สำหรับเด็ก
ๆ แล้วเวลาช่วงหน้าร้อนก็จะใช้สถานีรถไฟธนบุรีเป็นสถานที่เล่นว่าว
เพราะบริเวณรางรถไฟทางเข้าสถานีจะเป็นที่โล่งที่ไม่มีต้นไม้และเสาไฟขึ้นเกะกะ
การเล่นว่าวแต่ก่อนก็มีการเอาว่าวมาสู้กันโดยการชักว่าวให้สายเชือกทาบกัน
จากนั้นก็จะผ่อนสายเชือกว่าวให้ขัดสีกันจนเชือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขาดออก
ว่าวฝ่ายนั้นก็จะหลุดลอยออกไป
เชือกที่นำมาขัดสีกันนั้นไม่ใช่เชือกว่าวที่เป็นเส้นด้ายธรรมดา
แต่จะเป็น "เชือกป่าน"
ความหมายของเชือกป่านของเด็กสมัยนั้นคือเส้นเชือกที่เอาไปคลุกกับกาวผสมแก้วที่บดเป็นผง
เส้นเชือกดังกล่าวจะมีความคมมากน้อยเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับชนิด
ปริมาณและความละเอียดของเศษแก้วที่ยึดเกาะติดเส้นเชือก
การทดสอบว่าเชือกป่านคมแค่ไหนทำได้ง่าย
ๆ โดยลองเอามือลูบดู
(วิธีนี้อาจได้แผลแม้ว่าจะลูบเบา
ๆ)
หรือไม่ก็ต้องเอามาทดลองขัดสีกัน
เส้นไหนไม่ขาดก็แสดงว่าคมกว่า
การทำเชือกป่านนั้นเริ่มจากการหาเศษแก้วหรือเศษกระจกมาก่อน
เอากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อ
แล้วก็เอาค้อนทุบให้เป็นผงละเอียด
ยิ่งละเอียดมากยิ่งดี
จากนั้นเอาไปผสมกับ "กาวหนังควาย"
ซึ่งเป็นก้อนของแข็ง
สีน้ำตาลเข้ม
ในการใช้งานก็ต้องเอากาวหนังควายมาเคี่ยวก่อนให้ละลาย
จากนั้นก็ผสมผงแก้วบดละเอียดลงไปกวนให้ผสมเข้ากัน
ต่อจากนั้นก็ต้องหาหลักสองหลักวางห่างกันหน่อยเพื่อไว้สำหรับขึงเชือก
(ปรกติจะใช้ต้นไม้หรือไม่ก็เสาไฟฟ้าช่วย)
ผูกปลายเชือกข้างหนึ่งไว้กับหลักที่หนึ่ง
เอากาวหนังควายที่ผสมเศษแก้วแล้วใส่ลงในเศษผ้า
แล้วก็เดินขึงเชือกไปยังหลักที่สอง
ในระหว่างที่เดินขึงเชือกนี้มือหนึ่งก็ใช้จับเชือกขึง
อีกมือหนึ่งก็ใช้ถือเศษผ้าที่ใส่กาวหนังควายผสมเศษแก้วนั้นรูดไปตามเส้นเชือก
เศษแก้วก็จะเกาะไปบนเส้นเชือกโดยมีกาวหนังความเป็นตัวยึด
ในระหว่างการรูดเศษแก้วนี้ต้องให้ราบเรียบตลอดทั้งเส้น
ไม่ให้มีจุดที่มีการเกาะตัวเป็นก้อนหรือเป็นปุ่ม
เพราะถ้าหากนำเชือกป่านที่มีปุ่มไปตัดกับเชือกเส้นอื่น
เราจะไม่สามารถผ่อนเชือกเส้นที่มีปุ่มนี้ให้รูดต่อไปได้
(เพราะติดปุ่ม)
และจะถูกเชือกอีกเส้นหนึ่งผ่อนตัดเชือกของเราจนขาด
(เพราะถูกขัดสีซ้ำที่เดิม)
พอเดินรูดเชือกไปจนถึงเสาที่สองก็วนกลับมายังเสาแรกใหม่
ถ้าเศษแก้วผสมกาวหนังควายในเศษผ้าหมดก็ต้องคอยเติมใหม่
ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
จนเชือกหมดม้วน
งานที่น่าเบื่อที่สุดในการทำเชือกป่านก็คืองานบดเศษแก้ว
เศษแก้วที่บดละเอียดได้ดีที่สุดและเด็ก
ๆ แถวบ้านผมในสมัยนั้นชอบกันมากที่สุดคือหลอดฟลูออเรสเซนต์
(ที่เรียกกันว่าหลอดนีออน)
เพราะว่ามันบางและทุบให้ละเอียดได้ง่ายดี
ไม่เหมือนแก้วทำขวดที่หนากว่า
และวิธีการหนึ่งที่เราใช้ผ่อนแรงช่วยในการทำให้เศษแก้วมันละเอียดคือ
"เอาไปให้รถไฟทับ"
การเอาเศษแก้วไปให้รถไฟทับ
ถ้าเป็นเศษขวดก็ต้องมีการทุบให้แตกเป็นชิ้นย่อยก่อน
แต่ถ้าเป็นหลอดฟลูออเรสเซนต์ก็ไม่ต้องทุบเพราะมันวางบนรางได้
ก่อนจะเอาไปวางบนรางก็ต้องเอากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อหลายชั้นหน่อย
จากนั้นก็ไปกันที่สถานีรถไฟธนบุรี
ที่นั้นจะมีหัวรถจักรวิ่งคอยย้ายตู้รถไฟอยู่เป็นประจำ
(ตอนนั้นที่สถานีดังกล่าวมีคลังสินค้าด้วย
เท่าที่จำได้คือมีคลังปูนซิเมนต์)
ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีรถไฟวิ่งทับ
คอยดูว่าขบวนไหนจะออกวิ่งก็เอาเศษแก้วห่อกระดาษหนังสือพิมพ์นี้ไปวางตามแนวยาวของราง
จากนั้นก็รอ ถ้าได้รถไฟขบวนยาว
ๆ ก็สบายไป
เพราะทับครั้งเดียวก็ได้เศษแก้วละเอียดเรียบร้อย
แต่ถ้าได้ขบวนสั้น ๆ ก็ต้องใช้สัก
๒-๓
ขบวน
ที่เล่ามาข้างต้นเป็นเรื่องเมื่อเกือบ
๔๐ ปีที่แล้ว
รางรถไฟแต่ก่อนนั้นหมอนรองรางรถไฟจะใช้ไม้
เราก็เลยเรียกกันว่าไม้หมอน
การยึดรางกับไม้หมอนจะใช้หมุด
(รูปร่างเหมือนตะปูตัวใหญ่
หัวโต)
ตอกลงไปในไม้หมอนให้ชิดกับราง
พอตอกหมุดลงจนสุดตัวหัวหมุดก็จะกดรางให้อยู่กับที่
การตอกนั้นก็มักจะตอกทั้งทางด้านนอกและด้านในของราง
ตอนสมัยผมเด็ก
ๆ เวลาเรียนวิทยาศาสตร์
ครูก็จะสอนว่าเวลาที่วัสดุต่าง
ๆ นั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้น
วัสดุนั้นก็จะขยายตัว
ในกรณีของรางรถไฟที่เป็นเหล็กท่อนยาว
ๆ นั้นเวลาที่แดดร้อนจัด
รางก็จะขยายตัวยืดยาวออก
ถ้าไม่มีช่องว่างให้รางขยายตัวได้
รางก็จะโก่ง
(การโก่งคือการเกิดการเคลื่อนที่ทางด้านข้าง)
ซึ่งเป็นอันตรายสามารถทำให้รถไฟตกรางได้
ดังนั้นการวางรางรถไฟจึงจำเป็นต้องมีการเว้นรอยต่อระหว่างรางเพื่อให้รางเหล็กขยายตัวได้
(รูปที่
๑)
เรื่องวิธีการป้องกันไม่ให้รางโก่งด้วยการเว้นช่องว่างนี้
เด็กสมัยนี้ก็เรียนแบบนี้เหมือนกัน
เพราะถามดูหลายรุ่นแล้วก็พบว่าเรียนมาแบบเดียวกัน
รูปที่
๑ รอยต่อระหว่างรางที่วางต่อเนื่องกัน
จะมีการเว้นช่องว่างเอาไว้
ตอนไปเรียนที่อังกฤษนั้นมีโอกาสได้นั่งรถไฟไปเที่ยวตามเมืองต่าง
ๆ
ระหว่างที่ยืนรอรถไฟอยู่ที่ชานชาลาก็สังเกตเห็นว่ารางรถไฟของที่นั่นมันไม่มีรอยต่อระหว่างรางแบบที่เห็นในบ้านเรา
เห็นเชื่อมรางต่อเนื่องกันเป็นเส้นยาวและก็ไม่เห็นเขาจะมีปัญหาเรื่องรางโก่งเมื่อร้อน
ด้วยความสนใจก็เลยไปหาหนังสือเกี่ยวกับรถไฟมาอ่าน
ก็เลยทราบว่าเทคนิคการวางรางด้วยการเชื่อมรางต่อเป็นเส้นยาวนี้มีมานานแล้ว
เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจว่าการโก่งคืออะไร
ถ้าเรามองว่าการโก่งของรางคือการที่รางมีการเคลื่อนที่ทางด้านข้าง
ดังนั้นถ้าไม่ต้องการให้รางโก่งก็ต้องหาทางป้องกันไม่ให้รางมีการเคลื่อนที่ทางด้านข้าง
วิธีการป้องกันที่เขาทำคือยึดรางเข้ากับไม้หมอนรองรางให้แน่น
และถมหินรอบ ๆ
รางและไม้หมอนให้กว้างมากพอที่จะป้องกันไม่ให้ไม้หมอนเคลื่อนตัวทางด้านข้างได้
และใช้รางที่มีขนาดหน้าตัดใหญ่ขึ้น
สำหรับคนที่เคยเรียนวิชา
mechanic
of material หรือที่บางภาควิชาเรียกว่า
strength
of material นั้นคงจะเคยผ่านเรื่องการรับแรงกดของเสามาบ้างแล้ว
เวลาที่เสารับแรงกดนั้นถ้าเป็นเสายาว
เสาก็จะพังด้วยการโก่ง
แต่ถ้าเป็นเสาสั้น
เสาก็จะพังด้วยแรงกดอัด
เสาต้นหนึ่งจะเป็นเสาสั้นหรือเสายาวนั้นขึ้นอยู่กับความยาวของเสาและพื้นที่หน้าตัด
เสาที่ยาวเท่ากันมีพื้นที่หน้าตัดรูปแบบเดียวกัน
ต้นที่มีพื้นที่หน้าตัดที่ใหญ่กว่าจะเป็นเสาที่สั้นกว่า
(มองในแง่การรับแรง)
ในกรณีของรางรถไฟนั้นเราอาจมองว่าความยาวของเสาคือระยะหว่างระหว่างไม้หมอน
ดังนั้นถ้าหากใช้รางที่มีพื้นที่หน้าตัดที่ใหญ่ขึ้น
เรานั้นก็จะเปรียบเสมือนเป็นเสาที่สั้นลง
โอกาสที่จะเกิดการโก่งก็น้อยลงไปหรือไม่เกิด
ความแข็งแรงของรางนั้นจะต้องมากพอที่จะรับแรงกดอัดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการขยายตัวด้วย
รางที่เชื่อมต่อเป็นเส้นเดียวกันนี้ทำให้รถไฟวิ่งได้ราบเรียบขึ้น
และสามารถรองรับรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้นได้ด้วย
รูปที่
๒ (ซ้าย)
แนวรอยเชื่อมต่อรางแต่ละท่อนให้กลายเป็นท่อนเดียวกัน
(ขวา)
คือการยึดรางในปัจจุบันที่ใช้หมอนรองรางทำจากคอนกรีต
ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออกเวลาที่มีโอกาสขึ้นรถไฟฟ้า
BTS
เวลายืนรอรถไฟอยู่ที่ชานชาลา
ก็ลองมองหาดูเอาเองว่ามีการเว้นช่องว่างที่รอยต่อระหว่างรางเอาไว้หรือไม่
รอบ ๆ ตัวเรานี้มีสิ่งต่าง
ๆ ให้เราเรียนรู้มากมาย
เพียงแต่ว่าเราสนใจที่จะสังเกตมันและนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราได้เรียนมาหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ฝากทิ้งท้ายสำหรับคนที่ไม่ได้มาในบ่ายวันนี้ว่า
ได้พลาดโอกาสที่จะเห็นพวกเราทำการตั้งทฤษฎีการเกิดปฏิกิริยาโดยไม่ได้ใช้วิธีแบบที่คนอื่นทำกัน
(คือไปหาว่าเคยมี
paper
กล่าวไว้ว่าอย่างไร
แล้วก็อ้าง paper
นั้นมา)
โดยกลุ่มเราใช้ความรู้พื้นฐานต่าง
ๆ ที่มีอยู่ในตำราเคมีอินทรีย์มาเขียนเป็นสมมุติฐานกลไกการเกิด
(ส่วนจะถูกทั้งหมดหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ถ้าดูตามตำราแล้วก็คาดหวังว่าน่าจะมีส่วนถูกอยู่มากเหมือนกัน)
การเรียนของกลุ่มเรามันไม่มีตารางสอนที่แน่นอนหรอก
มันขึ้นอยู่กับว่ามันมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเมื่อใด
ซึ่งก็ต้องแก้ไขกันตรงนั้นขณะนั้น
เปรียบเหมือนหมอฝึกหัดต้องหาประสบการณ์การรักษาคนไข้
จะใช้วิธีกำหนดให้มีคนป่วยด้วยโรคที่ต้องการศึกษามาพบในเวลาที่ต้องการไม่ได้หรอก
ต้องมานั่งรอที่โรงพยาบาลแล้วคอยว่าจะมีคนไข้ในโรคที่ต้องการศึกษามาให้รักษาหรือไม่