เมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมา
นักวิจัยจากสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โทรศัพท์มาปรึกษาผมเรื่องที่ว่าเขามีเพื่อนที่เป็นนักวิจัยที่ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับแก๊สคลอรีนที่จะนำมาใช้ทำปฏิกิริยา
ก็เลยขออนุญาตให้เพื่อนของเขาติดต่อปรึกษากับผมโดยตรง
ซึ่งผมก็ตอบรับด้วยความยินดี
ปัญหาที่เขามีก็คือเขามีสารละลายโลหะ
Mn+
ในกรดเกลือ
ทีนี้เขาต้องการออกซิไดซ์ไอออน
Mn+
ให้กลายเป็น M(n+1)+
และจากการศึกษาของเขาก็พบว่า
หนึ่งในวิธีการออกซิไดซ์ดังกล่าวทำได้ด้วยการใช้แก๊สคลอรีน
(chlorine Cl2)
อันที่จริงการออกซิไดซ์ไอออนโลหะตัวนี้มันยังมีวิธีการอื่นอีก
แต่เดาว่าเมื่อเขาพิจารณาจาก
วัตถุดิบที่เขามี,
ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ
และความรวดเร็วในการทำปฏิกิริยา
เขาคงเห็นว่าการใช้แก๊สคลอรีนน่าจะเหมาะสมสุด
แต่ปัญหาก็คือแก๊สตัวนี้เป็นแก๊สพิษ
แถมยังถูกจัดให้เห็นยุทธภัณฑ์ด้วย
ซึ่งถ้าต้องการครอบครองในระดับโรงงานก็ไม่น่าจะมีปัญหา
แต่ถ้าต้องการเพียงไม่มากเพื่อมาทดลองทำแลป
มันจะเป็นเรื่องใหญ่
แก๊สคลอรีนเป็นผลพลอยได้จากการผลิตโซดาไฟ
(caustic soda NaOH)
หรือสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์
ซึ่งเมื่อนำสารละลายเกลือแกง
(sodium chloride
NaCl) มาแยกด้วยไฟฟ้าก็จะได้แก๊สไฮโดรเจนและแก๊สคลอรีน
ทีนี้ถ้าทางโรงงานนั้นไม่ต้องการจะขายแก๊สคลอรีน
เขาก็สามารถนำแก๊สไฮโดรเจนและคลอรีนที่ได้มาทำปฏิกิริยากับเป็นแก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์
(hydrogen chloride
HCl) ซึ่งเมื่อนำไปละลายน้ำก็จะได้สารละลายกรดเกลือ
(hydrochloric acid)
หรือนำแก๊สคลอรีนไปทำปฏิกิริยากับสารละลาย
NaOH
ก็จะได้สารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรต์
(sodium hypochlorite
NaOCl) ที่เราใช้เป็นน้ำยาซักผ้าขาว
(และยังใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ด้วยที่ตอนนี้มีการนำมาใช้เป็นน้ำยาล้างทำความสะอาดพื้นผิว
ตัวนี้มันดีกว่าเอทานอลตรงที่ไม่ติดไฟ
แต่กลิ่นมันฉุน)
ส่วนน้ำยาซักผ้าสีนั้นจะเป็นพวกไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
(hydrogen peroxide
H2O2)
ปฏิกิริยาหนึ่งที่สามารถใช้สังเคราะห์แก๊สคลอรีนได้ก็คือปฏิกิริยาระหว่างกรดเกลือกับสารละลายไฮโปคลอไรต์
ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ
นี้ก็มีเรื่องปรากฏในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งที่มีผู้ใช้น้ำยาซักผ้าขาว
(สูตรโซเดียมไฮโปคลอไรต์)
ล้างห้องน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรค
แล้วก็ราดน้ำยาล้างห้องน้ำ
(สูตรกรดเกลือ)
ตามลงไป
ผลก็คือเกิดแก๊สคลอรีนฟุ้งเต็มห้องน้ำถึงกับต้องเผ่นออก
รูปที่ ๑
ตัวอย่างรูปแบบการออกแบบอุปกรณ์ทดลองที่ได้นำเสนอไปในการสนทนาครั้งแรก
ปฏิกิริยาหนึ่งที่นักวิจัยท่านนั้นมองเอาไว้ก็คือการผลิตคลอรีนด้วยปฏิกิริยาระหว่างสารละลายไฮโปคลอไรต์กับกรดเกลือ
แต่เขาไม่แน่ใจว่าจะออกแบบอุปกรณ์การทดลองอย่างไรดีเพื่อให้ทำงานได้ปลอดภัย
และนั่นก็เป็นต้นเรื่องที่นำสู่บทสนทนาเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
ผมถามเขาก่อนว่าสารละลายโลหะ
Mn+
ในกรดเกลือของเขานั้นมีกรดเกลือเหลืออยู่มากพอไหม
ถ้ามีมากพอก็เสนอแนวคิดว่าน่าจะลองเติมสารละลายไฮโปคลอไรต์ลงไปในสารละลายโลหะโลหะ
Mn+
ในกรดเกลือนั้นเลย
แต่การเติมนั้นไม่ใช่การเทลงไปโดยตรงหรือหยดลงไปโดยตรง
เพราะถ้าให้สารละลายไฮโปคลอไรต์สัมผัสกับสารละลายโลหะ
Mn+
ในกรดเกลือจากทางด้านบน
มันก็มีโอกาสสูงที่แก๊สคลอรีนที่เกิดขึ้นนั้นจะหลุดรอดออกจากพื้นผิวสารละลายออกไป
แต่ควรที่จะทำการเติมสารละลายไฮโปคลอไรต์อย่างช้า
ๆ ลงไปที่ด้านล่างของสารละลายโลหะ
Mn+
ในกรดเกลือ (รูปที่
๑)
ภายใต้สภาวะที่มีการปั่นกวน
ทั้งนี้เพื่อให้แก๊สคลอรีนที่เกิดขึ้นทีละน้อย
ๆ นั้นสามารถทำปฏิกิริยากับไอออน
Mn+
ได้หมดก่อนที่จะมีโอกาสหลุดรอดพื้นผิวของเหลวออกมา
แต่เพื่อความปลอดภัยก็ได้แนะนำให้เขาติด
condenser
เอาไว้ข้างด้วย
ณ
จุดนี้อาจมีคนแย้งว่าน้ำประปาที่ใช้เป็นน้ำหล่อเย็นนั้นมันไม่สามารถควบแน่นแก๊สคลอรีนได้
ซึ่งมันก็ถูกต้องครับ
แต่วัตถุประสงค์ที่ให้ติดตั้ง
condenser
ก็เพราะว่าคลอรีนเป็นแก๊สที่หนักกว่าอากาศ
การทำให้ท่อปล่อยแก๊สทิ้ง
(vent)
อยู่สูงขึ้นไปนั้นจะช่วยลดโอกาสที่แก๊สคลอรีนที่เกิดขึ้นนั้นจะหลุดรอดออกจากภาชนะที่ใช้ทำปฏิกิริยา
(เช่นฟลาสค์
๓ คอ)
และเพิ่มโอกาสที่แก๊สคลอรีนที่ยังคงอยู่ในภาชนะนั้นจะละลายกลับเข้าไปในสารละลาย
หรือในระหว่างการทำปฏิกิริยามีไอน้ำระเหยขึ้น
ไอน้ำที่ควบแน่นกลับลงมาก็จะช่วยชะเอาแก๊สคลอรีนกลับลงไปด้วย
หรือถ้าใช้ condenser
แบบที่เป็นท่อตรง
ก็อาจทำการบรรจุสารดูดซับที่สามารถดักจับแก๊สคลอรีนได้เอาไว้ข้างใน
แต่ระบบในรูปที่
๑ นั้นมันมีสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึง
พอจะมองเห็นไหมครับ
สิ่งนั้นก็คือไอออนบวกที่มากับสารละลายไฮโปคลอไรต์นั้น
มันจะเข้าไปผสมอยู่กับสารละลายผลิตภัณฑ์
ซึ่งก็ต้องมาพิจารณาอีกทีว่ามันก่อปัญหาในการนำเอาผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นไปใช้งานหรือไม่
ไฮโปคลอไรต์ที่ใช้กันทั่วไปก็มีอยู่สองตัวด้วยกัน
ตัวแรกคือโซเดียมไฮโปคลอไรต์
(soium hypochlorite
NaOCl) ที่เรามักใช้เป็นน้ำยาซักผ้าขาว
และแคลเซียมไฮโปคลอไรต์
(calcium
hypochlorite Ca(OCl)2)
ที่ใช้เป็นสารฆ่าเชื้อโรคในน้ำตามสระว่ายน้ำ
รูปที่ ๒
ระบบสำหรับที่ไม่ต้องการให้ไอออนบวกของสารละลายไฮโปคลอไรต์เข้าไปปนเปื้อนในสารละลายผลิตภัณฑ์
วันนี้ระหว่างที่กำลังเขียน
Memoir ฉบับนี้อยู่
ก็มีโทรศัพท์จากทางนักวิจัยของทางบริษัทติดต่อมาก็เรื่องดังกล่าว
คือมีผู้มาเสนอขายแคลเซียมไฮโปคลอไรต์ให้เขา
เขาก็เลยโทรมาปรึกษาผมว่าถ้าใช้ตัวนี้แทนโซเดียมไฮโปคลอไรต์มันจะมีปัญหาอะไรไหม
ซึ่งผมก็ตอบเขากลับไปว่าทางเขาคงต้องกลับไปพิจารณาว่า
Ca2+
ที่ปนอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นจะก่อให้เกิดปัญหาอะไรหรือไม่
(ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะเกิดแน่
ๆ เมื่อพิจารณาจากความต้องการใช้งานสุดท้าย)
แต่ถ้าคิดว่าการผลิตแก๊สคลอรีนจากแคลเซียมไฮโปคลอไรต์นั้นถูกกว่าการใช้โซเดียมไฮโปคลอไรต์
ก็ต้องออกแบบชุดอุปกรณ์ทดลองใหม่
โดยต้องแยกส่วนผลิตแก๊สคลอรีนออกจากส่วนทำปฏิกิริยา
ดังตัวอย่างที่แสดงในรูปที่
๒
รูปที่
๒ เป็นเพียงแค่แผนผังนะครับ
คนอยู่แลปเคมีที่มีเครื่องแก้วพร้อมก็น่าจะพอมองออกว่าจะดัดแปลงเอาอุปกรณ์ตัวไหนมาใช้ได้
สิ่งที่ต้องทำก็คือการทำปฏิกิริยาระหว่างสารละลายไฮโปคลอไรต์กับสารละลายกรดเกลือในภาชนะหนึ่ง
แล้วให้แก๊สคลอรีนที่เกิดขึ้นนั้นไปทำปฏิกิริยากับสารละลายโลหะ
Mn+
ในกรดเกลือในอีกภาชนะหนึ่ง
การทำปฏิกิริยานั้นอาจเป็นในรูปแบบให้ฟองแก๊สคลอรีนลอยผ่านสารละลายโลหะ
Mn+
ในกรดเกลือ หรือในรูปของหอ
scrubber
ที่ให้แก๊สคลอรีนนั้นไหลส่วนทางกับสารละลายโลหะ
Mn+
ในกรดเกลือที่ไหลลงมา
โดยในรูปที่ ๒ นั้นก็แสดงไว้ทั้งสองแบบ
คือให้แก๊สคลอรีนทำปฏิกิริยากับสารละลายโลหะ
Mn+
ในกรดเกลือก่อน
และมีการสูบสารละลายโลหะ
Mn+
ในกรดเกลือไปป้อนเข้าตัว
scrubber
ที่ติดตั้งอยู่ทางช่องระบายแก๊สทิ้ง
เพื่อดักจับเอาแก๊สคลอรีนไม่ให้หลุดรอดออกไป
ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
เพียงแต่ได้ให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการไปตามที่มีผู้ร้องขอมา
ปิดท้ายที่ว่างของหน้าสุดท้ายด้วยข้อความที่ผมโพสเอาไว้บนหน้า
facebook
เมื่อกลางเดือนที่แล้วหน่อย
เกี่ยวกับเรื่องการเรียนของนิสิตโดยที่ไม่ต้องมาเรียนที่มหาวิทยาลัย
ที่ผมเห็นว่าเขาทำกันมานานแล้ว
ไม่ใช่เพิ่งจะมาฮิตกันในช่วงนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น