เนื้อหาในบันทึกฉบับนี้ยังคงอิงจาก
"Guide
for Pressure-Relieving and Depressuring Systems" API RP 521 4th
edition, March 1997 พึงระลึกว่า
API
RP นี้เป็น
"Recommended
Practice" ถ้าจะแปลออกมาก็คือ
"แนวปฏิบัติที่แนะนำ"
นั่นแสดงว่าไม่ได้หมายความว่า
"ต้อง"
ทำตามที่เขียนไว้ใน
API
RP เสมอไป
มันไม่เหมือน "Standard
- มาตรฐาน"
หรือ
"Regulation
- กฎข้อบังคับ"
ที่ต้องปฏิบัติตามทุกตัวอักษร
ระบบท่อ
flare
นั้นจำเป็นต้องมีแก๊สเชื้อเพลิงที่ต้องการเผาทิ้งหรือแก๊สเฉื่อยไหลออกอย่างต่อเนื่อง
เพราะถ้าไม่มีแก๊สไหลออกเมื่อใด
อากาศที่อยู่ด้านนอกของปากปล่องจะไหลย้อนเข้ามาในระบบท่อ
flare
ได้
และเมื่อมีแก๊สเชื้อเพลิงไหลอีกครั้ง
แก๊สเชื้อเพลิงที่ไหลออกมาใหม่จะผสมรวมกับอากาศที่ไหลย้อนเข้ามา
มีโอกาสที่จะเกิดเป็นส่วนผสมที่เผาไหม้ได้
และเมื่อแก๊สเชื้อเพลิงผสมอากาศนี้ไปพบกับเปลวไฟที่จุดล่อไว้ที่ปากปล่อง
flare
(ที่
flare
tip) ก็จะเกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้ย้อนลงมาในระบบท่อ
flare
ได้
ระบบท่อ
flare
นั้นออกแบบมาสำหรับกรณีฉุกเฉินที่ต้องมีการเผาแก๊สทิ้งในปริมาณมาก
(เช่นอาจมีแก๊สจากทุกส่วนของโรงงานถูกส่งมาเผาที่นี่พร้อม
ๆ กัน)
ดังนั้นระบบดังกล่าวจึงมักเป็นท่อขนาดใหญ่
ลักษณะเช่นนี้ทำให้เกิดปัญหาในระหว่างการทำงานปรกติที่ไม่ค่อยมีแก๊สส่งออกมาเผาทิ้ง เพราะจำเป็นต้องใช้แก๊สปล่อยทิ้งปริมาณมากในการป้องกันไม่ให้อากาศมีโอกาสรั่วไหลย้อนเข้ามาในระบบท่อ flare แม้ว่าจะสามารถใช้การปล่อยแก๊สเฉื่อย (เช่นไนโตรเจน) ทดแทนได้ แต่ก็จะเป็นการสิ้นเปลือง ด้วยเหตุนี้ในทางปฏิบัติจึงมักมีการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อลดโอกาสที่อากาศจะรั่วไหลย้อนเข้ามาในระบบ และยังช่วยลดปริมาณแก๊สที่ต้องใช้ในการ purge ระบบท่อตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้อากาศไหลย้อน ระบบดังกล่าวมีชื่อว่า Purge reduction seal
ลักษณะเช่นนี้ทำให้เกิดปัญหาในระหว่างการทำงานปรกติที่ไม่ค่อยมีแก๊สส่งออกมาเผาทิ้ง เพราะจำเป็นต้องใช้แก๊สปล่อยทิ้งปริมาณมากในการป้องกันไม่ให้อากาศมีโอกาสรั่วไหลย้อนเข้ามาในระบบท่อ flare แม้ว่าจะสามารถใช้การปล่อยแก๊สเฉื่อย (เช่นไนโตรเจน) ทดแทนได้ แต่ก็จะเป็นการสิ้นเปลือง ด้วยเหตุนี้ในทางปฏิบัติจึงมักมีการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อลดโอกาสที่อากาศจะรั่วไหลย้อนเข้ามาในระบบ และยังช่วยลดปริมาณแก๊สที่ต้องใช้ในการ purge ระบบท่อตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้อากาศไหลย้อน ระบบดังกล่าวมีชื่อว่า Purge reduction seal
Purge
reduction seal คือระบบป้องกันอากาศไหลย้อนเข้าไปในระบบท่อ
flare
และช่วยลดปริมาณแก๊สที่ต้องใช้ในการ
purge
ระบบท่อ
flare
อย่างต่อเนื่อง
ใน API
RP 521 นั้นแสดง
purge
reduction seal ๒
รูปแบบด้วยกันคือ molecular
type และ
velocity
type
รูปแบบ
molecular
type (หรือ
molecular
seal) อาศัยการไหลวนกลับทิศ
180
องศาของแก๊ส
(รูปที่
๑)
แก๊สที่ไหลขึ้นมาตามท่อ
flare
จะถูกบังคับให้ไหลย้อนกลับลงล่าง
ก่อนที่จะไหลวกขึ้นสู่ด้านบนใหม่
ในกรณีที่แก๊สที่ไหลออกมานั้นมีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศ
เมื่อแก๊สดังกล่าวไหลในปริมาณน้อย
(หรือหยุดไหล)
แก๊สดังกล่าวจะสะสมอยู่ทางด้านบนของระบบตรงตำแหน่งไหลวกกลับลงล่าง
ซึ่งจะช่วยดันไม่ให้อากาศ
(ที่อาจไหลแพร่ลงมาทางปากปล่อง)
ไหลย้อนขึ้นและรั่วเข้าไปในระบบท่อ
flare
ได้
ในทางกลับกันถ้าแก๊สที่ไหลออกมานั้นมีความหนาแน่นสูงกว่าอากาศ
เมื่อแก๊สดังกล่าวไหลในปริมาณน้อย
(หรือหยุดไหล)
แก๊สดังกล่าวจะสะสมอยู่ทางด้านล่งของระบบตรงตำแหน่งไหลวกกลับขิ้นนบน
ซึ่งจะช่วยดันไม่ให้อากาศ
(ที่อาจไหลแพร่ลงมาทางปากปล่อง)
ไหลตกลงและรั่วเข้าไปในระบบท่อ
flare
ได้
รูปที่
๑ Purge
reduction seal ชนิด
Molecular
type (บางทีเรียก
Molecular
seal)
รูปแบบ
velocity
type ประกอบด้วยแผ่น
baffle
ติดตั้งอยู่ทางด้านในของผนังท่อ
flare
โดยแผ่น
baffle
นี้จะโค้งออกไปยังทางปากปล่อง
เมื่อแก๊สที่ไหลมาตามท่อ
flare
ไหลมาถึงบริเวณที่ติดตั้งแผ่น
baffle
พื้นที่หน้าตัดการไหลจะลดลง
ทำให้อัตราเร็วในการไหลเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้นถ้ามีอากาศแพร่ไหลย้อนลงมาตามผนังด้านในของท่อ
flare
(บริเวณผิวท่อจะมีอัตราเร็วในการไหลต่ำสุด)
เมื่ออากาศตกลงมาถึงแผ่น
baffle
ก็จะถูกกระแสแก๊สที่ไหลออกมาที่มีความเร็วสูงดึงออกไปทางปากปล่องใหม่
สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงคือ
purge
reduction seal ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ป้องกันเปลวไฟไหลย้อนเข้าไปในระบบท่อ
flare
มันเป็นเพียงแค่อุปกรณ์ช่วยประหยัดพลังงานโดยไปลดปริมาณแก๊สที่ต้องใช้ในการป้องกันไม่ให้อากาศไหลย้อนเข้าระบบ
รูปที่
๒ Purge
reduction seal ชนิด
Velocitiy
type
สุดทางของระบบ
flare
ก็คือ
flare
tip หรือปากปล่องนั่นเอง
(รูปที่
๓)
ที่นี่เป็นที่ที่จะทำการเผาแก๊สทิ้ง
flare
tip จะมีท่อแก๊สเล็ก
ๆ (ปรกติก็จะใช้
LPG)
ที่เรียกว่า
pilot
จุดไฟติดล่อเอาไว้ตลอดเวลา
pilot
นี้จะมีอยู่หลายตัว
ติดตั้งที่มุมต่าง ๆ กัน
ที่สำคัญคือต้องมั่นใจว่า
pilot
จะอย่างน้อยหนึ่งตัวจะมีไฟลุกติดเสมอไม่ว่าฝนจะตกหนักหรือลมจะพัดแรงเท่าใด
หรือมีแก๊สไหลออกด้วยอัตราเร็วสูงเท่าใดก็ตาม
ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อแก๊สที่เผาไหม้ได้ไหลมาถึง
flare
tip แก๊สดังกล่าวก็จะลุกติดไฟทันที
การตรวจสอบว่า pilot
ลุกติดอยู่หรือไม่นั้นทำได้โดยใช้เทอร์โมคับเปิลวัดอุณหภูมิม
(ถ้ามีไฟลุกติดอยู่มันก็จะร้อน)
นอกจากนี้ที่
flare
tip ยังมีการฉีดไอน้ำเข้าไปผสมกับแก๊สที่จะทำการเผาไหม้
โดยไอน้ำจะช่วยให้การเผาไหม้เป็นไปได้ดีขึ้น
ลดการเกิดควันดำ
(ปฏิกิริยาที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องคือ
water
gas shift reaction)
รูปที่
๓ Flare
tip (รูปจาก
API
RP 521)
ในการกำหนดขนาดระบบท่อ
flare
นั้น
ที่ภาวะที่มีอัตราการไหลของแก๊สมากที่สุดจะยอมให้ความเร็วของแก๊สที่ไหลนั้นสูงถึง
0.5
มัค
(Mach
- เท่าเสียง 0.5 Mach ก็ประมาณ 165 เมตรต่อวินาที)
หรือสูงกว่าได้
ในภาวะดังกล่าวจะเกิดทั้งเสียงที่ดัง
(จากความเร็วแก๊สที่พุ่งเร็ว)
และความร้อน
(จากปริมาณแก๊สที่เผาไหม้)
เป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะความร้อนจากการแผ่รังสีของเปลวไฟนั้นสามารถก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตต่อผู้ปฏิบัติงานที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงที่ไม่ได้รับการป้องกันได้
ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งที่ติดตั้ง
flare
tip จึงมีความสำคัญ
ตำแหน่งติดตั้ง
flare
tip นี้ทำให้ระบบ
flare
แบ่งออกเป็น
๒ ระบบ ถ้าหากติดตั้งใกล้ระดับพื้นดินก็จะเรียกว่า
ground
flare และถ้าติดตั้งบนท่อที่ขึ้นสูงเหนือระดับพื้นดินก็จะเรียกว่า
elevated
flare ซึ่งจะกล่าวถึงในตอนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น