ไม่ได้ซื้อตู้เย็นใหม่มากว่า
๕ ปี พอวันนี้ต้องไปช่วยคุณแม่เลือกซื้อตู้เย็น
ก็เลยได้เห็นป้ายเตือนที่
(ผมเข้าใจว่า)
เพิ่งจะเริ่มออกสู่ท้องตลาดได้ไม่นาน
นั่นคือป้ายคำเตือนให้ระวังการเกิดไฟไหม้และการระเบิดที่ติดไว้หลังตู้เย็น
เครื่องทำความเย็นไม่ว่าจะเป็น
ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศในบ้าน
หรือเครื่องปรับอากาศในรถยนต์
ต่างก็ใช้หลักการเดียวกัน
แต่ด้วยลักษณะการใช้งานและการติดตั้ง
ทำให้เครื่องทำความเย็นทั้งสามชนิดนั้นต้องการการบำรุงรักษาที่แตกต่างกัน
ในกรณีของตู้เย็นนั้นถือว่าเป็นสินค้าสำเร็จรูปพร้อมใช้งาน
ผ่านการประกอบและตรวจสอบมาจากบริษัทผู้ผลิต
สารทำความเย็นถูกบรรจุอยู่ในระบบและปิดตายด้วยการเชื่อม
ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องการรั่วไหลของสารทำความเย็นทางข้อต่อ
เรียกว่าใช้กันได้นานจนกว่าคอมเพรสเซอร์จะพัง
เครื่องปรับอากาศตามบ้านนั้นปัจจุบันจะมาแบบแยกสองชิ้นส่วน
แผงคอยล์เย็นจะติดตั้งในห้องที่ต้องการปรับอุณหภูมิ
โดยมีแผงคอยล์ร้อนติดตั้งอยู่นอกอาคาร
หลังจากติดตั้งแผงคอยล์เย็นและคอยล์ร้อนแล้ว
ช่างต้องทำการเดินท่อน้ำยา
(ท่อทองแดง)
เชื่อมต่อแผงทั้งสอง
จากนั้นจึงทำสุญญากาศในระบบท่อแล้วเติมน้ำยาแอร์
น้ำยาแอร์นี้จะอยู่ได้นานเท่าใดจะขึ้นอยู่กับฝีมือช่างติดตั้ง
ถ้าช่างติดตั้งทำงานดีก็จะไม่มีปัญหาอะไร
คืออยู่ได้นานจนแอร์พังไปเอง
(เช่นคอยล์เย็นผุจนรั่ว)
แต่ถ้าการติดตั้งมีบางจุดทำงานไม่เรียบร้อย
ก็อาจต้องมีการเติมน้ำยาแอร์เป็นระยะจนกว่าจะหาว่ามันรั่วตรงไหน
แต่เท่าที่เคยเจอมาก็แทบจะไม่เจอปัญหาดังกล่าว
ระบบเครื่องปรับอากาศรถยนต์จะมีแผงคอยล์เย็นอยู่ในตัวรถ
ส่วนแผงคอยล์ร้อนจะอยู่ในฝากระโปรงหน้า
ที่เห็นเป็นประจำก็จะอยู่ข้างหน้าหม้อน้ำ
ชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศจะมาเป็นชิ้น
ๆ
และประกอบเข้ากับตัวรถทำนองเดียวกับเครื่องปรับอากาศที่ใช้กันตามบ้าน
แต่การเดินท่อนั้นจะแตกกันคือมีการใช้ท่อยางแทนการใช้ท่อทองแดง
และยังมีจุดต่อท่อที่มากกว่า
นอกจากนี้ยังทำงานในสภาพที่มีความร้อนสูง
(คืออยู่ในฝากระโปรงหน้า)
และมีการสั่นสะเทือน
ผลก็คือชิ้นส่วนต่าง ๆ
มีโอกาสชำรุดได้ง่ายกว่า
โดยเฉพาะตรงท่อยางน้ำยาแอร์ที่ฉีกขาดจนรั่ว
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พบว่าต้องมีการซ่อมแซมบ่อยครั้งกว่าและเติมน้ำยาแอร์กันบ่อยครั้งกว่า
คุณลักษณะแรกที่สำคัญของสารทำความเย็นที่สามารถใช้งานได้ที่อุณหภูมิห้องก็คือ
ต้องสามารถใช้ความดันทำให้มันเป็นของเหลวได้ที่อุณหภูมิห้อง
ไฮโดรคาร์บอน C3
และ
C4
ก็เป็นพวกแรก
ๆ ที่มีการนำมาใช้กัน
แต่เนื่องจากมันมีอันตรายจากการที่มันติดไฟและทำให้เกิดการระเบิดได้ถ้ารั่วไหลออกมา
จึงทำให้ไม่เป็นนำมาใช้เป็นสารทำความเย็นสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน
(พวกตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ)
และถูกแทนที่ด้วยสารทำความเย็นพวก
chlorofluorocarbon
หรือที่เรียกกันย่อว่า
CFC
ที่มีอะตอมคลอรีนและฟลูออรีนเป็นองค์ประกอบร่วม
โดยตัวที่เป็นปัญหาคือพันธะระหว่างอะตอม
C-Cl
ของโมเลกุล
CFC
ที่แตกออกได้ง่ายเมื่อเทียบกับโครงสร้างส่วนอื่นของโมเลกุล
ต่อมามีการค้นพบว่า
CFC
เป็นสารทำลายชั้นโอโซน
ก็เลยมีการรณรงค์ให้เลิกใช้และให้หันไปใช้สารตัวอื่นที่ทำลายชั้นโอโซนน้อยกว่า
(คือยังทำลายได้อยู่นะ)
ซึ่งก็ได้แก่
hydrofluorocarbon
หรือ
HFC
ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีอะตอมคลอรีน
สาร HFC
นี้เข้าไปแทนที่
CFC
ทั้งในตัวตู้เย็น
เครื่องปรับอากาศตามบ้านและที่ใช้กับรถยนต์
เมื่อสักกว่ายี่สิบปีที่แล้วเคยได้ยินข่าวเรื่องการพยายามนำเอาไฮโดรคาร์บอน
C3
และ
C4
มาใช้เป็นสารทำความเย็นสำหรับตู้เย็นใหม่
แต่ก็ยังประสบกับปัญหาเรื่องความปลอดภัย
ทำให้เห็นเงียบหายไปนาน
มีแต่เพียงการนำเอาบิวเทนมาใช้เป็นสารให้ความดัน
(propellant)
ในกระป๋องสเปรย์ต่าง
ๆ มาตอนนี้เห็นมีการออกตัวการใช้บิวเทนกับตู้เย็นกันแล้ว
คงเป็นเพราะสามารถแก้ปัญหาทางเทคนิคต่าง
ๆ จนมั่นใจว่าสามารถนำมาใช้กับตู้เย็นที่วางตั้งในอาคาร
โดยไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องไฟไหม้เนื่องจากแก๊สรั่วออกจากตู้เย็น
ตู้เย็นตัวที่ได้มาใหม่นั้นใช้สารทำความเย็นคือ
R600a
หรือไอโซบิวเทน
(isobutane)
แต่ถ้าเป็น
R600
(ไม่มี
a
ต่อท้าย)
ก็จะเป็นนอร์มัลบิวเทน
(n-butane)
ส่วนการนำไปใช้กับเครื่องปรับอากาศตามบ้านและรถยนต์นั้นคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่
ๆ เพราะมันมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะเกิดการรั่ว
และการติดตั้งยังขึ้นอยู่กับฝีมือช่างแต่ละรายด้วย
โดยเฉพาะในกรณีของรถยนต์
ที่มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้วที่จะเกิดการรั่วไหลของสารทำความเย็นได้ในห้องเครื่อง
ทำให้โอกาสเกิดเพลิงไหม้ในห้องเครื่องสูงตามไปด้วย
แบบที่เราเห็นข่าวรถยนต์ที่เพิ่งนำไปติดแก๊สนั้นเกิดเพลิงไหม้อยู่เรื่อย
ๆ
ต่อไปเวลาไฟไหม้บ้าน
นอกจากถังแก๊สหุงต้มแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่พนักงานดับเพลิงต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษเพิ่มเติมเข้ามาก็เห็นจะได้แก่
"ตู้เย็น"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น