วิศวกรเคมีคือ
...
คนที่อธิบายเรื่องเคมีให้วิศวกรเครื่องกลฟัง
คนที่อธิบายเรื่องเครื่องกลให้นักเคมีฟัง
คนที่อธิบายเรื่องเศรษฐศาสตร์ให้วิศวกรเครื่องกลและนักเคมีฟัง
และในหมู่วิศวกรเคมีด้วยกัน
เราคุยเรื่อง "การเมือง"
ใครก็ไม่รู้เหมือนกันให้คำนิยามสำหรับวิศวกรเคมีเอาไว้ข้างต้น
ผมเองก็ได้ยินมานานแล้ว
"วิศวกรรมเคมี
เคมีเทคนิค วิศวกรรมปิโตรเคมี
และเคมี แตกต่างกันอย่างไร"
และ
"วิศวกรรมเคมีเรียนอะไรบ้าง"
สองคำถามนี้ดูเหมือนจะพบเจอเป็นประจำจากนักเรียนผู้สนใจจะเรียนต่อทางด้านเหล่านี้
และคำตอบที่พบเห็นทั่วไปก็มักจะไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก
มาคราวนี้เนื่องจากมีนิสิตมาถามคำถามนี้
เพื่อที่จะได้เอาไปอธิบายให้กับนักเรียนในงาน
Open
House ที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ก็เลยคิดว่าน่าจะอธิบายให้มันชัดเจนไปซะที
เพื่อที่จะตอบคำถามดังกล่าวโดยละเอียด
ผมจะขอแยกเป็นตอน ๆ (คงมีถึง
๓ ตอน)
โดยตอนแรกนี้จะอธิบายความแตกต่างระหว่าง
วิศวกรรมเคมี เคมีเทคนิค
วิศวกรรมปิโตรเคมี และเคมี
ก่อน
จากนั้นค่อยเล่าว่าวิศวกรรมเคมีแตกต่างจากวิศวกรรมเครื่องกลหรือภาควิชาเคมีอย่างไรบ้าง
ปิดท้ายด้วยวิศวกรรมเคมีต้องเรียนวิชาใดกันบ้าง
แต่ก่อนอื่นเพื่อจะตอบคำถามแรก
ต้องมาทำความเข้าใจเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนกันก่อน
การศึกษาในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย
เอาว่าเฉพาะปริญญาตรีก็แล้วกัน
เมื่อเรียนจบหลักสูตรและสอบผ่านตามเกณฑ์ของ
"มหาวิทยาลัย"
แล้วก็จะได้
"ใบปริญญา"
ที่สามารถเอาไปใช้สมัครงานได้
แต่สำหรับงานบางประเภทนั้นมีการกำหนดเอาไว้ด้วยว่าผู้ที่จะทำงานดังกล่าวนั้นได้จะต้องมี
"ใบประกอบวิชาชีพ"
จึงจะทำงานในหน้าที่ดังกล่าวได้
ใบประกอบวิชาชีพนี้ออกโดยองค์กรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านนั้น
เช่นทางสายการแพทย์ก็จะมีแพทยสภา
สายพยาบาลก็จะมีสภาการพยาบาล
สายสถาปนิกก็จะมีสภาสถาปนิก
สายวิศวกรก็จะมีสภาวิศวกร
เป็นต้น
ทีนี้ขอบีบให้แคบลงเหลือเพียงแค่สายวิศวกร
สภาวิศวกรเป็นผู้กำหนดว่าจะให้ใบประกอบวิชาชีพทางด้านสาขาใดบ้าง
ซึ่งปัจจุบันก็มีอยู่หลายสาขา
เช่นสาขา วิศวกรรมโยธา
วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมเครื่องกล
วิศวกรรมอุตสาหการ
วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม
วิศวกรรมเหมืองแร่ วิศวกรรมเคมี
เป็นต้น
และการได้มาซึ่งใบประกอบวิชาชีพในสาขาใดนั้น
นอกจากผู้เรียนจะต้องเรียนจบหลักสูตรปริญญาตรี
(ที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้กำหนดเนื้อหา)
แล้ว
ยังต้องเรียนผ่านวิชาทุกวิชาในสาขาวิชานั้นตามเนื้อหาที่สภาวิศวกรเป็นผู้กำหนด
ตรงนี้ขอทบทวนความเข้าใจหน่อยนะครับว่า
มหาวิทยาลัยเป็นผู้ให้ปริญญา
แต่สภาวิชาชีพเป็นผู้ให้ใบประกอบวิชาชีพ
สภาวิชาชีพกำหนดเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเนื้อหาเพื่อเรียนให้จบปริญญา
โดยเน้นเฉพาะเพียงแค่เนื้อหาที่พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นต่อการประกอบวิชาชีพในสาขานั้น
เช่นในสายวิศวกรรมศาสตร์เอง
สภาวิศวกรก็จะพิจารณาว่าวิศวกรที่เรียนจบแล้วจะทำงานในสายวิชาชีพนี้ในประเทศไทยจะต้องมีความรู้ด้านใดบ้าง
ก็จะกำหนดให้ผู้ที่จะขอใบประกอบวิชาชีพได้ต้องผ่านการเรียนเนื้อหาในส่วนนั้น
ๆ
และยังกำหนดไปถึงตัวผู้สอนวิชาด้วยว่าต้องเป็นผู้ที่เรียนจบมาทางด้านนั้น
กล่าวคือถ้าเป็นวิชาหลักทางวิศวกรรมเคมี
อาจารย์ผู้เป็นหัวหน้าวิชาเหล่านั้นก็ต้องจบมาทางวิศวกรรมเคมีด้วย
ดังนั้นมหาวิทยาลัยสามารถที่จะร่างหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ใด
ๆ ก็ได้ที่ทางมหาวิทยาลัยเห็นว่าเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
โดยไม่สนข้อกำหนดของสภาวิศวกรก็ได้
และเมื่อใครก็ตามเรียนจบหลักสูตรของมหาวิทยาลัยนั้นแล้ว
ทางมหาวิทยาลัยก็สามารถให้ใบปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิตในสาขานั้นได้
(เช่นวิศวกรรมนาโน
วิศวกรรมปิโตรเคมี เป็นต้น)
แต่ผู้ที่เรียนสาขาวิชานั้นจะไม่สามารถไปขอใบประกอบวิชาชีพจากสภาวิศวกรได้
หลักสูตรปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ของบ้านเราจะอยู่ที่ประมาณ
145
หน่วยกิต
(ตัวเลขที่แน่นอนผมจำไม่ได้
มันกำหนดเป็นช่วง
ที่จำนวนหน่วยกิตที่แท้จริงอาจน้อยหรือมากกว่านี้ได้บ้างเล็กน้อย)
ถ้าเป็นสาขาวิชาวิศวกรรมเคมี
ทางสภาวิศวกรก็จะกำหนดไว้ว่า
ผู้ที่มีสิทธิจะขอใบประกอบวิชาชีพวิศวกร
จะต้องเรียนเนื้อหาวิชาในหมวดหมู่เหล่านี้
แต่ละหมวดหมู่อย่างน้อยเท่าใด
ซึ่งได้แก่ (คิดว่าตัวเลขคงไม่ผิดนะ)
-
พื้นฐานวิทยาศาสตร์
(เช่น
เคมี ฟิสิกส์ แคลคูลัส)
21 หน่วยกิต
-
พื้นฐานวิศวกรรมศาสตร์
(เช่น
ภาษาคอมพิวเตอร์ การเขียนแบบ
วัสดุในงานวิศวกรรม ไฟฟ้ากำลัง)
18 หน่วยกิต
-
วิชาหลักทางด้านวิศวกรรมเคมี
48
หน่วยกิต
วิชาเหล่านี้โดยเฉพาะวิชาหลักทางด้านวิศวกรรมเคมี
มีการกำหนดรายละเอียดลงไปถึงหัวข้อหลักที่ต้องเรียน
ดังนั้นไม่ว่าจะเรียนที่ใดก็ตามที่สามารถขอใบประกอบวิชาชีพวิศวกรรมเคมี
ก็จะได้เรียนในหัวข้อเดียวกันทั้งหมด
เพียงแต่ลำดับการเรียนในแต่สถาบันหรือการจัดรวมเป็นวิชาเรียนนั้นอาจจะแตกต่างกันออกไป
อีกหน่วยงานหนึ่งที่กำกับดูแลการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้แก่สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา
ที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า สกอ.
(เดิมคือทบวงมหาวิทยาลัย)
หน้าที่ของหน่วยงานนี้จะไม่ไปยุ่งในเนื้อหาส่วนของวิชาชีพเฉพาะทาง
คือเขาปล่อยให้สภาวิชาชีพแต่ละด้านนั้นเป็นผู้กำหนดเอาเอง
เขาดูแลในส่วนเรื่องของการจัดการหลักสูตร
(คุณสมบัติของอาจารย์และจำนวนอาจารย์ต่อนิสิต)
และเนื้อหาส่วนที่เหลือ
เพื่อให้เห็นภาพจะขอยกตัวอย่าง
(ตัวเลขผมยกขึ้นมาคร่าว
ๆ นะ ไม่ใช่ตัวเลขที่เป็นจริง)
ในหลักสูตรวิศวกรรมเคมีที่ผมสอนอยู่ผู้เรียนต้องเรียนทั้งสิ้นอย่างน้อย
145
หน่วยกิต
สภาวิศวกรกำหนดว่าถ้าจะได้ใบประกอบวิชาชีพวิศวกรเคมีนั้น
ต้องเรียนวิชาหลักทางด้านวิศวกรรมเคมี
(ตามข้างบน)
87 หน่วยกิต
สกอ.
ก็จะมาดูแลใน
58
หน่วยกิตที่เหลือ
โดยอาจกำหนดว่าบัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยของไทยนั้นถ้าเป็นสายวิทยาศาสตร์ควรต้องเรียนรู้อะไรบ้าง
อย่างน้อยเท่าใด
นอกเหนือไปจากความรู้เฉพาะทางทางด้านวิชาชีพนั้น
เช่นอาจกำหนดว่าต้องเรียนวิชา
ทางด้านภาษา สังคม ฯลฯ อีกเท่าไร
ตัวเลขนี้ผมไม่แน่ใจ
ขอสมมุติว่าเป็น 12
หน่วยกิตก่อนก็แล้วกัน
วิชาที่
สกอ.
กำหนดตรงนี้จะกำหนดเอาไว้กว้าง
ๆ เท่านั้น
ดังนั้นแต่ละมหาวิทยาลัยก็จะมีการเรียนการสอนในส่วนนี้ที่แตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับว่ามหาวิทยาลัยนั้นมีความหลากหลายของคณะวิชามากน้อยเท่าใด
มหาวิทยาลัยไหนมีความแตกต่างของคณะวิชามากเช่นมหาวิทยาลัยที่ผมทำงานอยู่
ก็จะมีวิชาทางด้านนี้ให้เลือกหลากหลายมาก
(ไม่ว่าจะเป็นสารพัดภาษา
สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์
ประวัติศาสตร์ การตลาด
การเมืองการปกครอง นิติศาสตร์
จิตวิทยา นันทนาการ
หรืออาหารและยาในชีวิตประจำวัน)
ที่นี้ก็จะเหลืออีก
145
- 87 - 12 = 46 หน่วยกิตให้มหาวิทยาลัยปรับแต่ง
เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของบัณฑิตที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยนั้น
เช่นอาจกำหนดว่าต้องมีเรียนภาษาเพิ่มเติมอีก
3
หน่วยกิต
หรือเรียนวิชาเลือกเสรี
(คือวิชาอะไรก็ได้
เช่น เต้นรำ ถ่ายรูป กีฬา
สันทนาการต่าง ๆ ธรรมะ ฯลฯ)
เพิ่มเติมอีก
6
หน่วยกิต
ฯลฯ ตรงนี้ขอสมมุติให้เป็น
15
หน่วยกิตก่อนก็แล้วกัน
ดังนั้นหน่วยกิตที่เหลือให้ทางคณะและภาควิชาปรับแต่งก็จะเหลือ
46
- 15 = 31 หน่วยกิต
ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันแล้วว่าคณะวิศวกรรมศาตร์ในสถาบันต่าง
ๆ มีนโยบายอย่างไร
คือคณะวิศวกรรมศาสตร์ในบางสถาบันอาจมีการกำหนดเพิ่มเติมว่าไม่ว่าจะเรียนวิศวสาขาใดก็ตาม
ต้องมีเรียนวิชา xxxxx
(แล้วแต่คณะกำหนด)
อีก
yy
หน่วยกิต
ซึ่งวิชาตรงนี้อาจจะเป็นหรือไม่เป็นวิชาของคณะวิศวกรรมศาตร์ก็ได้
หักหน่วยกิตส่วนนี้ออกแล้วก็เหลือหน่วยกิตวิชาที่ภาควิชาสามารถเลือกที่จะสอนเองได้
ซึ่งส่วนหลังนี้ขึ้นอยู่กับความถนัดและความเชี่ยวชาญของอาจารย์ในแต่ละภาควิชานั้น
ทีนี้ถ้าจะถามว่าถ้าเรียนวิศวกรรมเคมีแต่ละที่
ความรู้ที่ได้รับนั้นจะเหมือนกันไหม
คำตอบก็คือถ้าเป็นวิชาที่ต้องนำไปใช้ขอใบประกอบวิชาชีพ
ไม่ว่าจะเรียนที่สถาบันใดมันก็ควรจะเหมือนกันหมด
เพราะมันถูกกำหนดเอาไว้ด้วยสภาวิศกร
ซึ่งเป็นสภาวิชาชีพที่กำหนดความรู้ขั้นต่ำของผู้ที่จะทำงานด้านวิศวกรรมเคมี
แต่ในทางปฏิบัติมันมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง
ซึ่งเป็นเพราะปัจจัยหลาย
ๆ อย่างเช่น เทคนิคการเรียนการสอน
บรรยากาศการเรียน คุณสมบัติผู้เรียน
วิชาที่ทางคณะ/สถาบันกำหนดเพิ่มเติมขึ้นมาว่าเป็นการเสริมวิชาแกนหลักหรือไม่
เป็นต้น
แต่ถ้าพิจารณาจากความรู้ที่ได้รับเมื่อเรียนจบหลักสูตร
โดยความเห็นส่วนตัว
จากประสบการณ์ที่ได้สอนนิสิตระดับปริญญาโทที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่าง
ๆ ในประเทศมา ๒๐ ปี
ก็พอจะกล่าวได้ว่าบัณฑิตสาขาวิศวกรรมเคมีที่จบจากต่างสถาบันนั้นก็มีความรู้ที่แตกต่างกันอยู่
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ
(ก)
แต่ละสถาบันมีความแตกต่างกันอยู่
ทำให้เกิดความแตกต่างของวิชาที่สอนในส่วนที่ทาง
สกอ.
และมหาวิทยาลัยเป็นผู้กำหนด
เช่นสถาบันที่เน้นหนักเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ
ก็อาจไม่มีวิชาทางด้านสังคมศาสตร์
ภาษาศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ชีวภาพ
ให้เลือกมากนัก
ในขณะที่สถาบันที่มีความหลากหลายทางด้านการศึกษาก็จะมีวิชาเลือกในส่วนหลังนี้ให้เลือกเรียนมากกว่า
ซึ่งถ้าให้ผมจำแนกประเภทสถาบัน
ก็คงจะแยกออกได้เป็น ๔
กลุ่มดังนี้
กลุ่มที่
๑ คือสถาบันที่มีการเรียนการสอนทั้งด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ
(วิศวกรรมศาสตร์อยู่ในกลุ่มนี้)
วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
(พวกกลุ่มคณะแพทย์ต่าง
ๆ)
และด้านสายสังคมศาสตร์
(พวกนิติศาสตร์
รัฐศาสตร์ ครุศาสตร์ อักษรศาสตร์
พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
ฯลฯ)
ควบคู่กันมาตั้งแต่ต้น
โดยที่ไม่มีสายไหนเด่นกว่าใคร
สถาบันเหล่านี้มักจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนวิชาอื่นนอกเหนือจากวิชาทางวิศวกรรมได้หลากหลาย
กลุ่มที่
๒
คือสถาบันที่เริ่มต้นด้วยการเรียนการสอนที่เน้นทางด้านวิทยาศาสตร์กายภาพเป็นหลัก
สถาบันเหล่านี้มักจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนลึกทางวิศวกรรมภาคปฏิบัติ
กลุ่มที่
๓
คือสถาบันที่เริ่มต้นด้วยการเรียนการสอนที่เน้นทางด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพเป็นหลัก
สถาบันเหล่านี้มักจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนลึกทางวิทยาศาสตร์
กลุ่มที่
๔ คือสถาบันที่เริ่มต้นด้วยการเรียนการสอนทางด้านสังคมศาสตร์เป็นหลัก
(ข)
อาจารย์ในแต่ละภาควิชาวิศวกรรมเคมีต่างมีความถนัดที่ไม่เหมือนกัน
ทำให้วิชาเลือกเฉพาะทางทางด้านวิศวกรรมเคมี
(ที่นิสิตสามารถเลือกเรียนตอนปี
๓ หรือปี ๔)
ของแต่ละภาควิชามีความแตกต่างกันอยู่
ตัวอย่างของวิชาเหล่านี้ได้แก่
ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในอุตสาหกรรม
วิศวกรรมชีวเคมี การขึ้นรูปพอลิเมอร์
เทคนิคการควบคุมกระบวนการผลิต
เทคนิคการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของกระบวนการผลิต
อุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ
อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
อุตสาหกรรมอาหาร ฯลฯ
แล้ว
"วิศวกรรมเคมี"
และ
"เคมีเทคนิค"
แตกต่างกันอย่างไร
ผู้ที่เรียนภาควิชาวิศวกรรมเคมีในคณะวิศวกรรมศาสตร์จะได้รับปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต
ส่วนผู้ที่เรียนภาควิชาเคมีเทคนิคในคณะวิทยาศาสตร์จะได้รับปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต
แต่ผู้ที่เรียนจบจากภาควิชาเคมีเทคนิคนั้นสามารถขอใบประกอบวิชาชีพทางด้านวิศวกรรมเคมีได้เหมือนกับผู้ที่จบจากภาควิชาวิศวกรรมเคมี
(ในวงการแล้วไม่ถือว่าแตกต่างกัน)
ก็เพราะมีการเรียนการสอนในส่วนของวิชาที่ทางสภาวิศวกรกำหนดเหมือนกัน
(ส่วนเรื่องที่ว่าทำไปจึงมีภาควิชานี้ของคณะวิทยาศาสตร์เพียงภาควิชาเดียวของประเทศ
ที่สามารถขอใบประกอบวิชาชีพทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ได้นั้น
ขออนุญาตไม่กล่าวถึง
เพราะเรื่องมันยาว
ต้องย้อนไปถึงการเริ่มก่อตั้งสาขาวิชาวิศวกรรมเคมีในประเทศไทยเมื่อเกือบ
๖๐ ปีที่แล้ว)
แต่จะมีความแตกต่างอยู่บ้างตรงนี้วิชาเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่สภาวิศวกรเป็นผู้กำหนด
โดยทางคณะวิทยาศาสตร์นั้นจะมีการเสริมวิชาพื้นฐานทาง
"วิทยาศาสตร์"
นอกเหนือไปจากขั้นต่ำที่สภาวิศวกรกำหนด
แต่ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์นั้นจะมีการเสริมวิชาพื้นฐานทางด้าน
"วิศวกรรมศาสตร์"
นอกเหนือไปจากขั้นต่ำที่สภาวิศวกรกำหนด
ซึ่งเป็นเพราะธรรมชาติของแต่ละคณะนั่นเอง
(คือใครถนัดด้านไหนก็สอนเสริมด้านนั้น)
ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า
"วิศวกรรมปิโตรเคมี"
และ
"วิศวกรรมปิโตรเลียม"
นั้นแตกต่างกันอย่างไร
"วิศวกรรมปิโตรเลียม"
เน้นไปที่การสำรวจและขุดเจาะ
คือหาว่าน้ำมันและแก๊สธรรมชาติอยู่ที่ไหน
แล้วหาทางเอามันขึ้นมาจากใต้ดินให้ได้
สาขาวิศวกรรมปิโตรเลียมเป็นส่วนที่แยกออกมาจากวิศวกรรมเหมืองแร่
ทั้งนี้เพราะรูปแบบการนำทรัพยากรจากใต้ดิน
(ที่เป็นน้ำมันและแก๊ส
กับที่เป็นแร่ธาตุที่เป็นของแข็ง)
ขึ้นมานั้นไม่เหมือนกัน
และสาขาวิศวกรรมปิโตรเลียมก็ยังได้ใบประกอบวิชาชีพในสาขาวิศวกรรมเหมืองแร่ด้วย
พอเอาน้ำมันหรือแก๊สธรรมชาตขึ้นมาจากใต้ดินแล้ว
จะเอาไปแปรสภาพเป็นอะไรต่อก็เป็นเรื่องของ
"วิศวกรรมเคมี"
ในวงการอุตสาหกรรมนั้น
อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปสารเคมีนั้น
เขานิยมจำแนกตาม "วัตถุดิบ"
ที่นำมาแปรรูป
ซึ่งทำให้แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่
ๆ ได้ดังนี้
กลุ่มที่
๑ ได้แก่อุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ
กลุ่มนี้ทำหน้าที่เอาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมาแยกออกเป็นส่วนประกอบต่าง
ๆ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือตัวทำละลาย
หรือใช้เป็นสารตั้งต้นสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
กลุ่มที่
๒ ได้แก่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
คือพวกที่รับเอาผลิตภัณฑ์จากกลุ่มอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมาแปรรูป
ซึ่งเริ่มตั้งแต่โรงงานผลิตโอเลฟินส์หรืออะโรมาติกต่าง
ๆ ไปจนถึงโรงงานผลิตเป็นเม็ดพลาสติก
กลุ่มที่
๓ อุตสาหกรรมเคมี คำนี้เป็นภาพกว้าง
แต่มักจะหมายถึงอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบหลักที่ไม่ได้มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ
ตัวอย่างของอุตสาหกรรมเคมีได้แก่
อาหาร ยา กระจก ปูนซิเมนต์
เป็นต้น
แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของ
"อุปกรณ์การผลิต"
ที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยหลักการออกแบบมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกัน
เช่นการคำนวณหาขนาดของปั๊มหรือท่อที่ใช้ในการสูบจ่าย
น้ำ น้ำมัน หรือน้ำกรด
ต่างก็ใช้สมการเดียวกัน
ไม่จำเป็นต้องมีการเรียนแยก
เพียงแต่มันไปแตกต่างตรงที่การเลือกชนิดของวัสดุที่ใช้ทำตัวปั๊มหรือท่อ
และอุปกรณ์ขับเคลื่อน
(เช่นชนิดมอเตอร์ไฟฟ้า)
ให้เหมาะกับสารเคมีที่ปั๊มนั้นทำงานด้วย
หรือสภาพแวดล้อมของที่ตั้งปั๊ม
(เช่น
ในร่ม กลางแจ้ง
มีไอระเหยของสารเคมีที่ระเบิดได้
เป็นต้น)
และเนื้อหาเหล่านี้หลักสูตร
"วิศวกรรมเคมี"
ก็ครอบคลุมเอาไว้อยู่แล้ว
ความรู้ทางปิโตรเคมีหรือกลั่นน้ำมัน
เป็นเพียงแค่ความรู้เสริมสำหรับงานเฉพาะทางเท่านั้นเอง
เป็นเพียงแค่วิชาเลือกในหลักสูตรที่ภาควิชาวิศวกรรมเคมีแต่ละแห่งจะเปิดสอนหรือไม่ก็ได้
ดังนั้นสภาวิศวกรจึงมีใบประกอบวิชาชีพให้เฉพาะ
"วิศวกรรมเคมี"
เท่านั้น
ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ
"วิศวกรรมปิโตรเคมี"
และไม่ได้นับรวมอยู่ในสาขาวิศวกรรมเคมี
แล้วใบประกอบวิชาชีพทางวิศวกรรมนั้นสำคัญแค่ไหน
ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะงาน
วิศวกรจำนวนไม่น้อยที่ทำงานโดยไม่มีใบประกอบวิชาชีพ
(คือไม่ได้ขอ)
แม้ว่าจะจบในสาขาที่มีใบประกอบวิชาชีพ
ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำงานในตำแหน่งหน้าที่ใด
(บางตำแหน่งงานผู้ไม่มีใบประกอบวิชาชีพก็สามารถทำงานได้
แต่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้มีใบประกอบวิชาชีพ)
ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็คงจะเป็นใบขับขี่ยานพาหนะ
ถ้าคุณมีใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล
คุณได้รับอนุญาตให้ขับเฉพาะรถยนต์ส่วนตัวได้
แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถแท๊กซี่
(แม้ว่ารถยนต์ส่วนตัวที่คุณขับและรถแท๊กซี่นั้นจะเป็นรถรุ่นเดียวกัน)
หรือรถบัสหรือรถบรรทุกขนาดใหญ่
ถ้าคุณมีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์รับจ้าง
คุณสามารถขับรถแท๊กซี่ได้
และก็ใช้ขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลได้
แต่จะไปขับรถบัสหรือรถบรรทุกขนาดใหญ่ไม่ได้
ถ้าคุณมีใบอนุญาตขับขี่รถบัสหรือรถบรรทุกขนาดใหญ่
คุณสามารถใช้ใบอนุญาตนั้นมาขับขี่รถยนต์ขนาดเล็กได้
แต่ถ้าคุณต้องการขี่มอเตอร์ไซค์
คุณก็ต้องมีใบขับขี่ต่างหาก
จะเอาใบขับขี่รถยนต์มาใช้ขับมอเตอร์ไซค์ไม่ได้
และจะเอาใบขับขี่มอเตอร์ไซค์มาใช้ขับรถก็ไม่ได้
เพราะรถยนต์กับมอเตอร์ไซค์ใช้ทักษะที่แตกต่างกัน
คนละเรื่องกัน
ถ้าคุณเป็นพนักงานส่งเอกสารหรือสิ่งของจำนวนไม่มาก
ที่เน้นเฉพาะในตัวเมือง
และใช้มอเตอร์ไซค์เป็นหลัก
คุณก็มีเพียงแค่ใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ก็ได้
แต่จะไปเป็นพนักงานขับรถยนต์ของบริษัทไม่ได้
ถ้าคุณเป็นเป็นพนักงานส่งเอกสารหรือสิ่งของจำนวนมาก
ที่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดและต้องใช้รถยนต์
คุณก็ต้องมีใบขับขี่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล
แต่คุณจะไปขับรถบรรทุกใหญ่หรือรถบัสของบริษัทไม่ได้
แต่ถ้าคุณอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ต้องขับรถให้ใครเลย
หรือมีคนขับรถให้
คุณไม่ต้องมีใบขับขี่เลยก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น