ช่วงตอนที่ผมเข้ามาเรียนนั้น
(พ.ศ.
๒๕๒๗)
ถ้าไม่นับพวกโต๊ะโรงเรียนแล้ว
ก็เรียกว่านิสิตคณะวิศวจับกลุ่มนั่งกันตาม
"ชั้นปี"
คือนิสิตชั้นปีที่
๑ จะนั่งกันอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามตึกจักรพงษ์และหอนาฬิกา
นิสิตปี ๒-๔
จะไปนั่งกันที่ข้างลานอักษร
ที่ปัจจุบันคือสนามหญ้าข้างเทวาลัยด้านฝั่งคณะวิศวกรรมศาสตร์
ช่วงเวลานั้นตึกจักรพงษ์ยังเป็นที่ทำการขององค์การบริหารนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหรือที่เรียกกันย่อ
ๆ ว่า อบจ.
(ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงองค์การบริหารส่วนจังหวัดนะครับ)
ดังนั้นตึกนี้จึงไม่เงียบเหงาอะไรเพราะมีนิสิตแวะเวียนไปมาอยู่เสมอ
ยิ่งพอใกล้งานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์
ก็จะมีการซ่อมเพลทแปรอักษรกัน
สถานที่นั่งทำงานซ่อมเพลทกันก็คือสนามหญ้ารอบ
ๆ หอนาฬิกานั่นแหละครับ
ห้องน้ำก็ไม่ต้องเดินไปไกล
ก็ใช้กันที่ชั้นล่างของตึก
ร้านขายของกินก็มีเช่นกัน
ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นร้านลูกชิ้นปิ้ง
นั่นเป็นบรรยากาศเมื่อประมาณ
๓๐ ปีที่แล้ว
ที่แตกต่างไปจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
และคงเป็นภาพที่เหลืออยู่เพียงแค่ในความทรงจำของแต่ละคนที่อยู่ในช่วงเวลานั้น
สัปดาห์ที่แล้วก็เลยถือโอกาสแวะเวียนเข้าไปข้างใน
เพื่อบันทึกภาพสภาพปัจจุบันเอาไว้หน่อยว่าตอนนี้ภายในตึกนี้เป็นอย่างไร
ภาพในชุดนี้บันทึกไว้เมื่อวันศุกร์ที่
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่ผ่านมาครับ
รูปที่
๑ ตึกจักรพงษ์
ที่อดีตเคยเป็นที่ทำการองค์การบริหารนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(อบจ.)
จนกระทั่งปีพ.ศ.
๒๕๒๘
จึงได้ย้ายออกไป
จากสถานที่ที่เคยเต็มไปด้วยนิสิตที่มาทำกิจกรรมกันทั้งภายในตึกและบริเวณรอบตึก
ก็กลายเป็นบริเวณที่เงียบ
(ถ้าไม่นับเสียงรถที่วิ่งผ่าน)
ในปัจจุบัน
รูปที่
๒ อีกมุมหนึ่งของตึกจักรพงษ์
มองจากฝั่งคณะวิศวกรรมศาสตร์
อาคารสูงที่เห็นด้านหลังคืออาคารมหาวชิรุณหิศของคณะวิทยาศาสตร์
ประตูหลักที่ใช้เป็นทางเข้าตึกกันก็คือประตูด้านหอนาฬิกา
อันที่จริงประตูตึกด้านที่อยู่ตรงข้ามกับคณะวิศวนั้นก็เป็นประตูเข้าตึกเช่นกัน
แต่เปิดเข้าไปแล้วก็จะเป็นบันไดเดินขึ้นไปชั้น
๒ เลย
ไม่เหมือนประตูด้านหอนาฬิกาที่เป็นทางเข้าชั้นล่างของอาคาร
ตอนนี้ห้องต่าง ๆ
ของอาคารชั้นล่างทางฝั่งคณะวิศวเป็นห้องทำงานของเจ้าหน้าที่
โดยบริเวณที่เหลือเป็นพื้นที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติมหาวิทยาลัย
ตึกนี้ผมเข้าไปทีไร
ถ้าไม่ชวนใครเข้าไปด้วย
ก็กลายเป็นเข้าไปเดินอยู่คนเดียวทุกที
เข้าชมฟรีนะครับ
ไม่มีการเก็บค่าเข้าชมหรือตรวจบัตร
ไม่มีใครมาคอยทักทาย
เปิดประตูทางเข้าแล้วเดินเข้าไปได้เลย
เดินชั้นล่างไม่ต้องถอดรองเท้า
แต่ถ้าจะขึ้นชมชั้นสองเขาให้ถอดรองเท้าก่อน
มีช่องเก็บรองเท้าอยู่ใกล้
ๆ กับบันไดทางขึ้นชั้นสอง
ประวัติของตึกนี้ที่มีการจัดแสดงไว้บอกว่า
พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ทรงบริจาคเงินเพื่อสร้างอาคารหลังนี้ในปีพ.ศ.
๒๔๗๔
เพื่อให้ใช้เป็นที่ทำงานของสโมสรนิสิต
ตึกนี้สร้างแล้วเสร็จและทำพิธีเปิดตึกวันที่
๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๔๗๖
เวลา ๑๗.๐๐
น และได้ใช้เป็นที่ทำการของสโมสรนิสิตมาจนถึงปีพ.ศ.
๒๕๒๘
ก่อนจะย้ายออกไป
(ก็ตอนที่ตึกจุลจักรพงษ์ที่อยู่ด้านหลังศาลาพระเกี้ยวสร้างเสร็จ)
จากนั้นตึกนี้ก็ได้รับการปรับปรุงและใช้เป็นส่วนจัดแสดงประวัติมหาวิทยาลัยมาจนถึงทุกวันนี้
ถ้าไม่มีเรื่องราวพิเศษอะไร
Memoir
ฉบับนี้ก็จะเป็นฉบับสุดท้ายของปีนี้แล้ว
แล้วพบกันใหม่ปีหน้า
(ซึ่งจะว่าไปก็อีกไม่กี่วันข้างหน้า)
ครับ
สุขสันต์ปีใหม่กันทุกคนนะครับ
สวัสดี
รูปที่
๓ มองจากด้านคณะวิศวกรรมศาสตร์ออกไป
ประตูทางเข้าด้านนี้เป็นบันไดขึ้นตรงไปยังชั้น
๒ ได้เลย
รูปที่
๕ ทางด้านขวาของประตูทางเข้า
จะมีบันไดขึ้นไปชั้น ๒
รูปที่
๗ เปียโนที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ
ทางบันเลงในงานวันทรงดนตรี
ณ หอประชุมจุฬาฯ
รูปที่
๑๐ ฉลองพระองค์ครุยอักษรศาสตร์บัณฑิต
ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
ฯ สยามบรมราชกุมารี
ที่คณะอักษรศาสตร์ทูลเกล้าฯ
ถวายตามธรรมเนียม
ในฐานะที่ทรงได้คะแนนยอดเยี่ยม
รูปที่
๑๒
พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ทรงบริจาคเงินเพื่อสร้างอาคารหลังนี้ในปีพ.ศ.
๒๔๗๔
พิธีเปิดตึกนี้มีในวันที่
๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๔๗๖
เวลา ๑๗.๐๐
น
รูปที่
๑๔ บริเวณลานที่เคยเป็นที่นั่งพักรวมตัวกันของนิสิตปี
๑ คณะวิศวกรรมศาตร์
แต่เดิมบริเวณนี้เป็นลานดิน
มีม้านั่งหินตั้งอยู่
เมื่อมีการจัดงานนิทรรศการวิชาการทางวิศวกรรมครั้งที่
๘ กับงานจุฬาวิชาการในเดือนพฤศจิกายนปีพ.ศ.
๒๕๓๐
พื้นที่ตรงบริเวณนี้เลยได้รับการปรับปรุง
มีการปูพื้นอิฐตัวหนอนและสร้างศาลาที่เห็นในภาพเพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงนิทรรศการในส่วน
"ในหลวงกับงานช่าง"
ตำแหน่งหน้าลานนี้เป็นจุดรับ-ส่งเสด็จในหลวงรัชกาลที่
๙ ที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรศูนย์คอมพิวเตอร์
CAD-CAM
ของคณะที่ห้องคอมพิวเตอร์ตึก
๓ ชั้นล่าง
ก่อนที่จะเสด็จพระราชดำเนินชมงานนิทรรศกาลของคณะวิศวไปจนถึงลานด้านในคณะที่นิสิตปัจจุบันเรียกว่าลานเกียร์
และเสด็จพระราชดำเนินกลับในเส้นทางเดิมเพื่อมาประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จกลับ
ณ บริเวณข้างตึกจักรพงษ์นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น