การแยกแก๊สด้วยการดูดซึม
(Absorption)
อาศัยค่าการละลายที่แตกต่างกันของแก๊สในของเหลว
เมื่อให้แก๊สผสมสัมผัสกับของเหลว
แก๊สตัวที่ละลายได้ดีกว่าจะย้ายจากเฟสแก๊สเข้าไปอยู่ในเฟสของเหลว
ดังนั้นแก๊สที่หลงเหลือจากการสัมผัสจะมีความเข้มข้นของตัวที่ละลายในของเหลวได้น้อยกว่าเพิ่มขึ้น
ส่วนของเหลวตัวที่ดูดซึมแก๊สเอาไว้จนอิ่มตัวนั้นจะถูกนำไปให้ความร้อน
เพื่อให้แก๊สที่ละลายอยู่นั้นหลุดออกมาจากของเหลว
และสามารถนำของเหลวนั้นกลับไปใช้ในการดูดซึมแก๊สได้ใหม่
แผนผังอย่างง่ายของกระบวนการดังกล่าวแสดงไว้ในรูปที่
๑ ข้างล่าง
รูปที่
๑ แผนผังอย่างง่ายของกระบวนการแยกแก๊สด้วยการดูดซึม
(Absorption
process) ในกรณีของการใช้ความดันสูงเพื่อให้เกิดการดูดซึมได้ดีนั้น
อาจมีการใช้ flash
drum เพื่อช่วยในการระบายแก๊สออกจากของเหลวบางส่วนก่อนก็ได้
การดูดซึมนั้นอาจใช้เพียงแค่ความสามารถในการละลายของแก๊สในของเหลว
(เช่นในกรณีของไฮโดรคาร์บอน
C1
- C4 กับไฮโดรคาร์บอนที่เป็นของเหลว)
หรืออาศัยการทำปฏิกิริยาระหว่างแก๊สกับของเหลว
(เช่นในกรณีของการแยก
CO2
และ
H2S
ออกจากแก๊สธรรมชาติ
ที่ใช้สารละลายเบสเป็นตัวจับแก๊สกรด)
เรื่องการแยก
CO2
และ
H2S
ด้วยกระบวนการดูดซึมนั้นเคยเล่าไว้ใน
Memoir
ปีที่
๘ ฉบับที่ ๑๐๙๒ วันจันทร์ที่
๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ เรื่อง "การกำจัด CO2 และ H2S ด้วยกระบวนการ Hot Potassium Carbonate Absorption" และฉบับที่
๑๐๙๔ วันศุกร์ที่ ๑๑ ธันวาคม
๒๕๕๘ เรื่อง "การกำจัด CO2 และ H2S ด้วยกระบวนการเอมีน (Amine gas treating process)"
การจำแนกแก๊สธรรมชาติมีเกณฑ์ที่ใช้กันทั่วไปอยู่
๒ เกณฑ์ด้วยกัน
เกณฑ์แรกคือดูจากไฮโดรคาร์บอนที่เป็นองค์ประกอบของแก๊ส
ถ้าหากมีแต่มีเทน (methane
CH4) เป็นหลักก็จะเรียกว่าเป็น
dry
gas หรือแก๊สแห้ง
แต่ถ้ามีไฮโดรคาร์บอนตัวอื่นที่หนักกว่ามีเทนปนอยู่ด้วยในปริมาณที่มีนัยสำคัญ
ก็จะเรียกว่าเป็น wet
gas หรือแก๊สเปียก
เกณฑ์ที่สองจะดูว่ามีแก๊สกรดพวก
CO2
และ/หรือ
H2S
ปนอยู่ด้วยหรือไม่
ถ้ามีแก๊สกรดเหล่านี้ปนอยู่ก็จะเรียกว่าเป็น
sour
gas แต่ถ้าไม่มีแก๊สกรดเหล่านี้ปนอยู่ก็จะเรียกว่าเป็น
sweet
gas
ตัวอย่างเช่นแก๊สธรรมชาติในอ่าวไทยที่เรานำมาใช้นั้นประกอบด้วยไฮโดรคาร์บอนที่เป็นแก๊สตั้งแต่
C1
ไปจนถึง
C4
และยังมีพวกที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องติดมาด้วย
จึงถือว่าเป็น wet
gas นอกจากนี้ยังมี
CO2
และ
H2S
ปนมาด้วย
จึงจัดว่าเป็น sour
gas ด้วย
องค์ประกอบเหล่านี้ส่งผลต่อการนำแก๊สไปใช้งาน
เช่นถ้าเป็น wet
gas ก็มักจะมีการแยกเอาไฮโดรคาร์บอนหนักออกจากมีเทนก่อน
เพื่อเอาไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่น
(เช่นใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตโอเลฟินส์หรือแก๊สหุงต้ม)
และถ้า
wet
gas
นั้นมีแก๊สกรดปนอยู่ด้วยก็ต้องทำการกำจัดแก๊สกรดออกก่อนที่จะทำการแยกแก๊ส
(ของเหลวที่มากับแก๊สธรรมชาติมีชื่อเต็มว่า
natural
gas condensate แต่มักเรียกกันสั้น
ๆ ว่า condensate
แต่บางทีก็เรียกว่า
natural
gasoline (NGL) เพราะมีจุดเดือดอยู่ในช่วงน้ำมันแก๊สโซลีน
ในกรณีของบ้านเรานั้น
condensate
จะถูกแยกออกจากแก๊สที่แท่นกลางทะเล
ไม่ได้ถูกส่งขึ้นบก)
วิธีการหลักที่ใช้แยกแก๊สธรรมชาติที่เป็น
wet
gas ในปัจจุบันเห็นจะได้แก่การกลั่น
(distillation)
ที่อาศัยจุดเดือดที่แตกต่างกัน
แต่ในอดีตนั้นก็มีการใช้การดูดซึม
(absorption)
ด้วยไฮโดรคาร์บอนเหลว
เพื่อดึงเอาแก๊ส C2
- C4 ออกจากมีเทน
ตัวอย่างหนึ่งของโรงงานที่ใช้กระบวนการนี้ได้แก่โรงงานของบริษัท
Esso
ที่เมือง
Longford
ประเทศออสเตรเลีย
ที่เกิดการระเบิดเมื่อหลังเที่ยงของวันศุกร์ที่
๒๕ กันยายน พ.ศ.
๒๕๔๑
นั้น โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทำงานของหอดูดซับ
(Absorption
column) ที่ใช้ในการแยกไฮโดรคาร์บอนตั้งแต่
C2
ขึ้นไปออกจากมีเทน
จึงขอยกเอามาเป็นตัวอย่างเล่าสู่กันฟังในวันนี้เพื่อเป็นการปูพื้นฐานในการทำความเข้าใจอุบัติเหตุดังกล่าว
รายละเอียดต่าง ๆ
นำมาจากรายงานการสอบสวนสาธารณะที่เล่าไว้ใน
Memoir
ฉบับเมื่อวันพุธที่
๑๑ เมษายนที่ผ่านมา
แก๊สธรรมชาติในที่โรงงานดังกล่าวรับมานั้นประกอบด้วยส่วนที่เป็นแก๊สที่ประกอบด้วยไฮโดรคาร์บอน
C1
- C4 และส่วนที่เป็นของเหลว
(ที่เรียกว่า
condensate)
ที่ถูกส่งรวมมาจากแท่นขุดเจาะก่อนมาแยกส่วนที่เป็นแก๊สและของเหลวออกจากกันก่อนส่วนแก๊สเข้าโรงแยก
แก๊สที่ส่งเข้าโรงแยกนั้นจะมี
condensate
ติดมาด้วย
และด้วยความดันที่ส่งมาที่สูงจึงทำให้ใน
condensate
นี้มีไฮโดรคาร์บอน
C1
- C4 ละลายอยู่ในปริมาณที่มีนัยสำคัญ
แก๊สที่อุณหภูมิ
-25ºC
จะถูกป้อนเข้าหอดูดซึมทางด้านก้นหอ
(ดูรูปที่
๒ ประกอบ)
condensate (สีเขียวในรูป)
ที่เป็นของเหลวจะหนักกว่าและตกลงสู่
tray
ที่รองรับอยู่ทางด้านล่าง
ส่วนแก๊สนั้นจะลอยขึ้นบนไหลผ่าน
valve
tray ต่าง
ๆ ที่มีน้ำมันที่ใช้ในการดูดซับนั้นไหลสวนทางลงมา
น้ำมันที่ใช้ในการดูดซับนี้เป็นน้ำมันในช่วง
aviation
kerosene ที่ถูกป้อนเข้าทางยอดหอดูดซึม
โดยก่อนที่จะป้อนเข้านั้นจะถูกทำให้อิ่มตัวด้วยมีเทนก่อนที่จะลดอุณหภูมิให้ต่ำเหลือ
-20ºC
น้ำมันที่เข้าทางยอดหอนี้เรียกว่า
"lean
oil" และเมื่อดูดซึมแก๊สจนอิ่มตัวแล้วจะเรียกว่า
"rich
oil" ที่ไหลออกทางก้นหอ
(สีแดงในรูป)
การทำให้
lean
oil อิ่มตัวด้วยมีเทนก่อนก็เพื่อลดการละลายของมีเทน
เพราะว่าการละลายของแก๊สเข้ามาในของเหลวนั้นเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน
ดังนั้นถ้าให้มีเฉพาะไฮโดรคาร์บอน
C2
- C4 เท่านั้น
(ซึ่งมีไม่มากเมื่อเทียบกับมีเทน)
ที่ละลายเข้ามาใน
lean
oil ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิของ
lean
oil เท่าใดนัก
condensate
ที่แยกออกจากแก๊สที่ก้นหอ
จะถูกนำมาให้ความร้อนด้วยหม้อต้มซ้ำ
(หรือ
reboiler)
ที่อยู่ที่ก้นหอ
เพื่อทำการไล่ไฮโดรคาร์บอนเบาที่ละลายอยู่ใน
condensate
ออกไป
ก่อนจะถูกสูบออกจากก้นหอเพื่อนำไปผ่านกระบวนการอื่นต่อไป
รูปที่
๒ ซ้ายคือรูปภาพหอดูดซึมที่โรงงานที่เกิดอุบัติเหตุใช้
ข้างในเป็นโครงสร้างที่เป็น
tray
ชนิด
valve
tray (ขวาบน)
ส่วนรูปขวาล่างคือโครงสร้างส่วนล่างของหอที่มีการแยกเอาแก๊สธรรมชาติ
condensate
และ
rich
oil ออกจากกัน
โดยในทางปฏิบัตินั้นจะมี
condensate
ส่วนหนึ่งหลุดติดไปกับแก๊สที่ไหลขึ้น
และเข้าไปผสมกับ rich
oil ที่ไหลสวนลงมา
รูปเหล่านี้นำมาจากรูปที่ปรากฏในรายงานการสอบสวนสาธารณะ
(ตรงนี้ขอขยายความเพิ่มเติมหน่อย
เทอร์โมไดนามิกส์กล่าวไว้ว่า
∆G
= ∆H
- T∆S
เมื่อ
G
คือ
Gibb's
free energy
H คือ
Enthalpy
T คืออุณหภูมิ
และ S
คือ
Entropy
(หรือความไม่เป็นระเบียบ)
เนื่องจากการดูดซึมนี้เป็นปฏิกิริยาที่เกิดได้เอง
ดังนั้น ∆G
จะมีค่าเป็นลบ
และเนื่องจากโมเลกุลที่เดิมเมื่ออยู่ในเฟสแก๊สนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ
แต่เมื่อมาอยู่ในเฟสของเหลวจะมีการเคลื่อนที่ได้น้อยลง
(ความไม่เป็นระเบียบลดลง)
ค่า
∆S
จึงมีค่าเป็นลบด้วย
และด้วยการที่ T
มีค่าเป็นบวกเสมอ
ดังนั้นผลคูณ T∆S
จึงมีค่าเป็นลบตามไปด้วย
ดังนั้นเพื่อให้ผลรวมทางด้านขวาของสมการมีค่าเป็นลบ
ค่า ∆H
จึงต้องมีค่าเป็นลบ
หรือการดูดซึมนั้นเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน
ซึ่งถ้าว่ากันตามนี้ถ้าจะให้ของเหลวดูดซึมแก๊สได้ดี
ของเหลวนั้นจึงควรที่จะมีอุณหภูมิต่ำ
(แบบเดียวกับที่ออกซิเจนละลายน้ำได้มากที่อุณหภูมิต่ำ
แต่ละลายน้ำได้น้อยที่อุณหภูมิสูง)
และอุณหภูมิที่ต่ำนี้ยังช่วยลดการระเหยของของเหลวดูดซึมไม่ให้หลุดรอดไปกับแก๊สที่ไหลออกจากหอดูดซึมด้วย
แต่ถ้าไปดูกรณีของการแยก
CO2
และ
H2S
ด้วยสารละลาย
K2CO3
จะพบว่าใช้อุณหภูมิที่สูง
นั่นเป็นเพราะมันมีเรื่องความสามารถในการละลายน้ำของ
K2CO3
เข้ามาเกี่ยวข้อง
เพราะ K2CO3
ละลายน้ำได้มากขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
และการจับแก๊สกรดนั้นก็เป็นปฏิกิริยาเคมีที่มีการจับยึดกันแน่น
แม้ว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้การจับยึดนั้นอ่อนแรงลงก็ตาม
แต่ผลที่ได้จากปริมาณ K2CO3
ละลายน้ำได้มากขึ้นนั้นโดดเด่นกว่า
จึงทำให้ทำการดูดซับที่อุณหภูมิสูง
และอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าการละลายของแก๊สก็คือความดัน
กล่าวคือที่ความดันสูงขึ้นแก๊สก็จะละลายเข้าไปในของเหลวได้มากขึ้น)
ในการออกแบบนั้น
สิ่งที่ผู้ออกแบบมักคาดหวังก็คือแก๊สที่ไหลขึ้นทางด้านบนนั้นจะมีแต่เฉพาะแก๊สเท่านั้น
ไม่มีหยดของเหลวติดไปด้วย
แต่ในทางปฏิบัตินั้นจะมีโอกาสที่หยดของเหลวลอยติดไปกับแก๊สที่ไหลขึ้นด้านบนด้วยที่เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์
carry
over (แบบเดียวกับที่เรานั่งริมทะเลแล้วรู้สึกเหนียวตัว
เพราะลมที่พัดจากทะเลเข้าฝั่งนั้นจะพาเอาละอองน้ำทะเลติดมาด้วย)
ในกรณีของโรงงานนี้เช่นกัน
ที่การสอบสวนพบว่าแม้ว่าในสภาพการทำงานปรกตินั้นก็เกิดการ
carry
over ของ
condensate
ไปยัง
rich
oil และตัว
lean
oil ที่ออกไปกับแก๊สที่ไหลออกทางยอดหอ
อันที่จริงการลดการ
carry
over สามารถทำได้หลายแบบ
โดยหลักการก็คือให้การไหลของแก๊สมีการเปลี่ยนทิศทางการไหล
โดยในขณะที่แก๊สไหลเลี้ยวไปตามช่องทางการไหลนั้น
หยดของเหลวที่มีความหนาแน่นมากกว่าจะปะทะเข้ากับผนังของเส้นทางการไหล
เกิดการจับกลุ่มเป็นฟิลม์ของเหลวบนผนังและไหลลงเบื้องล่าง
การทำให้ของเหลวเปลี่ยนเส้นทางการไหลนี้อาจทำได้ด้วยการออกแบบระบบท่อทางออก
(ดังตัวอย่างในรูปที่
๓)
หรือด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ที่เรียกว่า
mist
eliminator
ที่มีลักษณะเป็นโครงสร้างที่พรุนและมีเส้นทางการไหลที่หักเลี้ยววางขวางเส้นทางการไหลของแก๊สเอาไว้
โดยในขณะที่แก๊สไหลเลี้ยวไปตามช่องทางการไหลนั้น
หยดของเหลวที่มีความหนาแน่นมากกว่าจะปะทะเข้ากับผนังของ
mist
eliminator
กลายเป็นหยดของเหลวที่ไหลลงล่างและสะสมรวมกันเป็นหยดที่ใหญ่ขึ้นจนสามารถหล่นลงล่างสวนทางกับแก๊สที่ไหลขึ้นโดยไม่ถูกแก๊สพัดพากลับขึ้นไป
รูปที่
๓
ท่อทางออกยอดหอของแก๊สรูปแบบด้านซ้ายนั้นมีโอกาสที่จะมีของเหลวหลุดติดไปกับแก๊สได้มากกว่ารูปแบบด้านขวาที่หยดของเหลวมีโอกาสมากกว่าที่จะลอยขึ้นไปปะทะผนังด้านบนแล้วรวมเป็นหยดที่ใหญ่ขึ้นก่อนตกลงมา
rich
oil ที่ออกทางก้นหอจะถูกส่งต่อไปยัง
Flash
drum ที่ลดความดันด้วยการไหลผ่านวาล์วให้ความลดตกลงจาก
6900
kPa เป็น
4500
kPa การลดความดันนี้ช่วยในการไล่แก๊สบางส่วนออกจาก
rich
oil ก่อนที่จะทำเอา
rich
oil นี้ไปเข้ากระบวนการกลั่นเพื่อแยกเอาไฮโดรคาร์บอน
C1
- C4 ออกไป
กระบวนการ
flash
นี้ไม่เพียงแต่จะไล่เอาแก๊สบางส่วนออกจากของเหลว
แต่ยังสามารถทำให้อุณหภูมิของระบบนั้นลดต่ำลงด้วย
และการลดต่ำลงของอุณหภูมิที่มากเกินไปนี้เอง
ที่ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุตามมา
สำหรับวันนี้คงพอแค่นี้ก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น