เมื่อคืนวันจันทร์มีคนถามผมมาทาง
facebook
เรื่องเกี่ยวกับ
"น้ำอัลคาไลน์"
ที่มีคนทางบ้านเขามาเชิญชวนให้เขาดื่ม
แถมยังถามเขาด้วยว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง
พอเขาตอบไปว่าไม่รู้ก็โดนว่าสวนกลับมาว่าเรียนวิศวกรรมเคมีแล้วเรื่องพวกนี้ไม่รู้ได้อย่างไร
(ผมก็แปลกใจตรงที่ถ้าคนซื้อมาดื่มเขายังไม่สนเลยว่าเขาดื่มอะไรลงไป
ทำไมเขาจึงสนใจมาคาดคั้นเอากับคนอื่นที่ไม่สนใจดื่มน้ำนั้นว่าน้ำที่เขาดื่มนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง)
บังเอิญเห็นที่บ้านมีคนเอามาวางไว้ขวดนึง
แถมในขณะนี้ทางแลปที่สอนอยู่ก็มีการทดลองเรื่องนี้อยู่พอดี
ก็เลยถือโอกาสเอามาร่วมวงด้วยเลย
ที่จะเขียนต่อไปอาศัยความรู้ทางทฤษฎีที่เรียนมาและประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่ประสบมา
แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ที่มีคนเขาเอามาขายกัน
โดยจะเขียนจากมุมมองของคนที่เป็นวิศวกรรมเคมีเขียนให้คนที่เป็นวิศวกรรมเคมีอ่าน
ดังนั้น (โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ใช่วิศวกรรมเคมี)
กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มมีกระแสน้ำดื่มเพื่อสุขภาพในอีกรูปแบบหนึ่งออกมา
คือการดื่ม "น้ำด่าง"
หรือเรียกให้เป็นฝรั่งหรือให้คนรู้สึกว่าเป็นวิชาการหน่อย
(แต่คนฟังจะรู้ความหมายหรือเปล่าก็ไม่รู้)
ว่า
"น้ำอัลคาไลน์"
ทำนองว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน
ใช้ดื่มเพื่อสุขภาพ
(อันนี้ไม่ขอออกความเห็น)
ช่วยไปลดความเป็นกรดให้กับเลือด
(อันนี้ผมยังติดใจอยู่)
ฯลฯ
โดยรวมก็คือเห็นมีการเอาข้อมูลที่ว่าถ้าเลือดเป็นกรดจะไม่ดีต่อร่างกาย
เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่าง
ๆ (ตรงนี้เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที)
ประเด็นหนึ่งที่สำคัญที่ผมสงสัยคือมันอยู่ตรงนี้คือ
ถ้าเลือดมีความเป็นกรด
แล้วดื่มน้ำที่เป็นด่าง
ด่างที่อยู่ในน้ำจะเข้าไปสะเทินกรดในเลือดได้จริงเหรอ
รูปที่
๑ (ซ้าย)
ขวดน้ำตัวอย่างที่นำมาวิเคราะห์
บอกไว้ข้างขวดว่าทำจากเถ้าของกาบมะพร้าว
(ขวา)
น้ำในขวดมีลักษณะดูเหมือนว่าจะขุ่นเล็กน้อย
ไม่ใสเหมือนน้ำดื่มปรกติ
แต่มองไม่เห็นอนุภาคแขวนลอย
เลยสงสัยว่าอาจจะมีอนุภาคแขวนลอยขนาดเล็กมากที่ตาเปล่ามองไม่เห็น
แต่ยังใหญ่พอที่จะทำให้เกิดการกระเจิงแสงได้
เท่าที่ผมพอทราบคือปรกติร่างกายคนเราจะขับสารเคมีต่าง
ๆ (อาจเป็นสารอินทรีย์หรือไอออนโลหะ)
ได้ก็ต่อเมื่อสารเหล่านั้นอยู่ในโครงสร้างที่ละลายน้ำได้
พอละลายน้ำได้ก็จะแพร่เข้าสู่กระแสเลือด
และไปกรองออกที่ไต
ก่อนจะขับออกทางปัสสาวะ
ในกรณีของสารอินทรีย์นั้น
ที่เห็นมีฤทธิ์เป็นเบสเห็นจะได้แก่พวกเอมีน
(amine)
ต่าง
ๆ แต่สำหรับสารอินทรีย์ทั่วไป
เวลาที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารที่ละลายน้ำได้
ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายมักจะทำการ
ออกซิไดซ์
สารเหล่านั้นเพื่อทำให้เกิดเป็นโครงสร้างที่มีขั้วที่สามารถจับกับโมเลกุลน้ำได้
และหนึ่งในโครงสร้างสำคัญของสารอินทรีย์ที่จับกับโมเลกุลน้ำได้ที่เกิดจากการออกซิไดซ์ของร่างการคือหมู่
carboxyl
(-COOH) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด
ไอออนโลหะหลัก
ๆ ที่เห็นอยู่ในพืชทั่วไปเห็นจะได้แก่แมกนีเซียม
(Mg)
และโพแตสเซียม
(K)
โดย
Mg
นั้นอยู่ในโครงสร้างคลอโรฟิลล์
(chlorophyll)
ที่ใช้ในการสังเคราะห์แสง
(แต่พืชก็ต้องดูดซึม
Mg
จากดินผ่านลำต้นไปส่งให้ที่ใบอยู่ดี)
ส่วน
K
จะไปอยู่ที่ไหนนั้นผมก็ไม่รู้
รู้แต่ว่าปุ๋ยเคมีที่ใช้กันที่เรียกว่า
NPK
(อ่านปุ๋ยเอ็นพีเค)
นั้นจะมีแร่ธาตุหลักอยู่
๓ ตัวคือ ไนโตรเจน (N)
ฟอสฟอรัส
(P)
และโพแตสเซียม
(K)
ส่วนจะมีในสัดส่วนเท่าไรขึ้นอยู่กับชนิดปุ๋ย
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าแร่
K
และ
P
เป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช
(ไม่ยักมีปุ๋ย
Mg)
ส่วนพืชบางชนิดเช่นข้าวและไผ่จะมีการดูดซึมซิลิกอน
(Si)
เข้าไปด้วย
โดยในข้าวจะมี Si
อยู่เยอะที่ตัวแกลบ
ถ้าเป็นต้นไผ่ก็จะอยู่ที่ลำต้น
แร่ธาตุเหล่านี้จะสะสมอยู่ในส่วนต่าง
ๆ ของพืชร่วมกับส่วนที่เป็นสารอินทรีย์
(C-H-O
เป็นหลัก
โดยมี N
และ
S
ร่วมวงอยู่บ้าง)
พอเราเอาพืชไปเผา
ส่วนที่เป็นโครงสร้างสารอินทรีย์ก็จะสลายตัวไปเป็นแก๊ส
เหลือแต่ส่วนที่เป็นแร่ธาตุที่จะกลายเป็นขี้เถ้าค้างอยู่
ผมไม่เคยเอาขี้เถ้าจากการเผาซากพืชไปวิเคราะห์
แต่ถ้าให้เดาจากชนิดแร่ธาตุที่มีอยู่ก็ขอเดาว่าน่าจะเป็นสารประกอบออกไซด์
(oxide
- O2-) ไฮดรอกไซด์
(hydroxide
- OH-) หรือฟอสเฟต
(phosphate
- PO33-) ของไอออน
Mg2+
และ
K+
โดยอาจมีคาร์บอเนต
(carbonate
- CO32-)/ไบคาร์บอเนต
(bicarbonate
- HCO3-)
ที่เกิดจากออกไซด์และไฮดรอกไซด์จับคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2)
ที่เกิดจากการเผาไหม้เอาไว้ร่วมอยู่ด้วย
และถ้ามีซิลิกอนอยู่ก็จะกลายเป็น
SiO2
ไป
สารประกอบไฮดรอกไซด์และคาร์บอเนตนั้น
ถ้าเผาที่อุณหภูมิสูงมากพอก็จะสลายตัวเป็นสารประกอบออกไซด์ได้
แต่ถ้าเป็นพืชที่ขึ้นในพื้นที่ที่ปนเปื้อนโลหะหนัก
เถ้าที่ได้จากการเผาก็จะมีโลหะหนักที่พืชดูดซับขึ้นมาจากดินปะปนอยู่ด้วย
เกลือต่าง
ๆ
ที่ได้จากการเผาซากพืชที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเกลือที่เมื่อละลายน้ำแล้วจะทำให้น้ำมีฤทธิ์เป็นเบส
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนโบราณจะใช้น้ำขี้เถ้านั้นในการทำสบู่และการชะล้างไขมัน
เพราะตัวเบสเองสามารถทำให้โมเลกุลไขมัน
(เป็นเอสเทอร์ระหว่างกรดไขมันกับกลีเซอรอล)
แตกออกตรงพันธะเอสเทอร์
กลายเป็นหมู่คาร์บอกซิล
(RCOO-)
ที่มีความเป็นขั้ว
แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรต้องนำไปทำเป็นสบู่ก่อน
โดยโมเลกุลของสบู่จะเอาด้านที่ไม่มีขั้วไปจับกับโมเลกุลไขมัน
และเอาด้านที่มีขั้วไปจับกับโมเลกุลน้ำ
ทำให้ดึงเอาโมเลกุลไขมันมาล่อยลอยอยู่ในโมเลกุลน้ำได้
ในส่วนของตัวผมเองนั้นไม่รู้สึกแปลกใจอะไรถ้ามีคนมาบอกว่าเวลาเอาขี้เถ้ามาผสมกับน้ำจะทำให้น้ำที่ได้นั้นมีฤทธิ์เป็นด่าง
และถ้าถามผมว่าน้ำนั้นควรประกอบด้วยแร่ธาตุอะไรบ้าง
ที่เขียนมาข้างต้นก็คือแร่ธาตุกลุ่มที่ผมจะมองหาเป็นพวกแรก
ๆ
ที่เขียนมานั้นเป็นการเตรียมน้ำด่างจากเถ้าที่ได้จากการเผาซากพืช
แต่ยังมีน้ำด่างอีกประเภทหนึ่งที่เตรียมจากเครื่องที่ใช้ไฟฟ้า
ผมเองหารายละเอียดการทำงานของเครื่องผลิตน้ำด่างสำหรับบริโภคด้วยไฟฟ้าไม่ได้
รู้แต่ว่าในอุตสาหกรรมเคมีนั้นมีการผลิตน้ำด่างด้วยกระแสไฟฟ้ามานานแล้ว
น้ำด่างที่ผลิตด้วยกระแสไฟฟ้าในอุตสาหกรรมคือการผลิต
"โซดาไฟ"
ด้วยการผ่านกระแสไฟฟ้าลงไปในสารละลาย
NaCl
รูปที่
๒ (บน)
เอาไปวัดค่า
pH
พบว่าได้ค่าตั้ง
12.55
แสดงว่าที่เขาโฆษณาไว้ข้างขวดว่าเป็นชนิดเข้มข้นคา
pH
12 นั้นเป็นอย่างที่เขาติดฉลากเอาไว้
(ล่าง)
พอเอาไปวัดค่า
conductivity
พบว่าสูงถึง
10.21
mS/cm แสดงว่ามีไอออนจำนวนมากละลายอยู่ในน้ำนั้น
น้ำบริสุทธิ์นั้นนำไฟฟ้าได้ไม่ดี
แต่ถ้ามีเกลือละลายอยู่จะนำไฟฟ้าได้ดีขึ้น
ถ้าเราเอาน้ำบริสุทธิ์มาแล้วเติมกรด
H2SO4
(กรดกำมะถันที่ใช้เติมแบตเตอรี่รถยนต์)
ลงไปเล็กน้อยมา
จุ่มขั้วไฟฟ้ากระแสตรงขั้วบวกและขั้วลบลงไปแล้วผ่านกระแสไฟฟ้า
(ขั้วไฟฟ้าที่ใช้ควรจะทนต่อปฏิกิริยาหน่อยนะ
เช่นเคลือบด้วยโลหะพลาทินัม
(Pt
หรือทองคำขาว)
ไม่เช่นนั้นขั้วไฟฟ้าจะสลายตัวแทน)
โมเลกุลน้ำจะแตกตัวออกเป็น
H+
กับ
OH-
โดย
H+
จะไปรับอิเล็กตรอนที่ขั้วลบกลายเป็นแก๊สไฮโดรเจน
ส่วน OH-
จะไปจ่ายอิเล็กตรอนที่ขั้วบวก
เกิดเป็นแก๊สออกซิเจน
ส่วนโมเลกุลกรด H2SO4
ใส่ลงไปเท่าใดก็ยังคงมีเท่านั้นเหมือนเดิม
(แอโนด
-
anode คือขั้วที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน
ส่วนแคโทด -
cathode คือขั้วที่เกิดปฏิกิริยารีดักชัน)
ทีนี้ถ้าเราเปลี่ยนเป็นเกลือ
NaCl
(เกลือแกงตามบ้าน)
แทนกรดกำมะถัน
ถ้าไปดูค่าศักย์ไฟฟ้าครึ่งเซลล์จากตารางจะทำให้เราคาดว่าในกรณีนี้น่าจะเกิดแก๊สออกซิเจนที่ขั้วลบและไฮโดรเจนที่ขั้วบวกเหมือนกับตอนใช้กรดกำมะถัน
แต่พอเอาเข้าจริงกลับพบว่าที่ขั้วลบยังเกิดแก๊สไฮโดรเจนอยู่
แต่ที่ขั้วบวกแทนที่ OH-
ที่เกิดจากน้ำแตกตัวเป็นไฮโดรเจนที่ขั้วลบจะไปจ่ายอิเล็กตรอนเพื่อกลายเป็นออกซิเจน
กลับปรากฏว่าไอออน Cl-
จากเกลือแกงที่ใส่เข้าไปจะไปจ่ายอิเล็กตรอนและเกิดแก๊สคลอรีน
(Cl2)
แทน
ซึ่งเป็นผลจากการเกิด "over
potential" สิ่งนี้ทำให้จำนวนไอออน
OH-
ในน้ำเพิ่มมากขึ้นในขณะที่จำนวนไอออน
Cl-
ลดลง
น้ำจึงมีค่า pH
หรือความเป็นด่างเพิ่มมากขึ้น
กล่าวอีกอย่างคือเป็นการเปลี่ยนจากสารละลาย
NaCl
กลายเป็นสารละลายผสม
NaCl
+ NaOH และถ้าปล่อยไว้นานพอก็จะได้สารละลาย
NaOH
หรือโซดาไฟแทน
(สารละลายที่เขาใช้ใส่ท่อน้ำทิ้งเวลาอุดตันก็คือสารละลายโซดาไฟที่เข้มข้นมากนั่นเอง)
รูปที่
๓ (บน)
บีกเกอร์ใบซ้ายถ่ายหลังการไทเทรตด้วย
EDTA
ที่ใช้หาความกระด้าง
(ไออนโลหะที่มีประจุตั้งแต่
+2
ขึ้นไป)
โดยใช้
eriochrome
black T เป็นอินดิเคเตอร์
ส่วนใบขวาถ่ายหลังจากการไทเทรตด้วย
0.01
M HCl และใช้
methyl
red เป็นอินดิเคเตอร์เพื่อหาค่า
alkalinity
(ล่าง)
ตัวอย่างผลการไทเทรตที่จดบันทึกเอาไว้
จากเท่าที่ได้เคยวิเคราะห์น้ำดื่มหลากหลายยี่ห้อเปรียบเทียบกับน้ำประปานั้น
(ในแลปเคมีวิเคราะห์ปี
๒)
พบว่าน้ำที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการ
reverse
osmosis (หรือที่เรียกกันว่า
RO)
นั้นจะมีเกลือแร่ละลายอยู่ในน้ำในระดับหนึ่ง
และมักจะมีความเป็นเบสอยู่เล็กน้อยอยู่แล้ว
ในขณะที่น้ำที่ผ่านกระบวนการ
reverse
osmosis นั้นปริมาณเกลือแร่ในน้ำจะลดต่ำลงมาก
(วิ่งเข้าหาระดับน้ำกลั่น)
ส่วนจะมีเกลือแร่อะไรบ้างนั้นขึ้นอยู่กับว่าน้ำนั้นมาจากแหล่งใด
จากสถานที่ใด
ส่วนเบสที่ตรวจพบในน้ำดื่มที่ขายกันทั่วไปและน้ำประปา
(ที่ได้ทำการทดลองกันในห้องแลประหว่างเรียน)
พบว่าจะเป็นพวกคาร์บอเนต
(CO32-)
และไบคาร์บอเนต
(HCO3-)
ไม่เคยตรวจพบเบสไฮดรอกไซด์
(OH-)
ร่างกายของคนเรานั้นรักษาค่า
pH
ในเลือดให้คงที่
(ในช่วงเบส)
ด้วยระบบบัฟเฟอร์
บัฟเฟอร์สำหรับค่า pH
ที่เป็นเบสนั้นจะใช้กรดอ่อนและเกลือของกรดอ่อน
จากที่ค้นข้อมูลดูพบว่าระบบบัฟเฟอร์ที่สำคัญในร่างกายคนเราคือระบบไบคาร์บอเนต
(HCO3-)
และฟอสเฟต
(H2PO4-
และ
HPO42-)
ไฮดรอกไซด์
(OH-)
นั้นแม้ว่าจะเป็นไอออนลบมีฤทธิ์เป็นเบสที่แรง
แต่ไม่มีคุณสมบัติเป็นบัฟเฟอร์
การวัดค่าความเป็นเบสของน้ำหรือที่เรียกว่า
"alkalinity"
นั้นกระทำได้ด้วยการไทเทรตกับสารละลายกรด
H2SO4
หรือ
HCl
โดยการไทเทรตในช่วงแรกนั้นจะใช้
phenolphthalein
เป็นอินดิเคเตอร์ไทไทรตจากมีสีไปเป็นไม่มีสี
การไทเทรตในช่วงนี้จะเป็นการไทเทรต
OH-
และ
CO32-
(และ
HPO43-
ถ้ามี)
ไปเป็น
H2O
และ
HCO3-
(และ
H2PO4-)
จากนั้นจะทำการไทเทรตช่วงที่สองโดยใช้
methyl
red เป็นอินดิเคเตอร์
โดยในช่วงนี้จะเป็นการไทเทรต
HCO3-
(และ
H2PO4-)
ไปเป็น
H2CO3
(และ
H3PO4)
ปริมาณกรดที่ใช้ในช่วงการไทเทรต
phenolphthalein
จากมีสีเป็นไม่มีสี
(ให้เป็นค่า
V1)
เทียบกับปริมาณกรดที่ใช้ในการไทเทรต
methyl
red จากสีเหลืองเป็นสีแดง
(ให้เป็นค่า
V2)
จะบ่งบอกให้ทราบถึงสัดส่วนของ
OH-
และ
CO32-
(และ
HPO43-
ถ้ามี)
ในน้ำตัวอย่างนั้น
ถ้า V1
มากกว่า
V2
แสดงว่าน้ำนั้นมี
OH-
ปนอยู่
(ปริมาณคำนวณได้จากผลต่างระหว่างค่า
V1
กับ
V2)
แต่ถ้าค่า
V1
น้อยกว่าค่า
V2
แสดงว่าน้ำนั้นไม่น่าจะมี
OH-
ปนอยู่
การหาปริมาณไอออนโลหะที่มีประจุตั้งแต่
2+
(หรือการหาค่าความกระด้างของน้ำ)
ขึ้นไปใข้การไทเทรตกับ
EDTA
เข้มข้น
0.01
M โดยใช้
eriochrome
black T เป็นอินดิเคเตอร์
ในการไทเทรตนี้ EDTA
จะจับกับไอออนตั้งแต่
2+
ขึ้นไปในอัตราส่วน
1:1
ในกรณีของน้ำด่างที่เอามาไทเทรตนั้นผมเดาว่าตัวหลักน่าจะเป็น
Mg2+
น้ำตัวอย่างที่ผมเอามาวิเคราะห์นั้นผมเอาไปวัดค่า
pH
และค่าการนำไฟฟ้าก่อน
ผลออกมาเป็นอย่างไรก็ดูในรูปที่
๒ เอาเองก็แล้วกัน
ที่เคยวัดในแลประหว่างการสอนนั้นพบว่าน้ำประปาจากก๊อกน้ำในแลปวัดได้ค่าการนำไฟฟ้าระดับประมาณ
300
μS/cm
ในขณะที่ของน้ำดื่ม
RO
จะอยู่ในช่วง
40-70
μS/cm
ของน้ำดื่มทั่วไปที่ไม่ใช่
RO
จะอยู่ในช่วง
100-600
μS/cm
และของพวกน้ำแร่นั้นจะสูงกว่า
500
μS/cm
แต่ทั้งนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาล
จากนั้นจึงนำน้ำตัวอย่าง
10
ml ไปหาค่า
alkalinity
ด้วยการไทเทรตกับสารละลาย
HCl
เข้มข้น
0.01
M พบว่าในช่วง
phenolphthalein
(จากมีสีเป็นสีหายไป)
นั้นต้องใช้สารละลายกรด
26.0
ml และช่วง
methyl
red (จากสีเหลืองเป็นสีแดง)
ต้องใช้สารละลายกรด
10.75
ml และเมื่อนำน้ำตัวอย่างไปไทเทรตกับสารละลาย
EDTA
(ethylenediamine tetraacetic acid) เข้มข้น
0.01
M พบว่าต้องใช้สารละลาย
EDTA
4.8 ml (รูปที่
๓)
มาถึงจุดนี้ผมไม่รู้ว่าคำถามที่เขาถามผมมาว่า
"ถ้าเช่นนั้นผมเอายาลดกรดมาผสมน้ำกินจะได้ผลเหมือนกันหรือไม่"
เขาได้คำตอบแล้วหรือยัง
(ยาลดกรดบางยี่ห้อใช้สูตรที่ใช้สารประกอบ
Mg
ที่เป็นด่างด้วยนะ)
Memoir
ฉบับถัดไปคงเป็นฉบับส่งท้ายปีที่
๕ และขึ้นสู่ปีที่ ๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น