"บ่ายเกือบสามโมง
ที่เราโดดลงจากรถเมล์ประจำทางระหว่างกรุงเทพฯศรีราชา
มันเป็นการนับครั้งไม่ถ้วนที่คณะเรามาตากอากาศศรีราชาอย่างพร่ำเพรื่อ
เราทั้งหลายรับกระเป๋าเดินทางลงจากรถแล้ว
เตะแข้งเตะขาพอหายเมื่อย
แล้วก็หอบหิ้วกระเป๋าเดินเข้าทางเก่าที่เดินมาแล้วเสมอ
คือทางเข้าในบริเวณโรงงานป่าไม้ศรีราชา
และสิ่งประจำอีกอย่างคือ
ตะโกนทักขึ้นไปบนที่ทำการของบริษัท
บรรดาสหายทั้งหลายที่อยู่บนนั้นก็ตะโกนเอะอะลงมาตามเคย
ยกมือไหว้กันคนละทีสองที
โวยวายกันตามระเบียบ
แล้วก็ชักยืดเข้าภายในเขตบ้านพักหลังที่ทำการ
ด้วยจำนวนนักตากอากาศพร่ำเพรื่อเกือบ
๒๐ คน
.....
การตากอากาศของเราไม่มีการเล่นน้ำทะเล
เพราะรู้ว่าเล่นไม่ได้
ฉลามชุม
จึงโอละพ่อเป็นชมป่าแทนชมทะเล
อาศัยรถยนต์รางของผู้จัดการบริษัทเข้าไปตรวจงานในป่ายุบต้นทางของการตัดโค่นไม้
มีระยะทางไกลต้องค้างปลายทางหนึ่งคืน
แล้วก็ล่องกลับมาที่เดิม"
เนื้อหาข้างบนคัดมาจากนิยายเรื่อง
"แขกเมื่อค่อนคืน"
เขียนโดย
เหม เวชกร ผมเอามาจากหนังสือชุด
"ภูตผีปิศาจไทย
ตอน ใครอยู่ในอากาศ"
ซึ่งเป็นหนังสือเล่มที่
๕ ในชุดครบรอบ ๑๐๐ ปี เหม
เวชกร (ทั้งชุดมี
๕ เล่ม)
จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วิริยะ
ปีพ.ศ.
๒๕๔๗
เรื่อง "แขกเมื่อค่อนคืน"
นี้ทางสำนักพิมพ์วิริยะระบุไว้ปกหน้าว่าเป็นต้นฉบับที่เพิ่งค้นพบใหม่
และตอนท้ายของเรื่องก็ระบุด้วยว่าเรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกใน
แถบทอง ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑
ปักษ์หลัง ตุลาคม พ.ศ.
๒๔๙๑
จากนิยายดังกล่าวทำให้เรารู้ว่าในอดีตนั้นทะเลแถวศรีราชามีปลาฉลามชุม
ไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ
(ส่วนที่พัทยากับบางแสนที่อยู่ใกล้
ๆ กันไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง)
และมี
"รถยนต์ราง"
ของบริษัททำไม้วิ่งเข้าไปในป่า
รูปที่
๑ เล่มซ้ายคือหนังสือรวมเรื่องผีของ
เหม เวชกร (เล่มที่
๕)
ส่วนสองเล่มขวาเป็นหนังสือที่ชาวต่างชาติเขียนไว้
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินรถไฟในประเทศไทย
โดยเล่มสีน้ำเงินนั้นครอบคลุมไปถึงในเขตประเทศลาวและกัมพูชา
สองเล่มหลังนี้ได้มาจากศูนย์หนังสือจุฬาฯ
ที่ศาลาพระเกี้ยว (เล่มละพันกว่าบาท)
"รถยนต์ราง"
ที่กล่าวในนิยายดังกล่าวก็คือ
"รถไฟเล็กลากไม้"
ของบริษัทศรีมหาราชา
ซึ่งได้รับสัมปทานทำป่าไม้ในภาคตะวันออก
โดยนำไม้ในป่ามายังโรงเลื่อยที่
อ.
ศรีราชา
และมีการส่งลงเรือโดยนำไม้ไปลงเรือที่ท่าเรือเกาะลอย
ซึ่งเรื่องนี้เคยเอามาเล่าไว้ครั้งหนึ่งใน
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๓๖ วันศุกร์ที่
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
"ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๒ รถไฟเล็กลากไม้สายตะวันออก (ศรีราชา)"
เมื่อเดือนสิงหาคมไปได้หนังสือเกี่ยวกับประวัติการเดินรถไฟในประเทศไทยมา
๒ เล่ม ทั้งสองเล่มเขียนโดยชาวต่างชาติ
เล่มแรกคือ "The
Railway Atlas of Thailand, Laos and Cambodia" เขียนโดย
B.R.
Whyte (ปีค.ศ.
2010) ส่วนเล่มที่สองคือ
"The
Railways of Thailand" เขียนโดย
R.
Ramaer (ปีค.ศ.
2009) จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์
White
Lotus
หนังสือสองเล่มดังกล่าวผมไปเห็นวางขายในหมวดเอเซียศึกษาซึ่งเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ
ลองพลิกดูเห็นว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจก็เลยซื้อมาเก็บเอาไว้
โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับทางรถไฟของบ้านเราที่เคยมีในอดีต
แต่ในปัจจุบันหลายสายอาจจะไม่เหลือร่องรอยอะไรเอาไว้แล้ว
อาจเหลือเพียงเอกสารที่เคยกล่าวถึงในอดีตที่อาจไปซุกอยู่
ณ ซอกตู้แห่งใดแห่งหนึ่งที่รอคนไปขุดคุ้ยเอาออกมา
รูปหนึ่งที่น่าสนใจมากในหนังสือดังกล่าวคือรูปรถไฟเล็กลากไม้ศรีราชาขณะปฏิบัติงานที่เอามาแสดงให้ดูในรูปที่
๒
ที่น่าเสียดายก็คือไม่มีข้อมูลที่จะระบุได้ว่ารูปดังกล่าวถ่ายโดยใคร
เมื่อไร และสถานที่แห่งใด
ในภาพจะเห็นหัวรถจักรกำลังลากไม้ท่อนที่ตัดเอาไว้แล้วทางรางด้านขวา
ส่วนรางทางด้านซ้ายก็เป็นไม้ท่อนที่วางบนตัวรถพร้อมรอการลากจูง
รูปที่
๒ รถไฟเล็กลากไม้ศรีราชาขณะปฏิบัติหน้าที่
จากหนังสือ The
Railway Atlas of Thailand, Laos and Cambodia โดย
B.R.
Whyte สำนักพิมพ์
Whits
Lotus ปีค.ศ.
2010
อีกรูปคือรูปแผนที่เส้นทางรถไฟ
(รูปที่
๓)
รูปนี้แสดงเส้นทางรถไฟเฉพาะด้าน
อ.
ศรีราชา
ทำให้ไม่รู้ว่าปลายทางด้านตะวันตกนั้นไปสิ้นสุดที่ใด
แต่ก็แสดงให้เห็นว่ามีการแยกเส้นทางไปสองทาง
เส้นทางที่ขึ้นเหนือนั้นดูเหมือนว่าจะโฉบไปทางด้านทิศตะวันออกของอ่างเก็บน้ำบางพระในปัจจุบัน
และในตำแหน่งที่เป็นอ่างเก็บน้ำบางพระในปัจจุบันนั้น
สมัยก่อนจะเป็นบ่อน้ำร้อนและบ่อน้ำเย็น
ซึ่งในขณะนี้ทั้งสองบ่อจมอยู่ใต้น้ำของอ่างเก็บน้ำบางพระแล้ว
(ในกรอบสี่เหลี่ยมเหลือง)
รูปที่
๓ แผนที่เส้นทางรถไฟเล็กลากไม้สายตะวันออก
จากหนังสือ จากหนังสือ The
Railway Atlas of Thailand, Laos and Cambodia โดย
B.R.
Whyte สำนักพิมพ์
Whits
Lotus ปีค.ศ.
2010 ในแผนที่ดังกล่าวยังปรากฏบ่อน้ำร้อนและบ่อน้ำเย็น
ซึ่งปัจจุบันจมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำบางพระ
คำบรรยายภาพบอกว่าแผนที่นี้เป็นสมัยปีค.ศ.
1929-30 (พ.ศ.
2472-2473) พิมพ์ค.ศ.
1941 (พ.ศ.
2484)
ในแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา
กำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ตำบลบางพระ
อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
พ.ศ.
๒๔๙๗
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๗๑ ตอนที่ ๗๑ วันที่ ๒
พฤศจิกายน ๒๔๙๗ (รูปที่
๔)
ยังปรากฏเส้นทางรถไฟดังกล่าวจากศรีราชา
ไปยังบ้านหนองอีบู่ และบ้านหนองค้อ
แต่ทางรถไฟที่แยกจากบ้านหนองอีบู่ไปยังบ้านวังหินนั้นหายไปแล้ว
แสดงว่าเส้นทางสายนี้ถูกรื้อถอนไปก่อนสิ้นปีพ.ศ.
๒๔๙๗
รูปที่
๔ แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา
พ.ศ.
๒๔๙๗
จะเห็นว่าเส้นทางรถไฟที่แยกจากบ้านหนองอีบู่ไปทางบ้านวังหินและบ่อน้ำร้อน
(ที่ตั้งอ่างเก็บน้ำบางพระในปัจจุบัน)
ได้หายไปแล้ว
เส้นทางรถไฟลากไม้สายดังกล่าวที่หลงเหลืออยู่
ในภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นเส้นทางรถไฟสำหรับขนอ้อยจากไร่เข้าสู่โรงงานน้ำตาล
ความทรงจำที่ภรรยาผมเคยเห็นก็คือรถไฟสายดังกล่าวเป็นรถไฟบรรทุกอ้อย
(ภรรยาผมเกิดไม่ทันสมัยที่เขายังทำป่าไม้กันอยู่)
ในแผนที่แนบท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง จัดตั้งสุขาภิบาลหัวกุญแจ
อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี
ในปีพ.ศ.
๒๕๐๖
ก็แสดงให้เห็นเส้นทางรถไฟของบริษัทน้ำตาลชลบุรี
(รูปที่
๕)
ซึ่งในปัจจุบันเส้นทางดังกล่าวก็ได้กลายเป็นถนนไปแล้ว
(ดูแผนที่ปัจจุบันในรูปที่
๖)
เส้นทางสายนี้น่าจะเป็นเส้นทางที่ภรรยาของผมเล่าให้ฟังว่าเคยเห็นเมื่อตอนยังเป็นเด็กอยู่
และน่าจะถูกรื้อถอนไปหลังปีพ.ศ.
๒๕๑๓
รูปที่
๕ แผนที่แสดงเขตสุขาภิบาลหัวกุญแจ
จากประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง จัดตั้งสุขาภิบาลหัวกุญแจ
อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี
ประกาศ ณ วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๐๖
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม
๘๐ ตอนที่ ๒๖ วันที่ ๑๖ มีนาคม
๒๕๐๖ ยังปรากฏแนวเส้นทางรถไฟบริษัทน้ำตาลชลบุรี
เส้นทางรถไฟที่ไปยังบ้านหัวกุญแจนี้เป็นเส้นทางที่แยกออกมาจากตลาดหนองค้อ
(น่าจะเป็นบริเวณบ้านหนองค้อที่กลายเป็นอ่างเก็บน้ำในปัจจุบัน)
พิจารณาจากแผนที่ในรูปที่
๗
ดูแล้วเข้าใจว่าเส้นทางที่แยกจากบ้านหนองอีบู่เป็นเส้นที่อยู่ทางด้านตะวันตกของเขาเขียว
(เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาเขียว)
ซึ่งไม่ปรากฏในแผนที่ในรูปที่
๗ แล้ว
ส่วนเส้นทางที่แยกจากตลาดหนองค้อนั้นเป็นเส้นทางที่อยู่ทางด้านตะวันออกของเขาเขียว
เส้นทางไปบ้านหัวกุญแจนี้ในแผนที่แสดงให้เห็นว่าผ่านบริเวณวัดโค้งดารา
(บ้านโค้งดาราในปัจจุบัน)
แล้วโฉบขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
(น่าจะเป็นแนวถนน
ชบ ๑๐๘๐ ในปัจจุบัน)
รูปที่
๖ แผนที่บริเวณบ้านหัวกุญแจในปัจจุบัน
เส้นทางรถไฟเดิมกลายเป็นถนนทางรถไฟเก่า
บ้านโค้งดารานี้ผมมีโอกาสแวะไปหลายครั้ง
ปัจจุบันที่นั่นมีคนจากกรุงเทพและหลายจังหวัดแวะเวียนไป
ที่เขาไปกันคือไปสถานปฏิบัติธรรมชื่อ
"สวนสันติธรรม"
ผมเองก็เคยแวะไปที่นั่น
แต่ไม่ได้แวะไปฟังธรรมหรอก
ไปดูคนที่เขาไปฟังธรรมมากกว่า
(ไปดูพฤติกรรมประหลาด
ๆ หลายอย่าง เรื่องหนึ่งเคยเล่าเอาไว้ใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๙๕ วันศุกร์ที่ ๑
มกราคม ๒๕๕๓ เรื่อง
"ไปวัดแล้วได้อะไร")
แต่เหตุผลหลักคือแม่ค้าขายกล้วยทอดที่อยู่ที่ปากทางแยกจากบ้านโค้งดาราไปสวนสันติธรรมนั้น
(ถ้าขับรถเข้าไปจะอยู่ทางขวามือ)
ทอดกล้วยได้อร่อย
ชอบกันทั้งครอบครัว
ผ่านไปแถวนั้นทีไรต้องแวะซื้อกินกันก่อนแล้วค่อยขับรถกลับ
แนวทางรถไฟที่ปรากฏในแผนที่ในรูปที่
๗ นั้นน่าจะผ่านไปทางด้านหน้าที่ตั้งสวนสันติธรรมในปัจจุบัน
ซึ่งเป็นถนนที่ตัดผ่านด้านหลังเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาเขียวออกไป
และเป็นบริเวณที่อยู่ระหว่างเนินเขาสองลูก
ซึ่งเหมาะต่อการตัดเส้นทางมากกว่า
ถนนเส้นนี้ปรกติผมก็ใช้เป็นเส้นทางเลี่ยงในการขับรถจากบางพระไปบ้านบึง
โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลเช็งเม้ง
ขับมาตั้งแต่ยังเป็นถนนลูกรัง/หินคลุกตัดผ่านไร่มัน
จนตอนนี้มีการทำเป็นทางลาดยางเกือบทั้งเส้น
เว้นแต่เฉพาะช่วงที่ตัดผ่านเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาเขียว
ซึ่งยังคงเป็นถนนลูกรังผสมหินคลุกอยู่
รูปที่
๗ ในหน้าสุดท้ายนำมาจาก
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
เปลี่ยนแปลงเขตสุขาภิบาลอ่าวอุดม
อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
ประกาศ ณ วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๓
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม
๘๗ ตอนที่ ๑๐๐ วันที่ ๒๗ ตุลาคม
๒๕๑๒ นั่นแสดงว่าในปีพ.ศ.
๒๕๑๓
นั้นทางรถไฟสายดังกล่าวยังมีอยู่
และยังทอดยาวไปถึงเขตรอยต่อกับจังหวัดระยองด้วย
แผนที่นี้ผมนำมาจากไฟล์ต้นฉบับที่เป็น
.pdf
รูปต้นฉบับตัวจริงใหญ่กว่าหน้ากระดาษ
A4
และชัดเจนกว่า
ถ้าอยากเห็นภาพที่ชัดกว่านี้ก็ต้องไปดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บของราชกิจจานุเบกษา
แล้วเปิดขยายดูบนคอมพิวเตอร์
หรือไม่ก็ลองอ่านไฟล์ที่ส่งให้นี้บนคอมพิวเตอร์แล้วก็ขยายภาพดูเอาเอง
ในประเทศไทยนั้น
ทางรถไฟและลำคลองที่เคยมีชื่อปรากฏในอดีต
ค่อย ๆ ทยอยหายไป
ถูกแทนที่ด้วยถนนและท่อระบายน้ำ
แต่ก็ยังดีที่หลายแห่งยังมีการอนุรักษ์ชื่อเดิมเอาไว้
เพื่อให้คนรุ่นหลังรู้ว่าก่อนที่จะมาเป็นถนนในปัจจุบันนั้น
เส้นทางดังกล่าวเคยเป็นอะไรมาก่อน
ในกรุงเทพนั้นชื่อถนนชื่อสี่แยกยังคงมีอยู่
(เช่น
"ถนนทางรถไฟสายปากน้ำ"
ที่ทางรถไฟหายไปแล้ว
"แยกสะพานเหลือง"
ที่ตอนนี้ไม่มีสะพานหลงเหลือให้ดู)
แต่ในต่างจังหวัดนั้นมักจะตั้งชื่อถนนโดยใช้รหัสตัวเลขแทน
(ถ้าเป็นของจังหวัดก็จะมีรหัสจังหวัดนำหน้า)
ซึ่งจะทำให้ความทรงจำของสิ่งเดิมที่เคยมีอยู่ตรงที่เหล่านั้นหายไป