"บริเวณที่มีผนังทึบสูงกว่าศีรษะปิดล้อมรอบด้าน
ให้สันนิฐานไว้ก่อนว่าเป็นพื้นที่อับอากาศ"
พื้นที่ปิดล้อมนี้อาจเป็น
ถังที่คนเข้าไปข้างในได้
บ่อที่ขุดลงไปในพื้นดิน
หรือแม้แต่กระบะท้ายรถบรรทุก
(เช่นในเรื่อง
"อันตรายจาก H2S คายซับจาก molecular sieve" ที่เคยเล่าไว้เมื่อวันจันทร์ที่
๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒)
แต่ทั้งนี้ก็อย่าไปตีความประโยคแรกแบบครอบคลุมไปทุกอย่างนะครับ
มันต้องดูขนาดของพื้นที่ประกอบด้วย
ไม่ใช่ว่าไปยืนอยู่กลางสนามฟุตบอลที่มีอัฒจันทร์ล้อมรอบแล้วไปสรุปว่ามันเป็นพื้นที่ปิดล้อม
ที่วันนี้เลือกเขียนเรื่องนี้ก็เพราะในช่วงสองสัปดาห์ของเดือนนี้
มีอุบัติเหตุที่เป็นข่าวถึง
๓ ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง
๓ รายและบาดเจ็บสาหัสอีก ๑
ราย โดยอุบัติเหตุนั้นเกิดในรูปแบบเดียวกัน
(และจะว่าไปแล้วมันก็มีการเกิดแบบนี้เป็นประจำ)
คือการลงไปทำงานในบ่อน้ำ
(รูปที่
๑ - ๓)
รูปที่ ๑
ข่าวการเสียชีวิตจากการลงไปทำงานในบ่อน้ำจากสำนักข่าวบ้านเมือง
เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๗
พฤษภาคมที่ผ่านมา
รูปที่ ๒
ข่าวการเสียชีวิตจากการลงไปทำงานในบ่อน้ำจากสำนักข่าวมติชน
การเสียชีวิตเนื่องจากการสูดดมแก๊สนั้นเกิดได้
๒ รูปแบบ
รูปแบบแรกก็คือแก๊สนั้นไม่มีออกซิเจนในปริมาณที่เพียงพอต่อการหายใจ
รูปแบบที่สองเกิดจากความเป็นพิษของแก๊สนั้นเอง
(แม้ว่าจะมีออกซิเจนในปริมาณที่มากเพียงพอต่อการหายใจอยู่ก็ตาม)
รูปที่ ๓
ข่าวการเสียชีวิตจากการลงไปทำงานในบ่อน้ำจากสำนักข่าวผู้จัดการ
ที่น่าสนใจก็คือ
สมมุติว่าเราเริ่มขุดบ่อน้ำบ่อหนึ่ง
ลึกสัก ๕ เมตร เมื่อเราเริ่มขุดเอาดินขึ้นมา
อากาศก็จะไหลลงไปในหลุมไปแทนที่ดินที่ขุดขึ้นมานั้น
ดังนั้นถ้าว่ากันตามนี้
เมื่อขุดบ่อไปได้ลึก ๕ เมตร
ที่ก้นบ่อก็จะเต็มไปด้วยอากาศที่เหมือนกับบนปากบ่อ
อันตรายจากการไม่มีอากาศหายใจจึงไม่น่าจะเกิด
แต่ทำไมพอเวลาผ่านไปนาน ๆ
ออกซิเจนในอากาศในบ่อนั้นถึงหายไปได้
รูปที่ ๔
คำเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัยในการขุดบ่อและการเข้าไปทำงานในบ่อหลัง
จากคู่มือ Oxfam
Water Supply Scheme for Emergencies, Instruction manual for Hand Dug
Well Equipment, Covering well auger survey, well digging, dewatering
and desludging kits พิมพ์เผยแพร่ปีค.ศ.
2000
สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะการย่อยสลายสารอินทรีย์ที่อาจตกลงไปในบ่อ
ถ้าเป็นการย่อยสลายแบบใช้อากาศ
แบคทีเรียจะใช้ออกซิเจนในอากาศย่อยสลายสารอินทรีย์นั้นเป็นอาหาร
ผลิตภัณฑ์ที่เกิดก็คือแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2)
ที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูงกว่าอากาศ
(หนักว่าอากาศประมาณ
1.5 เท่า)
แต่ด้วยความลึกของบ่อจึงทำให้ไม่มีการไหลหมุนเวียนของอากาศภายในบ่อ
ทำให้บริเวณก้นบ่อมีการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นเรื่อย
ๆ ในขณะที่ความเข้มข้นออกซิเจนนั้นจะลดต่ำลงเรื่อย
ๆ และถ้าเกิดการย่อยสลายแบบไม่ใช้อากาศ
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีแก๊สมีเทน
(CH4)
และอาจมีไฮโดรเจนซัลไฟด์
(H2S)
ร่วมด้วย
ซึ่งแก๊สสองชนิดหลังนี้เป็นแก๊สที่ติดไฟได้
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าบ่อที่จะลงไปนั้นมีอากาศเพียงพอ
วิธีการง่าย ๆ
วิธีการหนึ่งก็ทำได้ด้วยการจุดเทียนไขหย่อนลงไปก่อน
ถ้าเห็นว่าเทียนไขดับก็แสดงว่าที่ก้นบ่อนั้นไม่มีอากาศเพียงพอสำหรับการหายใจ
แต่วิธีการนี้ก็ใช้ตรวจสอบได้แต่เพียงว่าที่ก้นบ่อมีออกซิเจนมากพอหรือไม่
ไม่สามารถบอกได้ว่าที่ก้นบ่อนั้นมีแก๊สพิษอยู่หรือไม่
คู่มือของ Oxfam
ที่เป็นองค์กรการกุศล
(รูปที่
๔)
ยังให้คำเตือนเพิ่มเติมเกี่ยวกับแก๊สที่ติดไฟได้
(ซึ่งก็คือมีเทน)
ที่อาจการรั่วไหลออกมาเรื่อย
ๆ ที่ก้นบ่อ ด้วยการห้ามการสูบบุหรี่หรือมีเปลวไฟ
(ยกเว้นการหย่อนเทียนไขเพื่อทดสอบ)
และให้หลีกเลี่ยงการใช้เชือกไนลอน
(ในความเป็นจริงก็คือเชือกที่ทำจากไนลอนหรือพอลิโอเลฟินส์)
เพราะเชือกเหล่านี้มีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า
การเสียดสีของเชือกเองกับวัสดุใด
ๆ ก็จะทำให้เชือกเส้นนั้นมีประจุไฟฟ้าสถิตย์สะสม
และถ้ามากพอก็อาจเกิดประกายไฟได้
และถ้าบริเวณที่เกิดประกายไฟนั้นมีแก๊สมีเทนในปริมาณที่มากพอ
ก็จะเกิดการระเบิดตามมาได้
ปัญหาก็คือ
การเสียชีวิตรูปแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำในบ้านเรา
ปีละหลายราย
ทำอย่างไรจึงจะเผยแพร่ข้อควรระวังให้เป็นที่รู้กันให้มากที่สุด
เพื่อลดการสูญเสียที่ไม่จำเป็นในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น