นิตยสารฉบับนี้มีคนเขาเอามาแจกในตลาดนัดวันศุกร์ของมหาวิทยาลัยเมื่อต้นเดือนที่แล้ว
ผมก็เลยรับเอามาอ่านดู
มันเป็นนิตยสารฉบับเดือนสิงหาคม
๒๕๕๗ เปิดดูเนื้อหาภายในก็เห็นว่าน่าสนใจดี
คือแม้ว่าจะเป็นเนื้อหาที่มีกลุ่มเป้าหมายผู้อ่านที่ชัดเจน
แต่สำหรับคนทั่วไปก็สามารถอ่านได้
มันทำให้เราได้มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกมุมหนึ่งของสังคม
ที่เราคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีอยู่
เพียงแต่ว่าภาพที่เราคิดนั้นมันตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่
เรื่องความเท่าเทียมกันในสังคมคงใช้กฎหมายมาบังคับใช้ไม่ได้
กฎหมายมันเป็นได้แค่เครื่องมือสำหรับการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนโดยมีหลักฐานที่ชัดเจนรองรับ
แต่สำหรับการเลือกปฏิบัติหรือการมีอคตินั้นโดยส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยากที่จะหาหลักฐานรองรับ
ที่เห็นได้ชัดก็คือมีหน่วยงานจำนวนไม่น้อย
(โดยเฉพาะของคนไทย)
ที่ปฏิเสธที่จะรับใครสักคนเข้าทำงาน
ด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่ว่าเขาด้อยความสามารถ
แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ชอบแนวทางการใช้ชีวิตของผู้สมัครรายนั้น
แม้ว่าแนวทางการใช้ชีวิตนอกเวลางานของผู้สมัครรายนั้น
(แม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมายหรือก่อความเดือดร้อนรำคาญให้ใคร
ๆ ในสังคมก็ตาม)
ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของหน่วยงาน
เรื่องการแยกระหว่างความรู้ความสามารถในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวนั้น
โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าบริษัทต่างชาติโดยเฉพาะบริษัทของฝรั่ง
(ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาหรือยุโรป)
นั้น
จะแยกออกจากกันได้ชัดเจนกว่าบริษัทของไทย
เท่าที่ทราบนั้นเขามักจะพิจารณาว่าผู้สมัครนั้นมีความรู้ความสามารถที่จะทำงานที่เขามอบหมายได้หรือไม่
ส่วนนอกเวลานั้นเขาจะไปทำอะไรที่ไหน
(ตราบใดที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย)
ก็ไม่ได้เข้าไปล่วงล้ำอะไร
อาจเรียกได้ว่ามีการเคารพสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลมากกว่าบริษัทของคนไทยเสียอีก
บทสัมภาษณ์ที่ผมนำมาจากนิตยสารฉบับที่ได้รับมานั้น
เป็นบทสัมภาษณ์ของบุคคลที่ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานยังสถานที่ที่ใครหลายต่อหลายคนจำนวนไม่น้อยใฝ่ฝันที่จะได้ไปทำงานที่นั่น
ผมเห็นว่ามันเป็นการเล่าประสบการณ์การทำงานที่น่าสนใจ
ก็เลยนำมาลงไว้ใน blog
นี้เพื่อที่ให้ได้อ่านกัน
ส่วนเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรนั้น
ก็ลองอ่านกันเองก็แล้วกัน
และนิตยสารนี้คือนิตยสารอะไร
ก็ดูหน้าปกในรูปสุดท้ายเอาเองก็แล้วกัน
:)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น