"......
ถึงวันเสาร์ที่
๒๒ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๙
 เวลาสองยาม ๔๕ นาฑี เสด็จสวรรค์คต
ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
พระราชวังสวนดุสิต  พระชนมพรรษา
๕๘  เสด็จดำรงศิริราชสมบัติมาได้
๔๓ พรรษา  วันในรัชกาลนับแต่มูลพระบรมราชาภิเศก
๑๕๓๒๐ วัน  ......"
 ข้อความในย่อหน้าข้างบนคัดมาจากราชกิจจานุเบกษาเล่ม
๒๗ น่า ๑๗๘๒ วันที่ ๓๐ ตุลาคม
ร.ศ.
๑๒๙
ที่ประกาศแจ้งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
 พึงสังเกตนะครับว่าเวลาเสด็จสวรรคตนั้นเป็นเวลา
"ผ่านเที่ยงคืนวันเสาร์ที่
๒๒ ไปแล้ว ๔๕ นาที" 
  
 แต่ในปัจจุบันเราถือว่าวันเสด็จสวรรคตนั้นคือวันที่
๒๓ ตุลาคม 
ถ้าเช่นนั้นประกาศดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษามันมีอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า
 ซึ่งคำตอบก็คือ "ไม่มี"
ครับ
 
ตรงจุดนี้ต้องมาทำความเข้าใจเรื่องการนับเวลาการเริ่มวันใหม่ของไทยกันสักหน่อย
 เดิมทีนั้นเราถือว่าวันใหม่เริ่มตอน
๖ โมงเช้า  ไปจนถึงเย็น 
ผ่านเที่ยงคืน  จนกระทั่งถึงเวลา
๖ โมงเช้าอีกครั้งหนึ่งจึงถือว่าเริ่มวันใหม่
 มาจนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่
๖ ในวันที่ ๑๖ เดือนกันยายน
พ.ศ.
๒๔๖๐
จึงได้มีประกาศนับเวลาในราชการ
 ทำให้เวลาของการขึ้นวันใหม่จึงกลายเป็นเที่ยงคืน
 ดังนั้นความหมายของวันที่
๒๒ ตุลาคม เวลาสองยาม ๔๕
นาทีในอดีต  ถ้านับเวลาแบบปัจจุบันจะตรงกับเวลา
๐๐.๔๕
น ของวันที่ ๒๓ ตุลาคม นั่นเอง
ต่อมาในวันที่
๒๑ มีนาคม พ.ศ.
๒๕๖๒
ก็มีพระราชกฤษฎีกาให้ใช้เวลาอัตรา
 ที่ทำให้การนับเวลาของไทยนำหน้าเวลามาตรฐานกรีนิชอยู่
๗ ชั่วโมง   โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
๑ เมษายน พ.ศ.
๒๔๖๓
เป็นต้นไป (ขณะนั้นไทยขึ้นปีใหม่วันที่
๑ เมษายนอยู่  ดังนั้นพอพ้นวันที่
๓๑ มีนาคม ๒๔๖๒
ก็จะเป็นวันที่ ๑ เมษายน
๒๔๖๓)
 
   
รูปที่
๒ 
ประกาศแจ้งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในราชกิจจานุเบกษา
รูปที่
๓  ประกาศนับเวลาในราชการ
 ที่เปลี่ยนเวลาขึ้นวันใหม่จากหกโมงเช้าเป็นเที่ยงคืน
   
รูปที่
๔  พระราชกฤษฎีกาให้ใช้อัตราเวลา
 ที่ทำให้เวลาเริ่มวันใหม่ของไทยเปลี่ยนจาก
๖ โมงเช้ามาเป็นเที่ยงคืน
 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่
๑ เมษายน พ.ศ.
๒๔๖๓



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น