รูปข้างล่างเป็นรูปที่ผมถ่ายมาจากต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ริมร่องสวนข้างบ้าง
สังเกตเห็นอะไรบ้างไหมครับ
รูปที่
๑ ถ่ายมาจากร่องสวนที่อยู่ข้างบ้านเมื่อคืนวันที่
๑ มกราคมที่ผ่านมา
ช่วงวันหยุดปีใหม่พอจะมีเวลาเก็บของที่บ้าน
ก็เลยจัดการขนย้ายหนังสือจากชั้นวางในห้องนั่งเล่นไปเก็บยังชั้นวางที่ต่อขึ้นมาใหม่
เพื่อยกชั้นวางในห้องนั่งเล่นให้เป็นที่เก็บหนังสือของลูก
(ส่วนใหญ่ก็เป็นการ์ตูน)
ส่วนหนังสือของพ่อก็เอาไปเก็บไว้ในห้องว่างของ
"บ้านเก่า"
"บ้านเก่า"
ในที่นี้คือบ้านที่ซื้อมาจากเจ้าของเดิม
คือบ้านที่ผมอยู่เดิมนั้นเป็นบ้านจัดสรรชั้นเดียวอยู่สุดซอย
รอบด้านเป็นสวน "บ้านเก่า"
นั้นเป็นบ้านอยู่สุดซอยเช่นเดียวกันแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
เจ้าของเดิมเขาย้ายออกไปหลังอยู่มากว่า
๒๐ ปี
ทางคุณพ่อคุณแม่ก็เลยขอซื้อต่อช่วงที่ผมไปเรียนต่างประเทศ
พอกลับมาทางบ้านก็เลยให้มาอยู่บ้านหลังนี้
และก็อยู่บ้านหลังนี้มาตลอดจนกระทั่งปลูก
"บ้านใหม่"
ตอนมานอนอยู่
"บ้านเก่า"
ช่วงแรก
ๆ ก็มีแค่ผมกับน้องชาย ทั้ง
ๆ ที่อยู่ห้องนอนติดกันแต่ก็แทบจะไม่ได้เจอกัน
คือผมออกไปทำงานแต่เช้า
เข้านอนก็ไม่ดึกมาก
ส่วนน้องชายผมนั้นตื่นออกไปทำงานเกือบเที่ยง
กลับมาก็มักจะไม่ก่อนเที่ยงคืน
มานอนอยู่บ้านนี้ได้ไม่นานคุณแม่ก็มาถามว่า
"เป็นยังไงบ้าง
จะให้แม่มานอนเป็นเพื่อนไหม"
ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร
ก็เพราะไม่เห็นมันมีอะไร
แต่ฟังจากน้ำเสียงของคุณแม่ที่ถามด้วยความเป็นห่วงแล้ว
ทำให้สงสัยว่าคนที่มานอนบ้านนี้อยู่ก่อนผมคงจะเจออะไรมาบ้าง
เพราะเห็นเลือกเอาพระพุทธรูปมาวางไว้ใกล้เตียงนอน
แทนที่จะเป็นอาวุธสำหรับป้องกันขโมย
แต่สำหรับผมเองนอนบ้านนั้นมา
๑๗ ปี นอนอยู่คนเดียวก็บ่อยครั้ง
จนย้ายออกมาอยู่บ้านปลูกใหม่ที่สร้างอยู่ข้าง
ๆ ก็ไม่เคยเจออะไร
จะว่าไปแล้วเรื่องนอนต่างถิ่นนี่คนไทยจำนวนไม่น้อยก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องบอกกล่าวเจ้าที่เข้าทางที่เรามาอาศัยเขาหลับนอน
เหตุการณ์ทำนองนี้เคยเล่าเอาไว้ครั้งหนึ่งแล้วใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๒๓ วันอาทิตย์ที่
๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๕๕๓
เรื่อง "ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๗ ที่พักฝึกงาน"
ใครยังไม่เคยอ่านก็ลองย้อนกลับไปอ่านได้
ระหว่างรื้อหนังสือที่ซุกเอาไว้ไปเก็บ
ก็ไปพบเอาหนังสือ "สารานุกรมไทย
ฉบับราชบัณฑิตสถาน"
ที่ซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติตั้งแต่เดือนมีนาคมพ.ศ.
๒๕๕๑
ตอนนั้นที่ซื้อมาก็เพราะเขาขายเลหลังในราคาถูก
ก็เลยซื้อมาสะสมไว้เท่าที่เขามีเหลือขาย
คือมีไม่ครบชุด
ลองเอาหนังสือที่มีอยู่มาเปิดพลิกดู
ก็พบว่าเล่มหนึ่งมีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ
คือเรื่องวิธีการ "ปลุกผี"
ที่ให้รายละเอียดเอาไว้เกือบ
๘ หน้ากระดาษ
รายละเอียดวิธีการ
"ปลุกผี"
นั้นเขาว่าเอาไว้อย่างไรก็ลองอ่านเองเองดูก่อนนะ
ผมลอกมาตามที่เขาเว้นวรรคและย่อหน้า
"ปลุกผี
การปลุกผีกล่าวกันว่าเป็นการปลุกคนตายให้ลุกขึ้นหรือปรากฏกายขึ้นมา
เพื่อลนที่ใต้คาง
เอาน้ำมันไปทำเสน่ห์ยาแฝดต่าง
ๆ และคนตายที่เรียกว่า "ผี"
นั้นต้องเป็นผู้หญิงที่ตายทั้งกลม
คือตายพร้อมกับลูกในท้องและเป็นการตายผิดธรรมดาเช่นถูกฆ่าตาย
ตกน้ำตายเป็นต้น ที่เรียกว่า
"ตายโหง"
ความประสงค์ที่ปลุกให้ลุกหรือให้ปรากฏกายขึ้นมา
ก็เพื่อจะขอเอาลูกในท้องที่ตายพร้อมกับแม่ไปลนที่ใต้คางเอาน้ำมันมาทำเสน่ห์ยาแฝดต่าง
ๆ อย่างเช่นขุนแผนฆ่านางบัวคลี่ตายทั้งกลม
แล้วควักเอาลูกในท้องไปทำพิธีปลุก
เพื่อเอามาเลี้ยงเป็นกุมารทองดังจะได้กล่าวต่อไป
วิธีปลุก
กล่าวกันว่าจะต้องนั่งสมาธิบริกรรมคาถา
คาถานั้นท่านเรียกว่า
คาถาหัวใจพญาผี คาถามีว่า
"สุ
สิ สุ สัง"
จะย่อมาจากความเต็มว่าอย่างไร
ยังไม่พบหลักฐาน คาถาหัวใจพญาผีนี้
ท่านว่าใช้บริกรรมภาวนาเป็นพรายกระซิบ
และมีคาถาอื่น ๆ ร่วมด้วย
เช่น "สุ
สิ สุ สัง อรหัง สุคโต อรหัง
พุทธสังมิ"
บางทีก็เรียกกันว่า
"เมฆกระซิบ"
เมื่อบริกรรมภาวนาทีแรก
ๆ จะได้ยินเสียงแว่วมาแต่ไกล
และเมื่อบริกรรมภาวนาไป
จะค่อยได้ยินชัดเข้ามาทุกที
จนกระทั่งได้ยินชัดเจน
จะถามอะไรก็ได้
จะบอกเหตุดีเหตุร้ายให้รู้ก็ได้
บางตำรับว่า
ใช้เสกน้ำมันหอมยอนหูเป็นพรายกระซิบเมือนกัน
เชื่อกันว่า
เมื่อบริกรรมคาถาผีจะลุกขึ้นมาหรือไม่ลุกขึ้นมาขึ้นอยู่กับสมาธิ
ถ้าผู้ปลุกมีสมาธิมั่นและมีความจริงใจไม่หวาดไม่กลัว
ไม่ว่าผีนั้นจะลุกขึ้นมาในสภาพไหนก็ทำเฉย
ๆ เสีย โดยมั่นแน่วแน่ในสมาธิที่ตนนั่งบริกรรมอยู่นั้น
ผีจะลุกขึ้นมาปรากฏกายให้เห็น
และทำอาการน่ากลัวเป็นอย่างต่าง
ๆ
เพราะขึ้นชื่อว่าผีหมายถึงสิ่งที่มีสภาพเกินคนหรือเหนือคนลุกขึ้นมาหรือปรากฏกายขึ้นมา
อาจให้ดี ให้ร้าย ให้คุณ
ให้โทษแก่คนได้ จึงทำให้คนกลัว
ดังเรื่องที่เคยเล่ากันมาแต่ก่อนว่า
กระทาชายนายหนึ่งลอบไปสุ่มปลาที่หน้าวัดเวลาดึก
เมื่อสุ่มไป ๆ ได้สักครู่ใหญ่
ก็สุ่มได้ปลาขนาดใหญ่มาตัวหนึ่ง
ดิ้นขลุกขลักอยู่ในนั้น
กระทาชายคนนั้นเอามือล้วงลงไปควานจับเท่าไรก็จับไม่ได้
ทันใดนั้นปลาก็หายไปกลายเป็นผีมานั่งอยู่บนหลังสุ่มแลบลิ้นปลิ้นตาหลอก
กระทาชายคนนั้นก็ผงะหงายตกใจเป็นกำลัง
ผละจากสุ่มรีบวิ่งตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำแล้ววิ่งหนีสุดแรงเกิด
พอมาถึงตีนกระไดก็ล้มลงขาดใจตาย
นี่เป็นผีธรรมดาที่ถูกรบกวนแล้วแสดงตนให้ปรากฏ
คนยังกลัวกันถึงขนาดนี้
ส่วนผีตายทั้งกลม ว่าเป็นผีอาถรรพณ์
เวลาปลุกให้ลุกขึ้นมาก่อนปรากฏกายมักจะแสดงอิทธิฤทธิ์ในสภาพต่าง
ๆ มาก่อน เช่น ให้เกิดลมพายุพัดกระหน่ำมา
ให้เกิดฝนตก ฟ้าร้องอย่างหนัก
ฟ้าผ่าเปรี้ยง ๆ ไม่ขาดระยะ
ครั้นปรากฏกาย ก็ปรากฏเป็นรูปร่างต่าง
ๆ เช่น ตัวใหญ่สูงขึ้น ๆ
เท่ายักษ์ เท่ามาร
มาแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกล่อ
ถ้าผู้ปลุกไม่กลัวและมั่นอยู่ในสมาธิแล้ว
ขอลนเอาน้ำมัน
ผีก็อนุญาตและลดตัวลงให้ลนเอาได้และได้ผลตามปราถนา
แต่ถ้าสมาธิไม่มั่นเกิดหวาดกลัวขึ้นมาวิ่งหนี
ผีจะไล่ตามทำโทษให้ถึงตายได้
ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงว่าก่อนปลุกต้องทำให้ถูกวิธี
คือต้องไปทำในป่าช้าหรือที่ลับหูลับตา
ในเวลากลางคืนดึกสงัดแล้ว
ต้องบริกรรมคาถาในมั่นและแม่นยำ
และต้องมีคาถาสำหรับกันไม่ให้ผีหลอก
หรือ ทำอันตรายได้ด้วย
ที่ว่าต้องทำให้ถูกวิธีนั้นท่านว่า
เมื่อจะมาทำการปลุกผี
ต้องเอาไม้ชัยพฤกษ์มาเป็นที่รองรับผี
เอาไม้รักมาปักเป็นเสาขึ้น
๔ ทิศ เอาไม้มะริดไม้กันเกรามาปักเป็นเครื่องป้องกันภัย
เอายันต์นารายณ์ปิดศีรษะ
ลงยันต์ราชะปะพื้นล่าง
แล้วเอายันต์นารายณ์ปิดหน้าอก
ทำยันต์ปิดปักธงวงสายสิญจน์รอบ
เอายันต์สังวาลย์พระอินทร์กั้นเป็นเพดาน
เรียกว่า กันบน กันล่าง
กันข้างหน้า กันข้างหลัง
กับข้างซ้าย กันข้างขวาไว้หมด
และนั่งบริกรรมคาถาในแวดวงพิธีนั้น
และต้องบริกรรมให้มั่นและแม่นยำ
ในขณะเดียวกัน
ต้องมีคาถาสำหรับกันไม่ให้ผีหลอกหรือทำอันตรายได้ด้วย
นอกจากนี้
ต้องตั้งพิธีบวงสรวงเจ้าแม่ผู้รักษาป่าช้าหรือเจ้าที่ที่จะไปทำพิธปลุก
ณ ที่นั้น ๆ
โดยนำเครื่องเซ่นเป็นกุ้งพร่าปลายำไปเซ่นเจ้าแม่ป่าช้าและผีที่จะปลุกด้วย"
ถัดจากนั้นสารานุกรมก็ได้ยกตัวอย่างการทำพิธีปลุกผีโดยหยิบยกมาจากเสภาเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน
ตอนที่ ๑๖ เรื่องกำเนิดกุมารทอง
ถ้าอยากรู้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นก็ลองไปอ่านในรูปที่
๒ ที่แนบมาเอาเองก็แล้วกัน
รูปที่
๒ เสภาเรื่องขุนช้าง-ขุนแผนตอนกำเนิดกุมารทอง
จากหนังสือสารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน
เล่ม ๑๘
อันที่จริงตัวอย่างเรื่องคนสุ่มปลาที่เขายกมาโดยกล่าวว่าเป็นเรื่องเล่าต่อ
ๆ กันมานั้นนั้นถ้าอ่านดี
ๆ ก็จะเห็นจุดที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่
ก็คือการที่คนสุ่มปลานั้นพอวิ่งหนีมาถึงตีนกระไดก็
"ล้มลงขาดใจตาย"
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้จริงสิ่งที่คนอื่นเห็นและรับรู้ควรจะเป็นเพียงแค่มีคน
ๆ หนึ่งวิ่งมาถึงตีนกระไดแล้ว
"ล้มลงขาดใจตาย"
ส่วนเรื่องที่ว่าคน
ๆ นี้ไปไหนมา ไปทำอะไร
และไปเจออะไรเข้าบ้าง
จนต้องวิ่งหนีจนขาดใจตายนั้น
คนเล่าเขารู้รายละเอียดได้อย่างไร
รายละเอียดเรื่อง
"ปลุกผี"
ทั้งหมดอ่านได้ใน
สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน
เล่ม ๑๘ ประถมจินดา-ปิง
หน้า ๑๑๔๕๑-๑๑๔๕๘
พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ.
๒๕๒๔-๒๕๒๖
พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ.
๒๕๓๕
โดยโรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์
กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐
ท้ายเรื่องดังกล่าวมีอักษรพิมพ์ตัวเอียง
ส.ศร.
ซึ่งเป็นชื่อย่อของผู้เขียนเรื่องดังกล่าว
โดยท้ายเล่มระบุว่าคือ
นายสังคม ศรีราช ป.ธ.
๙,
นักวรรณศิลป์
กองศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถาน
เรื่องเอาไฟลนคางผีเพื่อไปทำน้ำมันพรายนี้
เหม เวชกร เล่าไว้อีกแนวหนึ่งในนิยายของเขาเอง
ไว้วันหลังจะเอามาเล่าให้ฟัง
แต่ขอแนะนำให้ไปหาหนังสือนิยายผีที่เขียนโดย
เหม เวชกร มาเก็บสะสมไว้
เพราะบรรยายสภาพเมืองไทยช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเอาไว้ชัดเจนมาก
รูปต้นไม้ที่ผมถ่ายมานั้นถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือ
แม้เปิดแฟลชมันก็ไม่ได้ช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น
ก็เลยเอามาปรับแต่งความสว่างด้วยโปรแกรม
PhotoScape
v3.6.5 ก็ได้ภาพมีแสงสีอย่างที่เห็น
มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าต้นลำพูขึ้นอยู่ข้างร่องสวน
จุดสว่างสีขาวที่เห็นทางด้านขวาของต้นลำพูก็เป็นไฟจากหน้าต่างบ้านที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสวนที่ส่องลอดพุ่มใบออกมา
ทั้งภาพที่ผมเห็นมันก็มีแค่นี้เอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น