เรื่องน้ำเปียกผิวแก้วนี่เป็นเรื่องปรกติที่เชื่อว่าเป็นที่รู้กันทั่วไป
เวลาที่เรารินน้ำจากแก้วใบหนึ่งใส่แก้วอีกใบหนึ่งจน
"หมด"
(คือไม่มีหยดน้ำไหลออกแล้ว)
เราจะพบว่าแก้วที่รินน้ำออกนั้นจะมีน้ำบางส่วนเปียกพื้นผิวอยู่
ดังนั้นน้ำที่สามารถรินใส่แก้วอีกใบหนึ่งได้นั้นจะน้อยกว่าน้ำที่อยู่ในแก้วใบเดิมเล็กน้อย
เรื่องนี้ในชีวิตประจำวันไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาอะไร
แต่สำหรับงานทางเคมีที่ต้องการความละเอียดสูง
เป็นเรื่องที่ควรคำนึง
เพื่อให้เห็นภาพ ขอเริ่มจากการทดลองง่าย
ๆ ด้วยการรินน้ำจากกระบอกตวงใบหนึ่งใส่กระบอกตวงอีกใบหนึ่งดังรูปที่
๑ ข้างล่าง
รูปที่
๑ รินน้ำจากกระบอกตวงขนาด
25
ml ใบซ้ายใส่กระบอกตวงขนาด
25
ml ใบขวา
จะเห็นว่าปริมาตรน้ำที่รินได้นั้นจะลดลงเล็กน้อย
(กระบอกตวงแต่ละใบมีการสอบเทียบความถูกต้องและมีเอกสารรับรองประจำแต่ละใบ)
จากรูปที่
๑ จะเห็นว่าปริมาตรที่หายไปนั้นแม้ว่าจะน้อย
แต่ก็สังเกตด้วยตาเปล่าเห็น
สำหรับงานที่ไม่ได้ต้องการความถูกต้องสูงมาก
การใช้กระบอกตวงตวงของเหลวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่ที่มันเป็นปัญหาก็คือ
เคยเห็นนิสิตบางคนเวลาทำแลปจะเตรียม
"สาระลายมาตรฐานปฐมภูมิ
(primary
standard)" ด้วยการชั่งของแข็งที่ต้องการละลาย
(เช่น
AgNO3)
ใส่ในบีกเกอร์
จากนั้นก็ใช้กระบอกตวงตวงน้ำให้ได้ปริมาตรที่ต้องการแล้วเทใส่บีกเกอร์
(ถ้าเป็นสารละลายมาตรฐานทุติยภูมิ
หรือ secondary
standard ก็ยังพอว่า
เพราะยังไงท้ายสุดแล้วพอได้สารละลายแล้วก็ต้องนำสารละลายที่ได้ไปหาความเข้มข้นที่แน่นอนอีกที)
วิธีการที่ดีกว่าคือการใช้ขวดวัดปริมาตร
(volumetric
flask) แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา
(รูปที่
๒)
รูปที่
๒ การเติมน้ำใส่ขวดวัดปริมาตร
ควรระวังอย่าให้น้ำเปียกผิวแก้วบริเวณที่อยู่สูงกว่าขีดวัดปริมาตร
เพราะถ้าเติมจนพอดีขีดวัดปริมาตร
น้ำส่วนที่เปียกผิวแก้วนั้นจะเป็นน้ำส่วนเกิน
ในทางกลับกันพอเราเติมน้ำได้พอดีแล้วทำการพลิกขวดเพื่อให้สารละลายในขวดเป็นเนิ้อเดียวกัน
พอวางขวดตั้งใหม่จะเห็นระดับน้ำลดต่ำลงเล็กน้อย
เพราะบางส่วนไปเปียกผิวแก้วอยู่ข้างบน
ไม่ต้องทำการเติมน้ำเข้าไปชดเชย
อุปกรณ์วัดปริมาตรของเหลวนั้น
เราจะเติมของเหลวจนถึงระดับขีดปริมาตรที่ต้องการ
ความถูกต้องในการอ่านนั้นขึ้นอยู่กับพื้นที่หน้าตัดของบริเวณที่แสดงขีดวัดปริมาตร
ถ้าบริเวณดังกล่าวมีพื้นที่หน้าตัดเล็ก
ปริมาตรของเหลวที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจะทำให้เห็นการเปลี่ยนระดับความสูงที่ชัดเจน
อุปกรณ์พวก transfer
pipette จึงวัดปริมาตรได้ถูกต้องกว่ากระบอกตวง
(เพราะพื้นที่หน้าตัดตรงบริเวณขีดบอกปริมาตรของ
transfer
pipette นั้นเล็กกว่าของกระบอกตวงมาก)
ส่วนบีกเกอร์นั้นเป็นอุปกรณ์วัดปริมาตรแบบคร่าว
ๆ (งานที่ไม่ได้ต้องการความถูกต้องสูง)
ไม่เหมาะสำหรับการใช้วัดปริมาตรของเหลวเพื่อเตรียมสารละลายมาตรฐานใด
ๆ รูปที่ ๓ ข้างล่างได้มาจากการเติมน้ำใส่
volumetric
flask ขนาด
100
ml ก่อน
จากนั้นจึงเทน้ำดังกล่าวใส่บีกเกอร์ขนาด
600
ml จะเห็นความแตกต่างของระดับอยู่
(แต่อย่าเพิ่งรีบสรุปนะครับว่าขีดบอกปริมาตรข้างบีกเกอร์มันบอกปริมาตรสูงเกินจริง
บางใบที่เคยเห็นมันก็บอกต่ำกว่าความเป็นจริง)
นอกจากนี้ด้วยการที่บีกเกอร์มีพื้นที่หน้าตัดกว้าง
ทำให้ยากที่จะสังเกตเห็นหรือไม่สามารถมองเห็นระดับความสูงของของเหลวที่เปลี่ยนแปลงเมื่อปริมาตรของเหลวมีความแตกต่างกันในระดับ
"หยด"
ในขณะที่ความแตกต่างดังกล่าวจะเห็นได้ชัดกับอุปกรณ์วัดปริมาตรพวก
ปิเปต บิวเรต และขวดวัดปริมาตร
ที่หนักกว่าตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นคือ
ตอนสอนแลปเคมีได้มีโอกาสเห็นนิสิตบางรายเตรียมสารละลายมาตรฐานด้วยการใช้ขีดบอกปริมาตรข้างบีกเกอร์นี่แหละเป็นตัวบอกปริมาตรน้ำ
(คือใช้บีกเกอร์แทนขวดวัดปริมาตร
เพราะการกวนของแข็งให้ละลายในบีกเกอร์มันง่ายกว่าการเขย่าให้มันละลายในขวดวัดปริมาตร)
รูปที่
๓ ปริมาตรน้ำที่ขอบบีกเกอร์
600
ml
ทิ้งท้ายด้วยคำถามที่คิดเราน่าจะพิจารณาทบทวนกันก็คือ
เรื่องพื้นฐานเช่นนี้
ควรสอนกันในระดับโรงเรียน
(ที่เห็นมีนักเรียนไปแข่งโอลิมปิควิชาการ
ได้เหรียญต่าง ๆ กลับมากันมากมาย)
หรือต้องมาสอนกันในระดับมหาวิทยาลัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น