เลขออกเทน
(octane
number) เป็นคุณสมบัติหนึ่งของน้ำมันแก๊สโซลีน
(gasoline
ที่บ้านเราเรียกว่าน้ำมันเบนซิน)
ที่บ่งบอกถึงความสามารถในการต้านทานการน๊อค
(knock)
ของเชื้อเพลิง
 ยิ่งเลขออกเทนมีค่าสูงขึ้น
 ความสามารถในการต้านทานการน๊อคก็สูงตามไปด้วย
 และยิ่งเครื่องยนต์มีสมรรถนะสูงขึ้นเท่าใด
 เชื้อเพลิงที่ใช้ก็ต้องมีคุณสมบัติต้านทานการน๊อคสูงตามไปด้วยเช่นกัน
  
 เดิมทีนั้นการเพิ่มความสามารถในการต้านทานการน๊อคของน้ำมันแก๊สโซลีนนั้นจะใช้การผสมสารไฮโดรคาร์บอนที่มีเลขออกเทนสูงลงไป
 สารที่ใช้กันคือเบนซีน
(benzene
ที่เป็นที่มาของน้ำมันเบนซินที่บ้านเราเรียกกัน)
หรือสารอะโรมาติก
C6-C8
ซึ่งต่างมีเลขออกเทนสูงเกิน
100
ทั้งนั้น
 แต่ด้วยปริมาณผสมที่ต้องมีมากในขณะที่แหล่งตามธรรมชาติมีน้อย
 ทำให้มีการค้นหาสารอื่นที่สามารถทำหน้าที่แทนสารอะโรมาติกได้
 และสารหนึ่งที่มีการนำมาใช้กันคือ
Tetraethyl
lead (TEL) ที่มีสูตรเคมีว่า
Pb(C2H5)4
 
 จุดเด่นของ
TEL
คือใช้เพียงแค่ไม่กี่
ml
ต่อน้ำมัน
1
ลิตร
 ก็สามารถเพิ่มเลขออกเทนได้สูงมาก
(ใช้ไม่ถึง
2
ml ต่อน้ำมัน
1
ลิตร
 ก็สามารถเพิ่มเลขออกเทนได้ประมาณ
20
หน่วย
-
ดู
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๕๖ วันพุธที่ ๒
มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง
"การน๊อคของเครื่องยนต์แก๊สโซลีนและสารเพิ่มเลขออกเทนของน้ำมัน")
 ด้วยเหตุนี้ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่
๒  TEL
จึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้วิศวกรสามารถพัฒนาเครื่องยนต์สมรรถนะสูงสำหรับเครื่องบินรบได้
 และเครื่องบินรบเหล่านี้ต่างก็มีบทบาทสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่
๒

รูปที่
๒  จากสารตั้งต้น C2
มาเป็น
Tetraethyl
lead
 การสังเคราะห์
TEL
สามารถใช้ปฏิกิริยาระหว่างคลอโรอีเทน
(Chloroethane
- H3C-CH2Cl) กับโลหะผสมระหว่างโซเดียม-ตะกั่ว
(NaPb
alloy)  ส่วนคลอโรอีเทนก็อาจเตรียมได้จาก
 (ก)
ปฏิกิริยาระหว่างอีเทน
(Ethane
- H3C-CH3) กับคลอรีน
(Chlorine
- Cl2) 
แต่ปฏิกิริยานี้จะมีการเกิดผลิตภัณฑ์ที่มีการแทนที่มากกว่า
1
ตำแหน่งร่วมด้วย
 และยังมีการเกิดแก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์
(Hydrogen
chloride - HCl) ร่วม
 ปัจจุบันการสังเคราะห์ผ่านปฏิกิริยานี้ไม่เป็นที่ใช้กัน
 (ข)
ปฏิกิริยาระหว่างเอทานอล
(Ethanol
- H3C-CH2-OH) กับไฮโดรเจนคลอไรด์
 โดยมีการกำจัดน้ำออก 
เมื่อเทียบกับปฏิกิริยา
(ก)
แล้วปฏิกิริยา
(ข)
นี้มีข้อดีคือได้ผลิตภัณฑ์ที่มีอะตอม
Cl
เพียงอะตอมเดียวเท่านั้น
แต่ปัญหาในระดับอุตสาหกรรมของปฏิกิริยานี้ไปอยู่ตรงที่แหล่งที่มาของเอทานอล
(ค) ปฏิกิริยาระหว่างเอทิลีน (H2C=CH2) กับไฮโดรเจนคลอไรด์ ปฏิกิริยานี้ดีกว่าการสังเคราะห์จากเอทานอลเพราะได้ผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียว ไม่มีการเกิดน้ำร่วม และจะว่าไปแล้วในอุตสาหกรรมเคมีก็สังเคราะห์เอทานอลจากเอทิลีน ดังนั้นการสังเคราะห์คลอโรอีเทนจากเอทิลีนโดยตรงจึงเป็นการสังเคราะห์ที่ตรงไปตรงมากว่า (เว้นแต่จะใช้เอทานอลจากการหมัก)
(ค) ปฏิกิริยาระหว่างเอทิลีน (H2C=CH2) กับไฮโดรเจนคลอไรด์ ปฏิกิริยานี้ดีกว่าการสังเคราะห์จากเอทานอลเพราะได้ผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียว ไม่มีการเกิดน้ำร่วม และจะว่าไปแล้วในอุตสาหกรรมเคมีก็สังเคราะห์เอทานอลจากเอทิลีน ดังนั้นการสังเคราะห์คลอโรอีเทนจากเอทิลีนโดยตรงจึงเป็นการสังเคราะห์ที่ตรงไปตรงมากว่า (เว้นแต่จะใช้เอทานอลจากการหมัก)
ในระหว่างการเผาไหม้ในกระบอกสูบนั้นตะกั่วจากโครงสร้าง
TEL
จะกลายเป็นสารประกอบออกไซด์
PbO
ที่เป็นของแข็งสะสมอยู่ภายในเครื่องยนต์
 และทำให้เครื่องยนต์มีปัญหา
 ด้วยเหตุนี้น้ำมันที่ใช้
TEL
เป็นสารเพิ่มเลขออกเทนจึงจำเป็นต้องมีการผสมสาร
1,2-dibromoethane
(H2BrC-CBrH2) หรือ
1,2-dichloromoethane
(H2ClC-CClH2) เข้าไปด้วย
 เพื่อเปลี่ยนตะกั่วให้กลายเป็น
PbBr2
หรือ
PbCl2
ที่ระเหยออกมากับไอเสียได้
 และสารสองตัวหลังนี้คือตัวที่ทำให้เกิดมลพิษจากสารตะกั่วในอากาศ
 ทำให้มีการรณรงค์เลิกใช้
TEL
เป็นสารเร่งออกเทนในน้ำมันแก๊สโซลีนสำหรับรถยนต์
 แต่ก็ยังมีการใช้อยู่บ้างกับน้ำมันแก๊สโซลีนที่ใช้กับอากาศยาน
(Aviation
gasoline)
ที่ใช้เครื่องยนต์ลูกสูบที่ยังต้องการน้ำมันที่มีเลขออกเทนสูงกว่าน้ำมันที่ใช้กับรถยนต์
 แต่ก็มีแนวโน้มที่จะค่อย
ๆ ลดการใช้ลดไปเรื่อย ๆ
 TEL
เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารในตระกูลสารประกอบที่เรียกว่า
Organometallic
compound
ที่เป็นสารประกอบที่มีการสร้างพันธะเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างอะตอมโลหะกับอะตอม
C
ของหมู่ที่เป็นสารอินทรีย์
 สารตระกูลนี้นอกจาก TEL
ที่มีใช้กันมากในอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันในฐานะสารเพิ่มเลขออกเทนให้กับน้ำมันแก๊สโซลีนแล้ว
 ก็มีสารประกอบตระกูล Alkyl
aluminium (เช่น
Triethyl
aluminium Al(C2H5)3)
อีกตัวหนึ่งที่ใช้กันมากในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
 โดยใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาร่วม
(co-catalyst)
ในการสังเคราะห์พอลิโอเลฟินส์ต่าง
ๆ เช่นพอลิเอทิลีน (พวกความหนาแน่นสูง
(HDPE)
และความหนาแน่นต่ำที่มีโครงสร้างเป็นเส้นตรง
(LLDPE))
พอลิโพรพิลีน
เป็นต้น
 สารประกอบระหว่างโลหะกับหมู่อัลคิล
(เช่น
Tetraethyl
lead กับ
Triethyl
aluminium) มีจุดเด่นข้อหนึ่งคือมันจ่ายหมู่อัลคิลให้กับสารอื่นได้ง่าย
 ตัวอย่างการนำเอา TEL
ไปใช้งานนอกเหนือไปจากการใช้เป็นสารเพิ่มเลขออกเทนได้แก่การนำเอาไปทำปฏิกิริยากับอาเซนิคไตรคลอไรด์
(Arsenictrichloride
- AsCl3) ได้ผลิตภัณฑ์ออกมาคือเอทิลไดคลอโรอาซีน
(Ethyldichloroarsine
- (C2H5)2PbCl2)
ดังสมการในรูปที่
๔ ข้างล่าง
รูปที่
๔  ปฏิกิริยาการสังเคราะห์
Ethyldichloroarsine
จาก
Tetrethyl
lead และ
AsCl3
 
 อันที่จริงปฏิกิริยาดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในขั้นตอนเดียว
 ในสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
2,615,043
(รูปที่
๕)
กล่าวไว้ว่าปฏิกิริยาเกิดขึ้นในสองขั้นตอนด้วยกัน
 โดยในขั้นตอนแรกปฏิกิริยาที่เกิดคือ
  Pb(C2H5)4
 +  2AsCl3 ---> (C2H5)2PbCl2  + 
2(C2H5)AsCl2  
 ปฏิกิริยาแรกนี้เกิดได้เองที่อุณหภูมิห้องหรือที่อุณหภูมิไม่เกิน
50ºC
 ที่อุณหภูมินี้
AsCl3
จะไม่สามารถดึงหมู่เอทิลหมู่ที่สาม
(เพื่อเกิดเป็นสารประกอบ
As(C2H5)3)
ออกจากโมเลกุล
TEL
ได้
 การดึงหมู่เมทิลหมู่ที่สามต้องเกิดในปฏิกิริยาขั้นที่สอง
  (C2H5)2PbCl2
 +  AsCl3 ---> (C2H5)AsCl2  +  PbCl2
 +  C2H5-Cl
 ปฏิกิริยาในขั้นที่สองนี้เกิดได้อย่างช้า
ๆ ที่อุณหภูมิ 80ºC
 และเกิดได้เร็วที่อุณหภูมิสูงเกินกว่า
90ºC
 และสมการรวมของการเกิดปฏิกิริยาคือ
  (C2H5)2PbCl2
 +  3AsCl3 ---> 3(C2H5)AsCl2  +  PbCl2
 +  C2H5-Cl
 แล้วสาร
Ethyldichloroarsine
ใช้ทำอะไรหรือครับ
 คำตอบก็คือใช้เป็นอาวุธเคมีในกลุ่ม
vesicant
(สารทำให้ผิวหนังเป็นแผลพุพอง)
 โดยเยอรมันเป็นประเทศแรกที่นำมาใช้ในปีค.ศ.
๑๙๑๘
(ซึ่งเป็นช่วงท้ายของสงครามแล้ว)
ก่อนที่จะมีประเทศอื่นนำไปพัฒนากระบวนการผลิตต่อ
รูปที่
๕  สิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่2,615,043
ฉบับนี้ใช้ชื่อว่าเป็นการผลิต Ethyldichlorophosphine
แต่ในเนื้อหากลับเป็นการผลิต
Ethyldichloroarsine
เป็นหลัก
 มีการกล่าวถึง Ethyldichlorophosphine
เพียงเล็กน้อย
 เรียกว่าชื่อสิทธิบัตรกับสิ่งที่กล่าวถึงในเนื้อหาชวนให้หลงประเด็นได้
รูปที่
๖  สิทธิบัตรกระบวนการผลิต
Ethyldichloroarsine
จดโดยผู้ขอจดรายเดียวกับสิทธิบัตรในรูปที่
๔  แต่คราวนี้ระบุสิ่งที่ต้องการผลิตแบบตรง
ๆ ไม่อ้อมค้อมเหมือนฉบับก่อนหน้า
 AsCl3
เป็นสารเคมีควบคุมปรากฏอยู่ในหน้า
๖๐ ของเอกสา Australia
Group Common Control List Handbook - Volume
Iในฐานะเป็นสารที่สามารถนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตอาวุธเคมีได้
 จัดเป็นสินค้าสองทาง (Dual-use
goods) หมายถึงสินค้าที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ทั่วไป
 และสามารถนำไปใช้ในการผลิตอาวุธทำลายล้างสูงได้
 หรือส่วนประกอบของอาวุธทำลายล้างสูง
(เช่น
ระบบควบคุม ระบบนำวิถี
ระบบนำส่ง)
ได้
 สำหรับประเทศไทยเองเมื่อวันอังคารที่
๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา
กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศเรื่องกำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าต้องขออนุญาตและกำหนดสินค้าต้องปฎิบัตตามระเบียบตามมาตรการจัดระเบียบสำหรับสินค้าส่งออก
ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
๑ มกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป  โดย
AsCl3
เป็นสารตั้งต้นตัวหนึ่งที่ในการผลิตสารกึ่งตัวนำแกลเลียมอาเซไนด์
(GaAs)
ที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง
ๆ 
บรรณานุกรม
https://en.wikipedia.org/wiki/Tetraethyllead
(วันจันทร์ที่
๕ ตุลาคม ๒๕๕๖)
https://en.wikipedia.org/wiki/Ethyldichloroarsine
(วันจันทร์ที่
๕ ตุลาคม ๒๕๕๖)
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_chemical_warfare_agents
(วันจันทร์ที่
๕ ตุลาคม ๒๕๕๖)
https://en.wikipedia.org/wiki/Chemical_weapons_in_World_War_I
(วันจันทร์ที่
๕ ตุลาคม ๒๕๕๖)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น