดันสะสมใน
saturator
การที่ความดันด้านขาออกสูงกว่าปรกติก็ต้องไปดูสาเหตุต่าง
ๆ ที่คิดว่าทำให้เกิดได้
เช่นอาจเกิดจาก
การไม่ได้เปิดวาล์วด้านขาออก
การที่วาล์วขาออกเปิดไม่เต็มที่
การอุดตันในท่อขาออก
การที่ความดันของระบบด้านขาออกเพิ่มขึ้นสูงผิดปรกติ
เป็นต้น
จากการพูดคุยกับผู้ทำการทดลอง
ทำให้ทราบว่าความดันแก๊สที่จ่ายให้กับระบบนั้นน่าจะเป็นความดันปรกติ
(ประมาณ
1
barg) และระบบก็ไม่ได้มีการอุดตัน
ดังนั้นถ้าความดันในระบบเพิ่มสูงขึ้นผิดปรกติก็ไม่น่าจะมีสาเหตุมาจากแหล่งจ่ายแก๊ส
โชคดีที่ว่าส่วนใหญ่ของตัว
saturator
ตรงที่แตกนั้นอยู่ในน้ำที่ใช้เป็นตัวกลางให้ความร้อน
ทำให้ไม่มีเศษแก้วกระเด็นไปไกล
ผมสอบถามเขาว่าตัว
saturator
ที่นำมาใช้มีรอยร้าวอยู่ก่อนหรือเปล่า
ซึ่งเขาบอกว่าไม่มี
จึงต้องมาพิจารณาประเด็นถัดไปว่าทำไมความดันใน
saturator
จึงเพิ่มสูงขึ้นได้
saturator
ที่เขาใช้นั้นทำการระเหยเอทานอลที่อุณหภูมิประมาณ
70ºC
แก๊สพาหะที่เขาใช้ผ่านลงไปในเอทานอลที่เป็นของเหลวที่บรรจุอยู่ใน
saturator
นั้นเป็นแก๊สผสมระหว่าง
อาร์กอนกับออกซิเจน
โดยความเข้มข้นของออกซิเจนในแก๊สผสมที่เขาต้องการนั้นคือ
"50%"
explosive
limit ของเอทานอลในอากาศ
(ออกซิเจนเข้มข้น
21%)
คือ
3.3-19%
autoignition temperature มีค่าประมาณ
363ºC
แต่ถ้าความเข้มข้นของออกซิเจนในแก๊สนั้นสูงเกินกว่า
21%
การระเบิดจะเกิดได้ง่ายกว่าในอากาศมาก
แต่ที่แย่ก็คือฐานข้อมูลความง่ายในการระเบิดของสารเมื่อความเข้มข้นออกซิเจนสูงเกินกว่า
21%
มักจะไม่มี
ดังนั้นถ้าพิจารณาจากส่วนผสมของแก๊สใน
saturator
แล้ว
โอกาสที่จะเกิดระเบิดใน
saturator
ที่เขาใช้จึงสูงมากขึ้น
(แก๊สผสมที่มีออกซิเจน
50%
กับเอทานอลที่เป็นทั้งของเหลวและไอ)
แต่ก็ยังมีคำถามบางคำถามที่ยังค้างอยู่โดยที่ผมไม่มีคำตอบ
คำถามแรกก็คือที่อุณหภูมิการระเหยเอทานอลที่เขาใช้นั้นมันเพียงพอที่จะทำให้สารระเบิดเองได้หรือเปล่า
หรือมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย
คำถามที่สองก็คือถ้าสาเหตุที่ทำให้ฟลาสก์แตกออกคือการที่ความดันภายในฟลาสก์สูงมากเกินไป
แต่ทำไมตัว saturator
ถึงระเบิดออก
แทนที่จะเกิดการแยกตัวตรง
ground
joint ระหว่างส่วนลำตัวกับฝาปิด
ทั้ง ๆ
ที่บริเวณนี้ควรจะเป็นจุดอ่อนที่สุดถ้าหากความดันในระบบสูงมากเกินไป
ground
joint ชนิดที่เขาใช้เป็นชนิดที่ไม่มีเงี่ยงสำหรับให้สปริงเกี่ยวยึด
สิ่งที่เขาทำหลังการประกอบ
ground
joint
เข้าด้วยกันเอาเทฟลอนพันท่อพันปิดตรงรอยต่อเอาไว้เพื่อป้องกันการรั่วไหล
ซึ่งถ้าทำเช่นนี้ก็น่าไม่น่าจะทำให้การยึดกันของข้อต่อแน่นหนามากจนแรงดันแก๊สไม่สามารถดันให้หลุดออกจากกันได้
เว้นแต่ ground
joint จะยึดติดแน่นกันด้วยสาเหตุอื่น
ซึ่งการที่ ground
joint
ยึดติดแน่นนั้นอาจเกิดจากอุณหภูมิการใช้งานที่สูงจนทำให้จารบีหล่อลื่นแห้ง
หรือการที่ไม่ได้ทาจารบีหล่อลื่น
หรือตัวสารเคมีที่ใส่ลงไปในฟลาสก์นั้นทำให้ข้อต่อยึดติดกัน
หรือเกิดจากการที่ใช้สปริงหรือวัตถุอื่นยึดตรึงส่วนลำตัวและส่วนฝาปิดเอาไว้แน่นหนาเกินไป
อีกตำแหน่งที่เป็นจุดอ่อนคือข้อต่อท่อแก๊สไหลเข้าและไหลออก
โดยปรกติถ้าเป็น saturator
ที่ทำจากแก้วเรามักจะใช้ท่อพลาสติกเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างตัว
saturator
กับระบบท่อหลักของอุปกรณ์
(ซึ่งมักเป็นท่อโลหะ)
ในกรณีของเขานั้นเขาใช้เพียงสายยางซิลิโคนสวมเอาไว้เท่านั้น
โดยไม่มีการใช้อะไรมารัดสายยางให้ยึดแน่น
ตรงจุดต่อท่อสายยางนี้ก็เป็นจุดอ่อนอีกจุดหนึ่งที่น่าจะเกิดการหลุดออกก่อนที่ตัว
saturator
จะแตก
คำตอบที่คิดว่าอาจเป็นไปได้สำหรับคำถามที่สองก็คือ
การเพิ่มความดันนั้นเป็นการเพิ่มแบบกระทันหัน
(จากการระเบิด)
ไม่ใช่แบบค่อย
ๆ เพิ่มสูงมากขึ้น
ต้องนี้ต้องขอเตือนความจำเอาไว้หน่อยนะว่า
ที่ความหนาของภาชนะเท่ากัน
ยิ่งภาชนะมีขนาดใหญ่มากเท่าใดก็จะรับความดันได้ลดลง
ท่อขนาดเล็กที่เราใช้ในแลปมีผนังบางกว่าท่อใหญ่
แต่ท่อขนาดเล็กรับความดันได้สูงกว่าท่อใหญ่นะ
แม้ว่าจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน
แต่ผมก็ได้แนะนำให้ผู้ทำการทดลองทำการเปลี่ยนแปลงวิธีการทดลองบางส่วน
คือหลีกเลี่ยงการใช้แก๊สที่สามารถทำปฏิกิริยากับของเหลวที่บรรจุใน
saturator
มาเป็นแก๊สพาหะ
ในกรณีของเขาควรใช้แต่เพียงอาร์กอนระเหยเอทานอล
จากนั้นจึงค่อยผสมออกซิเจนเข้าไปทีหลัง
ซึ่งตอนที่ผสมออกซิเจนเข้ากับแก๊สผสม
(อาร์กอน
+
เอทานอล)
นั้นปริมาณเอทานอลจะต่ำกว่าปริมาณที่อยู่ใน
saturator
มาก
ตอนแรกเขาก็บอกว่าที่ผ่านมาก็ทำมาอย่างนี้
(ทำนองว่าก็ไม่เห็นมันเป็นอะไร)
ผมก็อธิบายเขาไปว่าการเกิดอุบัติเหตุนั้นเป็นเรื่องปรกติที่มันรอจังหวะและโอกาสว่าทุกอย่างประจวบเหมาะเมื่อไรก็จะเกิด
และสิ่งที่เขาปฏิบัตินั้นมันเหมือนกันทุกครั้งหรือไม่
มันเหมือนกับบางคนที่ขับรถแซงในที่คับขันในถนนที่ไม่ค่อยมีรถ
แล้วไม่เกิดอุบัติเหตุ
ทั้งนี้เพราะมันไม่มีรถสวนก็เลยรอดตัวไป
หรือไม่ก็มีรถสวนแต่อีกฝ่ายหนึ่งยอมหลบให้ก็เลยไม่เป็นไร
แต่ถ้ามีรถสวนเมื่อไรและเขาไม่สามารถหลบให้ได้ก็เป็นเรื่อง
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในแลปเราส่วนใหญ่ก็พูดกันว่าก่อนหน้านี้ก็ทำกันแบบนี้
แต่ก็ไม่เห็นเกิดเรื่องอะไร
ทำไมมันเพิ่งจะมาเกิดเอาตอนนี้
หลายครั้งที่พอตรวจสอบวิธีการทำงานกันแล้วปรากฏว่ามันไม่เหมือนเดิม
ล่าสุดก็คือกรณีของอุบัติเหตุจาก
syringe
pump ที่เขียนเล่าไปใน
memoir
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ซึ่งจะเห็นว่าขั้นตอนการล้างทำความสะอาด
line
ด้านขาออกนั้นหายไปจากวิธีปฏิบัติปัจจุบัน
เช่นในกรณีนี้ในการที่จะให้ได้แก๊สผสมที่มีออกซิเจน
50%
ถ้าเปิดอาร์กอนก่อน
ในฟลาสก์ก็จะเต็มไปด้วยอาร์กอนกับเอทานอล
(ปลอดภัยดีอยู่)
แต่พอเปิดให้ออกซิเจน
100%
ไหลเข้ามา
ความเข้มข้นของออกซิเจนในฟลาสก์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ (จากปลอดภัยเข้าสู่ระดับอันตราย)
แต่ถ้าเปิดให้ออกซิเจนเข้ามาก่อน
ในฟลาสก์จะเต็มไปด้วยแก๊สออกซิเจน
100%
ร่วมกับไอระเหยของเอทานอล
(ระดับอันตรายมาก)
ซึ่งความอันตรายนี้จะค่อย
ๆ ลดลง (แต่ยังอยู่ในระดับอันตรายอยู่ดี)
เมื่อมีอาร์กอนเข้ามาเจือจาง
แต่ที่ผ่านมามีการระบุไว้ในวิธีการทดลองหรือไม่ว่า
"ต้อง"
ทำอย่างไรก่อนหน้าหลัง
และห้าม "สลับ"
ขั้นตอนการทำงาน
อีกจุดหนึ่งของระบบดังกล่าวที่ผมคิดว่าควรต้องมีการดัดแปลง
คือระบบ tubing
ของเขานั้นมีการต่อท่อออกซิเจน
100%
ร่วมกับท่อไฮโดรเจน
(อันที่จริงผมก็ไม่ทราบนะว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่การระเบิดจะเกิดจากการที่มีไฮโดรเจนบางส่วนรั่วเข้าไปใน
saturator)
ในโรงงานที่เคยเดินท่อมานั้น
ในเครื่องปฏิกรณ์ที่เขาต้องใช้ทั้งไฮโดรเจนในการรีดิวซ์ตัวเร่งปฏิกิริยาและอากาศในการออกซิไดซ์ทำลายต้วเร่งปฏิกิริยา
เวลาจะเอาแก๊สตัวไหนเข้าเครื่องปฏิกรณ์เขาจะใช้วิธีต่อท่อแก๊สตัวนั้นเข้า
และปลดท่อแก๊สที่ไม่ต้องใช้ออก
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ท่ออากาศและท่อไฮโดรเจนมีการเชื่อมต่อกันทางกายภาพ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการไหลย้อนกลับในระบบท่อได้
(อย่าไว้วางใช้
check
valve ว่ามันทำหน้าที่ป้องกันการไหลย้อนกลับได้
100%
มันทำหน้าที่เพียงแค่ป้องกันไม่ให้เกิดการไหลย้อนกลับ
"ในปริมาณมาก"
มันไม่ได้รับประกันว่าจะไม่มีการไหลย้อนกลับ
"แบบรั่วซึม"
เอาไว้จะเขียนเรื่องนี้แยกเป็นเรื่องหนึ่งอีกที)
บันทึกฉบับนี้ไม่ได้สรุปว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานั้นเกิดจากอะไร
เพียงแต่ต้องการให้ตัวอย่างแนวทางในการพิจารณาว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วเราควรมองภาพให้กว้างที่สุดเท่าที่จะได้
อย่างเพิ่งด่วนสรุป
เพราะบางครั้งการเกิดนั้นเกิดจากสาเหตุหลายอย่างร่วมกันในเวลาเดียวกัน
(ไม่จำเป็นต้องเกิดจากสาเหตุเดียว)
และสาเหตุต่าง
ๆ ก็ไม่ได้มีจำกัดเพียงแค่ที่ผมเขียน
(ผมเขียนในเวลาจำกัดด้วยข้อมูลที่จำกัด)
พวกที่คุณที่อ่านอาจมองเห็นความเป็นไปได้อื่นนอกเหนือจากที่ผมเขียนก็ได้
และถ้าหากมีข้อมูลพิจารณาเพิ่มเติมก็อาจทำให้ได้ข้อสรุปที่แตกต่างไปจากนี้ก็ได้
ดังนั้นเวลานำไปปรับใช้กับเหตุการณ์อื่นก็ต้องพิจารณาด้วยว่าสาเหตุไหนที่ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้หรือเป็นไปได้เพิ่มเติมด้วย
สาเหตุสุดท้ายที่ผมคุยกับเขาเมื่อวานตอนเย็นก็คือ
ถ้าหากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มันไม่สามารถอธิบายได้
ก็คงต้องใช้เหตุผลเหนือวิทยาศาสร์
(ก็คือทางไสยศาสตร์นั่นแหละ)
เช่นมีมือที่มองไม่เห็น
(ด้วยตาเปล่า)
มาทำให้มันแตกหรือเปล่า
ดังนั้นจึงควรไปตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดดูด้วยว่าในขณะที่เกิดเหตุนั้นแน่ใจหรือเปล่าว่ามีเพียงแต่เขาอยู่ในห้องแลป
แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่ามีเขาเพียง
"คน"
เดียวอยู่ในห้องแลป
ซึ่งผมก็ไม่เถียงเพราะเขาเป็น
"คน"
แต่ไม่ได้หมายความว่าในห้องแลปจะมีแต่
"คน"
เพราะเรามักเห็นหรือได้ข่าวเป็นประจำเกี่ยวกับบุคคลที่ไม่มีใครมองเห็นแต่ชอบปรากฏตัวในภาพถ่าย
จะเรียกว่าพวกเขาเหล่านี้ว่าเป็นพวกบ้ากล้องได้หรือเปล่าเนี่ย
ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเชื่อว่าเขานั้นเป็น
"คน"