บทความชุดนี้ไม่ได้เขียนให้นักวิจัยอ่านนะครับ
แต่เขียนให้คนที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับนักวิจัยอ่าน
"Garbage
in, garbage out"
เป็นคำกล่าวเปรียบเปรยที่มีในวงการคอมพิวเตอร์มานานแล้วครับ
มันเป็นการเปรียบเทียบผลที่คอมพิวเตอร์คำนวณได้กับข้อมูลที่ป้อนเข้าไป
ถ้าคุณป้อนข้อมูลที่เป็นขยะ
(คือไม่ได้เรื่อง)
เข้าไป
มันก็ไม่แปลกหรอกครับที่จะได้ผลลัพธ์
(output)
ที่เป็นขยะออกมาเช่นกัน
พักหลังนี้มีงานวิจัยทางด้าน
simulation
ออกมาเยอะมาก
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะมันลงทุนแค่ซอร์ฟแวร์กับฮาร์ดแวร์นิดหน่อย
จากนั้นก็ใช้จินตนาการที่มีอยู่สร้างแบบจำลองออกมา
แล้วก็ทำการปรับเปลี่ยนพารามิเตอร์ต่าง
ๆ เพื่อดูว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
สิ่งที่มักพบเห็นทั่วไปคือผู้นำเสนอไม่ค่อยให้รายละเอียดของโครงสร้างแบบจำลอง
แต่มักเน้นไปที่การให้เหตุผลอธิบายผลลัพธ์ที่ได้เมื่อทำการปรับพารามิเตอร์ต่าง
ๆ
ทั้ง
ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น
ถ้าพบว่าแบบจำลองมันไม่อิงอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง
ผมว่างานวิจัยนั้นมันก็จบตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว
๑.
การละลายของแก๊สในของเหลว
การออกซิไดซ์ในเฟสของเหลว
(liquid
phase oxidation)
เป็นการทำปฏิกิริยารูปแบบหนึ่งที่มีปรากฏในกระบวนการผลิตทางวิศวกรรมเคมีหลายกระบวนการ
ในอุตสาหกรรมนั้นนิยมใช้อากาศ
(O2
21%) เป็นตัวออกซิไดซ์
เพราะมันไม่ต้องลงทุนจัดหา
ทำเพียงแค่กรองมันให้สะอาดก่อนนำไปใช้ก็พอ
แต่การใช้อากาศก็มีข้อเสียคือ
มันไม่ค่อยว่องไวในการทำปฏิกิริยา
ทำให้มักต้องใช้อุณหภูมิในการทำปฏิกิริยาที่สูงกว่าอุณหภูมิห้อง
(ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องเพิ่มความดันระบบเพื่อคงสารตั้งต้นให้คงอยู่ในสถานะของเหลว)
และมันละลายเข้าไปในของเหลว
(ที่มีสารตั้งต้นละลายอยู่)
ได้น้อย
รูปที่
๑ ปฏิกิริยา liquid
phase oxidation (สารตั้งต้นเป็นของของเหลว)
ด้วยแก๊สที่มีออกซิเจนผสม
เกิดขึ้นใน REACTOR
จากนั้นจึงทำการลดความดันแล้วแยกแก๊สออกจากของเหลวที่
flash
drum (FLASH 2)
รูปที่
๑
เป็นแบบจำลองกระบวนการการออกซิไดซ์สารตั้งต้นตัวหนึ่งที่ละลายอยู่ในเฟสของเหลว
(ในที่นี้คือน้ำ)
ด้วยการใช้แก๊สผสมที่มีสัดส่วน
N2
ต่อ
O2
แตกต่างกัน
สารตั้งต้นได้รับการปรับค่าพีเอชก่อนด้วยสารละลาย
NaOH
ก่อนป้อนเข้าสู่ถังปฏิกรณ์
(ชนิดถังปั่นกวน)
แก๊สผสมระหว่าง
N2
และ
O2
ถูกป้อนเข้าถังปฏิกรณ์โดยใช้คอมเพรสเซอร์
ปฏิกิริยาเกิดขึ้นภายใต้ความดันสูงกว่าความดันบรรยากาศและที่อุณหภูมิที่สูงกว่าอุณหภูมิห้อง
สายผลิตภัณฑ์ที่ออกจากถังปฏิกรณ์จะไหลผ่านวาล์วลดความดันก่อนเข้าสู่ถังแยก
(gas-liquid
separator) ที่แยกส่วนที่เป็นของเหลวและแก๊สออกจากกันด้วยกระบวนการ
flash
(ถังที่ใช้ในกระบวนการแยกแบบนี้มีชื่อว่า
flash
drum การแยกแบบนี้อาศัยหลักที่ว่าที่อุณหภูมิหนึ่งและความดันค่าหนึ่ง
ถ้าเราลดความดันเหนือผิวของเหลวให้ต่ำลง
องค์ประกอบที่มีจุดเดือดต่ำที่อยู่ในของเหลวนั้นจะระเหยกลายเป็นไอออกมามากกว่าองค์ประกอบที่มีจุดเดือดสูง
ทำให้สัดส่วนองค์ประกอบที่มีจุดเดือดต่ำในเฟสของเหลวนั้นลดต่ำลง)
สังเกตเห็นอะไรแปลก
ๆ ในกระบวนการนี้ไหมครับ
ถ้านึกไม่ออกก็ขอบอกคำใบ้ให้นิดนึง
เคยเห็นเขาปั๊มอากาศให้กับตู้เลี้ยงปลาไหมครับ
นั่นแหละครับ
ประเด็นที่อยากชี้ให้ดูมันอยู่ตรงนี้
การละลายของออกซิเจนเข้าไปในของเหลว
(ไม่ว่าจะมีขั้วหรือไม่มีขั้วก็ตาม)
มันไม่ดีอยู่แล้วครับ
ยิ่งอุณหภูมิสูงก็ยิ่งละลายได้น้อยลง
ในถังปฏิกรณ์การออกซิไดซ์ในเฟสของเหลวนี้
อากาศจะถูกป้อนเข้าทางด้านล่างของถัง
และลอยขึ้นสู่ผิวหน้าของเหลว
ในช่วงที่ฟองอากาศลอยขึ้นนี้
ออกซิเจนบางส่วน (เรียกได้ว่าส่วนน้อย)
จะลายลายเข้าไปในเฟสของเหลวและทำปฏิกิริยากับสารตั้งต้นที่ละลายอยู่ในเฟสของเหลว
(หรืออาจเกิดที่ผิวสัมผัสระหว่างฟองอากาศกับเฟสของเหลวด้วยก็ได้)
ดังนั้นอากาศส่วนใหญ่ที่ป้อนเข้าไปจะลอยขึ้นสู่ด้านบนของถังปฏิกรณ์
ก่อนเข้าสู่เครื่องควบแน่น
(หรืออุปกรณ์ใด
ๆ)
ที่ทำหน้าที่ดักไอระเหยของของเหลวที่ลอยติดไปกับอากาศที่ระบายออกทางด้านบนของถังปฏิกรณ์
นั่นคือสิ่งหนึ่งที่แบบจำลองดังกล่าวขาดหายไป
คือเส้นทางการระบายอากาศที่ใช้ในการออกซิไดซ์นั้นออกทางด้านบนของถังปฏิกรณ์
และการที่ควรมีเครื่องควบแน่น
(หรืออุปกรณ์ใด
ๆ)
ที่ทำหน้าที่ดักไอระเหยของของเหลวที่ลอยติดไปกับอากาศที่ระบายออกทางด้านบนของถังปฏิกรณ์อยู่บนเส้นทางนี้ด้วย
การหายไปของอุปกรณ์ดักแยกไอระเหยของของเหลวนี้มันส่งผลต่อการคำนวณค่าพลังงานที่ต้องใช้ในกระบวนการผลิต
เพราะมันทำให้ได้ตัวเลขต่ำกว่าความเป็นจริง
และด้วยการที่ปรกติอากาศก็ละลายเข้าไปในเฟสน้ำได้น้อยอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงเกิดอีกคำถามตามมาว่า
การมี flash
drum (ซึ่งต้องมี
pressure
reducing valve ด้วย)
จำเป็นหรือไม่
การผสมกันในถังปฏิกรณ์ที่มีทั้งการใช้ใบพัดกวนและฟองอากาศที่ผุดขึ้นจากทางเบื้องล่างนั้นจะรุนแรง
คือจะว่าไปแล้วฟองอากาศมันไม่ได้ลอยขึ้นสู่ผิวบนโดยตรงซะทีเดียว
มันมีสิทธิที่จะถูกเหวี่ยงให้ลอยลงล่างได้เช่นกัน
และด้วยการที่ปั๊มส่วนใหญ่ที่ใช้ในโรงงานนั้นจะเป็นปั๊มหอยโข่ง
(ที่ไม่ถูกชะตากับของเหลวที่มีแก๊สปะปน)
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้ของเหลวที่ออกจากถังปฏิกรณ์ไม่มีฟองอากาศปะปน
วิธีการหนึ่งที่ใช้แยกฟองอากาศ
(หรือฟองแก๊สใด
ๆ)
ออกจากของเหลวคือการให้ของเหลวนั้นอยู่อย่าง
(ค่อนข้าง)
สงบนิ่งในถังพักเพื่อให้ฟองอากาศที่ปะปนอยู่ในเฟสของเหลวนั้นมีเวลาลอยขึ้นสู่ด้านบน
กล่าวคือแทนที่จะสูบของเหลวจากถังปฏิกรณ์โดยตรง
ก็ให้ของเหลวในถังปฏิกรณ์ไหลเข้าสู่ถังพัก
(ที่มีขนาดเล็กและไม่มีการปั่นกวนใด
ๆ)
ก่อน
ในการนี้ไม่มีความจำเป็นใด
ๆ ที่ต้องลดความดันภายในถังพักให้ต่ำกว่าความดันในถังปฏิกรณ์
อีกจุดหนึ่งที่ผมติดใจแต่หาคำอธิบายไม่ได้ก็คือ
การแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างสายสารตั้งต้นที่เป็นของเหลวกับสายอากาศ
(ที่มาจากคอมเพรสเซอร์)
ที่ทั้งสองสายต่างก็ป้อนเข้าถังปฏิกรณ์เดียวกัน
ว่าทำไปทำไม
เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็เข้าไปผสมกันโดยตรงในถังปฏิกรณ์อยู่แล้ว
ตรงนี้มันต่างไปจากกรณีการแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างสายด้าน
"ขาออก"
กับสายด้าน
"ขาเข้า"
๒.
แก๊สไหลจากด้านความดันต่ำไปด้านความดันสูง
เริ่มต้นด้วยสารตั้งต้นตัวเดียวกัน
ต้องการผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกัน
กระบวนการใดจะเหมาะสมกว่าก็มักต้องตัดสินกันที่
"พลังงาน"
ที่ต้องใช้ในการผลิต
แม้ว่าอาจมีบางครั้งที่ชนิดวัสดุที่ต้องใช้ในการผลิตอุปกรณ์จะเป็นตัวตัดสินก็ตาม
และหน่วยการผลิตหลักที่มีการใช้พลังงานมากที่ควรต้องนำมาพิจารณาเห็นจะได้แก่
หน่วยให้ความร้อน หน่วยทำความเย็น
(ที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิที่น้ำหล่อเย็นทำได้)
และหน่วยเพิ่มความดันให้กับแก๊ส
รูปที่
๒
ข้างล่างเป็นแบบจำลองกระบวนการแยกสารที่เริ่มจากการใช้การสกัดด้วยตัวทำละลายที่มีจุดเดือดต่ำ
จากนั้นจึงแยกตัวทำละลายออกจากสารที่สกัดได้โดยใช้กระบวนการ
flash
เพื่อลดปริมาณตัวทำละลายในของเหลวก่อนนำเอาของเหลวที่เหลือไปทำให้บริสุทธิ์ต่อด้วยการตกผลึก
ส่วนไอระเหยของตัวทำละลายที่ได้ถูกนำกลับไปใช้ในกระบวนการสกัดใหม่
ปัญหาของแบบจำลองนี้มันอยู่ตรงนี้แหละครับ
คือการที่เอาไอระเหยของตัวทำละลายที่มีความดันต่ำ
ป้อนกลับไปผสมกับตัวทำละลาย
(ที่เป็นของเหลวที่ป้อนเข้ามาชดเชย)
ที่อยู่ในระบบที่มีความดันสูงกว่า
(สาย
R-EA1
และ
R-EA2)
จะเห็นนะครับว่าเขาป้อนมันกลับไปดื้อ
ๆ เลยโดยไม่จำเป็นต้องมีระบบเพิ่มความดันให้กับสายดังกล่าว
ตู้เย็น
นำกลับไอสารทำความเย็นที่ความดันต่ำด้วยการให้คอมเพรสเซอร์ดูดไอสารทำความเย็นความดันต่ำโดยตรง
อัดให้มีความดันสูงขึ้น
จากนั้นจึงค่อยส่งเข้าคอยล์ร้อน
(condenser)
เพื่อควบแน่นให้กลายเป็นของเหลวความดันสูง
กังหันไอน้ำใช้วิธีควบแน่นไอน้ำความดันต่ำให้กลายเป็นของเหลวก่อน
จากนั้นจึงค่อยปั๊มของเหลวความดันต่ำนั้นให้กลายเป็นของเหลวความดันสูง
ใครเป็นวิศวกรเคมีหรือวิศวกรเครื่องกลตอบคำถามนี้ได้ไหมครับ
ทำไมสองกรณีนี้จึงใช้วิธีการไม่เหมือนกัน
ทั้ง ๆ
ที่สุดท้ายที่ได้ต่างก็เป็นของเหลวที่ความดันสูงเหมือนกัน
รูปที่
๒ การส่งกลับไอ solvent
ที่แยกออกจากของเหลวที่
flash
drum (FLASH 4 และ
FLASH
5) ไปผสมกับ
fresh
solvent (ของเหลว)
เพื่อนำกลับไปใช้ในกระบวนการสกัดใหม่
คิดเทียบที่มวลเท่ากันและความดันที่เพิ่มเท่ากัน
การเพิ่มความดันให้กับของเหลวใช้พลังงานน้อยกว่าแก๊ส
ในกรณีของไอสารทำความเย็นนั้น
เราไม่สามารถควบแน่นมันให้กลายเป็นของเหลวได้ที่อุณหภูมิห้องถ้าหากมันมีความดันไม่สูงมากพอ
ในกรณีนี้จึงต้องใช้คอมเพรสเซอร์ดูดไอสารทำความเย็นและอัดให้มีความดันสูงโดยตรง
ในระหว่างกระบวนการอัดไอสารทำความเย็นจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น
แต่เมื่อคายความร้อนให้กับอากาศภายนอกก็จะควบแน่นเป็นของเหลว
ส่วนในกรณีของไอน้ำความดันต่ำที่ออกมาจากกังหันไอน้ำนั้น
แม้ว่ามันจะมีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดที่ความดันนั้นก็ตาม
แต่ถ้าเราอัดเพิ่มความดันให้กับไอน้ำความดันต่ำนั้น
ไอน้ำความดันต่ำนั้นก็มีสิทธิควบแน่นเป็นของเหลวในคอมเพรสเซอร์ในระหว่างกระบวนการอัดได้
ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี
แต่เราสามารถใช้น้ำหล่อเย็นที่อุณหภูมิห้องทำให้ไอน้ำนั้นควบแน่นเป็นของเหลวได้
นอกจากนี้การที่ไอน้ำควบแน่นเป็นของเหลวที่เครื่องควบแน่น
ทำให้เกิดสุญญากาศที่เครื่องควบแน่น
ความดันด้านขาออกของกังหันไอน้ำจึงต่ำ
ไอน้ำความดันสูงจึงสามารถไหลเข้ากังหันไอน้ำได้สะดวก
พลังงานที่ต้องใช้ในการส่งของเหลวและ/หรือไอจากหน่วยผลิตหนึ่งไปยังอีกหน่วยผลิตหนึ่งนั้นมักจะไม่ค่อยนำมารวมไว้ในการสร้างสมการดุลพลังงาน
เว้นแต่ว่าเป็นกระบวนการที่เกิดปฏิกิริยาในเฟสแก๊สที่ความดันสูง
หรือเกี่ยวข้องกับการทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นแก๊สนั้นมีความดันสูงขึ้น
เพื่อที่จะทำให้ควบแน่นได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้อุณหภูมิที่ต่ำมาก
(เช่นในกระบวนการผลิตเอทิลีน
ที่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างพลังงานที่ใช้ในการอัดแก๊ส
และพลังงานที่ต้องใช้ในการทำความเย็น)
ยิ่งถ้าเป็นกรณีที่ผลต่างพลังงานที่ใช้นั้นไม่ได้แตกต่างกันมาก
การมี/ไม่มีการพิจารณาพลังงานที่ต้องใช้ในการส่งของเหลว/แก๊สจากหน่วยหนึ่งไปยังอีกหน่วยหนึ่งนั้น
สามารถทำให้ข้อสรุปนั้นเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้
ปิดท้ายที่ว่างหน้ากระดาษด้วยรูปกองเชียร์ผู้ที่สอบไปเมื่อบ่ายวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาก็แล้วกันครับ
เพราะปีหน้าก็จะเป็นเวลาของพวกเขาสองคนนี้แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น