เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน
ไม่นำเนื้อหาลง blog
บันทึกช่วยจำของกลุ่มวิจัยตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์ บันทึกความจำของวิศวกรเคมีผู้ลงมือปฏิบัติ (mo.memoir@gmail.com)
วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559
วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ความเป็นกรดของหมู่ไฮดรอกซิล (Hydroxyl group) ตอนที่ ๑ MO Memoir : Tuesday 28 June 2559
หมู่ไฮดรอกซิล
(Hydroxyl
group หรือ
-OH)
ที่จะคุยกันในที่นี้คือหมู่ที่อะตอม
O
นั้นสร้างพันธะโควาเลนซ์กับอะตอมไฮโดรเจน
๑ อะตอม และสร้างพันธะโควาเลนซ์กับอะตอมอื่นอีก
๑ อะตอมที่ไม่ใช่ H
ตรงนี้หลายรายไปจำสับสนกับไฮดรอกไซด์ไอออน
(Hydroxide
ion หรือ
OH-)
ซึ่งเป็นกรณีที่ไอออน
OH-
นั้นสร้างพันธะไอออนิกกับไอออนบวกตัวอื่น
ไฮดรอกไซด์ไอออนนั้นเป็นเบส
(ไม่ว่าไอออนบวกนั้นจะเป็นไอออนอะไร)
แต่หมู่ไฮดรอกซิลนั้นเป็นได้ทั้งกรดและเบส
ขึ้นอยู่กับว่าอะตอม O
นั้นไปสร้างพันธะอีกพันธะหนึ่งเข้ากับหมู่อะไร
หมู่ -OH
แสดงฤทธิ์เป็นกรดได้ด้วยการจ่าย
H+
ออกมา
และแสดงฤทธิ์เป็นเบสลิวอิสได้ด้วยการใช้อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
(lone
pair electron) ของอะตอม
O
นั้นรับ
H+
ซึ่งมักตามมาด้วยการหลุดของหมู่
-OH
ออกมาในรูปของ
H3O+
ดังรูปที่
๑ ข้างล่าง
รูปที่
๑ การแสดงฤทธิ์เป็นกรดและเบสของหมู่ไฮดรอกซิล
เรื่องความเป็นเบสของหมู่ไฮดรอกซิลนั้นขอเก็บเอาไว้ก่อน
ใน Memoir
ฉบับนี้จะคุยกันเพียงแค่ความเป็นกรด
โดยธรรมชาติของอะตอมที่มีประจุนั้น
มันจะดึงดูดประจุที่ตรงข้ามกันเข้าหากัน
ความสามารถในการดึงประจุที่ตรงข้ามกันนั้นขึ้นอยู่กับความหนาแน่นประจุ
ความหนาแน่นประจุดูได้จากปริมาณประจุต่อขนาดอะตอมหรือกลุ่มอะตอมที่มีประจุนั้น
ถ้าอะตอมนั้นมีความหนาแน่นประจุสูง
มันก็จะแรงในการดึงประจุตรงข้ามที่สูง
เพื่อสะเทินประจุของตัวมันเอง
ประจุที่ตรงข้ามกันนั้นอาจอยู่ในรูปของไอออนที่มีประจุตรงข้าม
หรือตำแหน่งของโมเลกุลที่มีขั้ว
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือกรณีของกรด
HX
ที่ความแรงของกรดเรียงตามลำดับ
HF < HCl < HBr < HI แม้ว่าทั้ง
F-
Cl- Br- และ
I-
ต่างเป็นไอออนที่มีประจุ
-1
เหมือนกัน
แต่ไอออน F-
มีขนาดเล็กสุดจึงมีความหนาแน่นประจุมากที่สุด
(หรือจะมองว่าอิเล็กตรอนที่เกินมา
1
ตัว
มันหาตัวเพื่อสร้างพันธะได้ไม่ยากก็ได้)
จึงสามารถดึงเอา
H+
กลับเข้าหามันได้ง่ายกว่าตัวอื่น
(ในสภาวะที่ใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย
HF
จึงเป็นกรดอ่อน)
ส่วนไอออน
I-
มีขนาดใหญ่สุด
ประจุลบจึงแผ่กระจายออกไปมากกว่า
(หรือจะมองว่าไอออนบวกที่จะเข้ามาสร้างพันธะกับอิเล็กตรอนที่เกินมา
1
ตัวจะสร้างได้ยากกว่าเพราะหาอิเล็กตรอนตัวนั้นได้ยากกว่า
เนื่องจากมันมีพื้นที่ให้เคลื่อนที่ที่กว้างกว่า)
HI จึงเป็นกรดที่แก่ที่สุดในกลุ่มนี้
ในกรณีของไอออนที่ประกอบขึ้นจากอะตอมหลายอะตอม
ยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถลดความหนาแน่นประจุได้นั่นก็คือการเกิดทำให้ประจุนั้นเคลื่อนที่ไปยังอะตอมอื่นที่อยู่เคียงข้าง
(จะเรียกว่าเกิด
delocalization
หรือ
resonance
ก็ตามแต่)
ในทางเคมีอินทรีย์ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของกรณีนี้ก็คือ
pi
electron ของวงแหวนเบนซีนหรือในกรณีของ
conjugated
double bond (โครงสร้างโมเลกุลที่มีพันธะ
C=C
สลับกับพันธะ
C-C)
ตำแหน่งพันธะคู่
C=C
นั้นมองได้ว่าเป็นเบสลิวอิสหรือเป็นบริเวณที่มีอิเล็กตรอนหนาแน่น
แต่พอเกิด delocalization
แล้วทำให้ความหนาแน่นของอิเล็กตรอน
ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งลดลง
การดึงอิเล็กตรอนจากวงแหวนเบนซีนจึงยากกว่าการดึงจากพันธะ
C=C
ปรกติ
ที่เล่ามาข้างต้นเป็นพื้นฐานเพื่อการทำความเข้าใจว่าทำไมหมู่
-OH
จึงแสดงฤทธิ์เป็นกรดที่มีความแรงแตกต่างกันได้
ในกรณีของแอลกอฮอล์นั้น
หมู่ -OH
เกาะอยู่กับอะตอม
C
ของหมู่
R
โดยอะตอม
C
ตัวที่มีหมู่
-OH
เกาะอยู่ของหทู่
R
นี้สร้างพันธะที่เหลือเข้ากับอะตอม
C
ตัวอื่น
(ในรูปแบบของพันธะเดี่ยว
C-C
นะ
ไม่ใช่พันธะคู่ C=C)
หรืออะตอม
H
และโครงสร้างส่วนที่เหลือของหมู่
R
เป็นหมู่ไฮโดรคาร์บอนอิ่มหรือไม่อิ่มตัว
ถ้าหมู่ไฮดรอกซิลของแอลกอฮอล์นี้จ่ายโปรตอนออกไป
ไอออนลบที่เกิดขึ้น
(ที่เรียกว่าอัลคอกไซด์ไอออนหรือ
alkoxide)
จะมีประจุลบค้างอยู่ที่ตำแหน่งอะตอม
O
เท่านั้น
เพราะอะตอม C
ของหมู่
R
ที่มีหมู่
-OH
เกาะอยู่นั้นไม่มีความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนออกไปจากอะตอม
O
ทำให้ความหนาแน่นประจุที่ตำแหน่งอะตอม
O
สูงมาก
มันก็เลยไม่อยากปล่อยโปรตอนออกไป
ยกเว้นแต่ว่าจะมีเบสที่แรงจริง
ๆ เท่านั้นมาทำปฏิกิริยาด้วย
(เช่นโลหะ
Na)
ดังนั้นหมู่
-OH
ของแอลกอฮอล์จึงมีฤทธิ์เป็นกรดที่อ่อนมาก
ในกรณีของฟีนอลนั้น
หมู่ -OH
เกาะเข้าโดยตรงกับอะตอม
C
ของวงแหวนเบนซีน
เมื่อหมู่ -OH
จ่ายโปรตอนออกไป
อะตอม C
ที่มีหมู่
-OH
เกาะอยู่นั้นก็ไม่มีความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนจากอะตอม
O
เช่นกัน
(เพราะ
C
มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตี
(electronegativity)
ต่ำกว่า
O)
แต่อะตอม
C
ดังกล่าวมี
pi
electron ของพันธะไม่อิ่มตัว
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คืออิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดประจุลบที่อะตอม
O
จะเกิดการ
delocalization
กับ
pi
electron ของวงแหวนเบนซีน
(ดังรูปที่
๒ ข้างล่าง)
ทำให้ประจุลบมีการแผ่กระจายออกไปทั้งโมเลกุล
(หรือกล่าวได้ว่ามีความหนาแน่นประจุลดลง)
ฟีนอลจึงเป็นกรดที่แรงกว่าแอลกฮอล์
(เพราะ
phonoxide
ion มีเสถียรภาพมากกว่า)
รูปที่
๒ การเกิด charge
delocalization ของ
phenoxide
ion
ทีนี้ลองมาดูกรณีของกรดอินทรีย์
(carboxylic
acid) กันดูบ้าง
ในกรณีนี้อะตอม O
ของหมู่
-OH
เกาะกับอะตอม
C
ของหมู่คาร์บอนบิล
(carbonyl
-CO-) อะตอม
C
ของหมู่คาร์บอนิลตัวนี้มีอะตอม
O
เกาะด้วยพันธะคู่อยู่อีก
๑ อะตอม และอะตอม O
ตัวนี้เป็นตัวที่ดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอม
C
ทำให้อะตอม
C
มีความเป็นขั้วบวก
ดังนั้นเมื่อหมู่ -OH
จ่ายโปรตอนออกไปกลายเป็น
-O-
ประจุลบที่
-O-
จะถูกอะตอม
C
ของหมู่คาร์บอนิลดึงเข้าหาให้เคลื่อนที่ไปทางฝั่งนี้บ้าง
ทำให้ความหนาแน่นประจุลบของ
-O-
ลดลง
แต่ที่สำคัญคือโครงสร้าง
C=O
ของหมู่คาร์บอนนิลนั้นสามารถทำให้ประจุลบของ
-O-
เกิด
delocalization
ได้
และเป็นตัวหลักที่ทำให้ความหนาแน่นประจุลดลง
(เพราะแผ่ออกไปเป็นบริเวณที่กว้างขึ้น)
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กรดอินทรีย์มีความเป็นกรดที่แรงกว่าแอลกอฮอล์และฟีนอล
รูปที่
๓ การเกิด delocalization
ของหมู่คาร์บอกซิล
แรงที่กระทำต่อไอออนที่อยู่บนพื้นผิวสารประกอบโลหะออกไซด์ที่เป็นของแข็งนั้นเป็นแรงที่ไม่สมมาตร
ทำให้ด้านที่หันเข้าหาเฟสแก๊ส/ของเหลวนั้นสามารถดึงดูดโมเลกุลที่มีขั้วให้มาเกาะอยู่บนพื้นผิว
(ที่เรียกว่าเกิดการดูดซับ)
และโมเลกุลมีขั้วที่มีอยู่ทั่วไปมากที่สุดเห็นจะได้แก่น้ำ
ถ้าไอออนบวกนั้นเป็นกรดลิวอิส
(Lewis
acid) ที่แรงมาก
มันจะดึงเอาส่วน OH-
ให้มาเกาะกับตัวมันและแยก
H+
ไปเกาะกับไอออน
O
ที่อยู่ข้างเคียงให้กลายเป็นหมู่
-OH
ที่มีคุณสมบัติเป็น
Brönsted
acid site ที่สามารถจ่าย
H+
ให้กับเบส
(ฟัง
ๆ ดูแล้วอาจจะงงหน่อย
แต่ว่ามันไม่ใช่ไฮดรอกไซด์ไอออนนะ)
และในสภาวะที่เหมาะสม
(เช่นที่อุณหภูมิสูง
มีไอน้ำ ฯลฯ)
พื้นผิวก็จะคายโมเลกุลน้ำออกมา
เปลี่ยนสภาพเป็น Lewis
acid ได้
รูปที่
๔ การเกิด Brönsted
และ
Lewis
acid site บนพื้นผิวซีโอไลต์ที่เกิดจากการดูดซับน้ำหรือคายน้ำ
หรือการแทนที่ Si4+
ด้วยไอออน
4+
ของโลหะตัวอื่น
(จากบทความเรื่อง
"Recent
progress in the development of solid catalysts for biomass conversion
into high value-added chemicals : Focus issue review", โดย
Michikazu
Hara, Kiyotaka Nakajima และ
Keigo
Kamata, Sci, Technol. Adv. Mater. 16 (2015) 22 pp.
รูปที่
๕ การเปลี่ยนจากBrönsted
มาเป็น
Lewis
acid site บนพื้นผิวซีโอไลต์อันเป็นผลจากไอน้ำและความร้อน
ทำให้ Al3+
หลุดออกจากโครงสร้าง
และตัว Al3+
ที่หลุดออกมาตัวนี้แหละที่เป็น
Lewis
acid site (จาก
http://what-when-how.com/nanoscience-and-nanotechnology/catalytic-properties-of-micro-and-mesoporous-nanomaterials-part-1-nanotechnology/)
รูปที่
๔ เป็นตัวอย่างกรณีของซีโอไลต์
(zeolite)
ที่ทำให้เกิดความไม่สมมาตรด้วยการแทรกไอออน
Al3+
เข้าไปในโครงสร้าง
SiO2
(ที่ประกอบด้วย
Si4+)
เจ้าตัว
Al3+
ที่ทำให้เกิดความไม่สมมาตรในโครงสร้าง
ดึงดูดโมเลกุลน้ำเข้ามา
ทำให้เกิดตำแหน่งที่เป็น
Brönsted
acid site บนพื้นผิว
แต่ถ้าให้ความร้อนที่สูงมากพอและมีไอน้ำร่วม
ไอออน Al3+
จะหลุดออกาจากโครงสร้างได้
และเจ้าตัว Al3+
ที่หลุดออกมาตัวนี้แหละที่เป็น
Lewis
acid site (รูปที่
๕)
รูปที่
๖ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของหมู่
-OH
บนพื้นผิวโลหะออกไซด์
ที่แสดงฤทธิ์เป็น Brönsted
acid site (ไอออนบวกของโลหะดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอม
O
แบบเดียวกับที่หมู่คาร์บอนิล
-CO-
ทำนั่นแหละ)
แต่เป็นกรณีที่มีการใช้สารประกอบซับเฟต
(SO42-)
เข้าไปเสริมแรงของ
Lewis
acid site
รูปที่
๖ การเกิด Brönsted
และ
Lewis
acid site บนพื้นผิวสารประกอบโลหะออกไซด์
(ซ้าย)
พื้นผิวปรกติ
(ขวา)
ได้รับการเสริมด้วยซัลเฟต
(SO42-)
(จากบทความเรื่อง
"Nanoporous
catalysts for biomass conversion : Critial Review" โดย
Liang
Wang และ
Feng-Shou
Xiao, Green Chem, 2015, 17, pp 24-39)
อันที่จริงเรื่องความเป็นกรดของหมู่
-OH
บนพื้นผิวมันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง
เอาไว้ผมมีความรู้เรื่องนี้ดีก่อนแล้วค่อยเล่าให้ฟังก็แล้วกัน
เพราะมันมีหลายแบบจำลองที่ขัด
ๆ กันอยู่
ว่าแต่ตรงจุดนี้อาจมีคนสงสัยว่าเริ่มต้นเรื่องนี้ด้วยเคมีอินทรีย์แล้วมาจบลงที่เคมีอนินทรีย์ได้อย่างไร
สาเหตุก็เป็นเพราะคิดว่ามีใครต่อใครหลายคนอาจต้องการความรู้พื้นฐานเรื่องความเป็นกรดของหมู่ไฮดรอกซิลเพื่อเอาไปใช้ในการสอบวิทยานิพนธ์ที่จะเกิดขึ้นเร็ว
ๆ นี้ ก็เลยเขียนเรื่องนี้เล่าสู่กันฟังเท่านั้นเอง
ส่วนภาพในหน้าถัดไปก็ไม่มีอะไร
เห็นมีคนเขาโพสบนหน้า
facebook
ของเขาเมื่อช่วงหัวค่ำวันวานที่ผ่านมา
(ตามเวลาประเทศไทย)
ก็เลยขอเอามาบันทึกไว้กันลืมเท่านั้นเอง
เพราะในความเป็นจริงผมเองก็ไม่ได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หรือกรรมการสอบของพวกเขาเลย
เป็นเพียงแค่แวะไปกินกาแฟกับพวกเขาเท่านั้นเอง
วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ตำราสอนการใช้ปิเปตเมื่อ ๓๓ ปีที่แล้ว (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๐๕) MO Memoir : Saturday 25 June 2559
ระหว่างจัดหนังสือก็ค้นเจอตำราเก่า
ๆ ที่เคยใช้สมัยเรียนปี ๑
ก็เลยขอเอาบางส่วนมาให้ดูกัน
เพื่อที่จะได้เห็นว่าในยุคสมัยหนึ่งนั้นบางสิ่งมันเป็นเรื่องที่เขาสอนให้ปฏิบัติกันเป็นเรื่องปรกติ
แต่ต่อมาภายหลังก็มีการเปลี่ยนแปลงว่าเป็นวิธีการปฏิบัติที่ไม่ปลอดภัย
และห้ามกระทำกัน นั่นคือการ
"ปาก"
ดูดปิเปต
ตอนเรียนมัธยมปลายยังมีโอกาสทำการทดลองภาคปฏิบัติทั้งวิชา
ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา
(เจอทั้งผ่ากบและผ่ากระต่าย)
พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เลยพอมีพื้นฐานในการทำการทดลองอยู่บ้าง
การใช้ปากดูดปิเปตในยุคสมัยนั้นก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องปรกติที่มีการสอนให้ทำกัน
วิธีการก็คือให้เอานิ้วชี้อุดปลายปิดเปตข้างที่จะดูดเอาไว้
จากนั้นก็เอาปากอมทั้งนิ้วชี้ทั้งปลายปิเปต
เปิดนิ้วที่อุดปลายปิเปตเล็กน้อย
แล้วค่อย ๆ ดูดของเหลวให้ไหลเข้าปิเปต
ตาก็ต้องคอยมองดูด้วยว่าของเหลวไหลขึ้นมาเกินระดับขีดบอกปริมาตรหรือยัง
ถ้าเห็นว่ามันขึ้นมาสูงเกินแล้วก็ให้หยุดการดูด
แล้วใช้การเปิด-ปิดปลายนิ้วชี้ในการปรับปริมาตรของเหลวในปิเปตให้ถูกต้อง
แต่ก็อย่างว่า
ขีดบอกปริมาตรที่ถูกต้องมันอยู่ใกล้ปากดูด
มันก็เลยมองยาก
ดังนั้นอุบัติหตุประเภทดูดสารละลายเกินเข้ามาในปากจึงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
ส่วนอาคารที่เคยเป็นห้องเรียนแลปเคมีเดิม
ตอนนี้กลายเป็นอาคารศิลปวัฒนธรรมไปแล้ว
(ภาพข้างล่าง)
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559
MO Memoir รวมบทความชุดที่ ๘ รถไฟ ปู๊น ปู๊น MO Memoir : Friday 24 June 2559
"รถไฟ"
เป็นเรื่องราวที่ผมชอบมากที่สุดบนหน้า
blog
ของผมครับ
ในขณะที่คนส่วนหนึ่งมองหาการมาถึงของเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง
แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่มองหาความสงบเงียบและความงามของบรรยากาศสองข้างทางรถไฟเมื่อมองจากหน้าต่างรถไฟที่วิ่งไปเรื่อย
ๆ
ตรงนี้ก็คงขึ้นอยู่กับว่าคนเหล่านั้นเดินทางโดยรถไฟเพื่อวัตถุประสงค์ใด
และให้คำจำกัดความของ
"การท่องเที่ยว"
ไว้อย่างใด
คนที่เดินทางโดยมีธุระติดต่อเป็นเป้าหมายหลัก
ความรวดเร็วในการเดินทางจึงเป็นสิ่งสำคัญ
คนที่ท่องเที่ยวโดยสนแต่ปลายทางเป็นจุดหมายหลัก
ความรวดเร็วในการเดินทางจึงเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
แต่สำหรับผู้ที่เห็นว่าการท่องเที่ยวคือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตลอดเส้นทางเดินทางนั้น
การได้มีเวลาสัมผัสกับสิ่งต่าง
ๆ ระหว่างเส้นทางจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เรื่องต่าง
ๆ เกี่ยวกับรถไฟที่เขียนลง
blog
ลงไปนั้น
ไม่ได้คิดจะเจาะลึกลงไปในแต่ละเรื่องหรอกครับ
เป็นเพียงแค่บันทึกความจำว่าเคยเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับรถไฟ
(ที่ไม่ค่อยมีการกล่าวถึงกัน)
ที่ไหนบ้าง
แต่ก็ไม่แน่นะครับ
เกษียณอายุเมื่อใดอาจเอาเรื่องที่บันทึกไว้มาเป็นต้นเรื่องให้ค้นคว้าลงไปอย่างละเอียดอีกที
ก็คนเราก็ต้องมีงานอดิเรกกันบ้างใช่ไหมครับ
ไม่ใช่ว่าคุยได้แต่เรื่องเดียวคือเรื่องงาน
ดาวน์โหลดไฟล์ pdf กดที่นี่
ดาวน์โหลดไฟล์ pdf กดที่นี่
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559
น้ำตาลในผลไม้ (คิดสักนิดก่อนกดแชร์ เรื่องที่ ๘) MO Memoir : Thursday 23 June 2559
ลองดู
Infographic
ข้างล่างดูก่อนนะครับ
เห็นแล้วคุณรู้สึกอย่างไร
ผมเห็นคนเขากดแชร์กันใหญ่เมื่อวานนี้
ดูเหมือนว่าใน facebook
ต้นเรื่องนั้นเพิ่งจะนำขึ้นในวันอังคารที่ผ่านมา
ตอนแรกที่คุณเห็น
คุณคิดว่าผลไม้ชนิดไหนมีน้ำตาลมากที่สุด
และชนิดไหนมีน้ำตาลน้อยที่สุดครับ
คุณเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีกับผลไม้บางชนิดหรือเปล่าครับเมื่อได้เห็นกราฟแท่งดังกล่าว
ทีนี้ลองดูใหม่อีกทีนะครับ
ผมตัดมาบางส่วนและขีดเส้นใต้เน้นให้เห็นชัดเจน
ปรกติเวลาคุณกินกล้วยหอม
คุณก็มักจะกินทั้งใบใช่ไหมครับ
(มีสักกี่คนที่กินแบบครึ่ง
ๆ กลาง ๆ แล้วทิ้งหรือเก็บไว้กินต่อ)
แล้วเวลากินน้อยหน่า
คุณกินทีละ "1.2
ผล"
หรือครับ
(แล้วอีก
0.8
ผลเอาไปไหน
เก็บไว้อย่างไร)
เวลากินมะม่วง
คุณกินครั้งละ "0.3
ผล"
เช่นนั้นหรือ
และเวลากินฝรั่งก็เช่นกัน
คุณกินทีละ "0.25
ผล"
หรือเปล่าครับ
มาถึงตรงนี้คงจะเห็นแล้วนะครับว่า
กราฟแท่งที่เขาแสดงเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลนั้น
เป็นการเปรียบเทียบที่
"เป็นธรรม"
หรือไม่
ข้อมูลที่เขานำมาแสดงนั้นอาจจะถูกก็ได้ครับ
(ตรงนี้ผมไม่รู้นะ)
ถ้าคิดจากปริมาณน้ำตาลตามหน่วยบริโภคที่เขาแสดง
แต่ในความเป็นจริงเราบริโภคผลไม้กันตามหน่วยบริโภคนั้นหรือไม่
ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่พอเห็นคนกดแชร์รูปมาก็มักจะกดแชร์ต่อ
ๆ กันไป ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่เข้าไปอ่านจากต้นตอ
ซึ่งบางทีเราก็จะเห็นความเห็นแย้งกับรูปภาพดังกล่าว
และเป็นความเห็นแย้งที่มีเหตุผลซะด้วย
อย่างเช่นในกรณีของรูปนี้ก็มีผู้เข้าไปแสดงความเห็นประกอบดังรูปข้างล่าง
ลองอ่านเอาเองนะครับ
ความเห็นแย้งข้างบนยังไม่จบนะครับ
ยังมีคนแสดงความเห็นโต้ตอบกันอยู่
ส่วนใครจะถูกใครจะผิดนั้นผมก็บอกไม่ได้
เพราะไม่ได้มีความรู้อะไรทางด้านนี้
เพียงแค่อยากยกตัวอย่างให้เห็นในสิ่งที่ผมมักจะกล่าวเสมอเวลาสอนสัมมนาว่า
สิ่งสำคัญคือ"ฟังอย่างไร
ไม่ให้ถูกหลอก"
เดี๋ยวนี้เห็นบ่อยครั้งที่
Infographic
ไม่ได้แสดงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรอก
คนอ่านต่างหากที่อ่านไม่ละเอียดเอง
และสรุปไม่ดีเอง
วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ภาพบันทึกความทรงจำ กว่าจะเป็นวิศวกรเคมี ๘๑-๙๐ MO Memoir : Tuesday 21 June 2559
กลับมาใหม่อีกครั้งหลังห่างหายไปกว่าปี
มาคราวนี้การเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน้อย
คือชุดก่อนนี้ลงภาพเป็นขาว-ดำ
แต่มาคราวนี้เปลี่ยนเป็นลงภาพสีแทน
และมีการพลิกภาพที่อยู่ในแนวนอนให้วางตั้งขึ้นเพื่อให้ภาพมันขยายได้ใหญ่เต็มหน้ากระดาษ
(เฉพาะในส่วนของไฟล์
pdf
ที่แจกจ่ายทางอีเมล์)
วันที่ที่ปรากฏอยู่เหนือแต่ละภาพคือวันที่นำภาพดังกล่าวแสดงบนหน้า
blog
ในกล่อง
"กว่าจะเป็นวิศวกรเคมี"
ส่วนรายละเอียดของภาพนั้นอยู่ทางด้านล่างของแต่ละภาพ
อีก
๑๐ ภาพของสิ่งที่คนทั่วไปอาจะเห็นว่าเป็น
เหตุการณ์ธรรมดา ๆ ของบุคคลธรรมดา
ๆ ถ่ายในสถานที่ธรรมดา ๆ
โดยตากล้องธรรมดา ๆ
แต่สำหรับคนที่อยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว
ไม่ว่าจะปรากฏอยู่ในภาพหรือไม่อยู่ในภาพนั้นนั้น
มันจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่
ก็คงขึ้นอยู่กับความทรงจำของเขาเหล่านั้น
วันพฤหัสบดีที่
๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙
วันพฤหัสบดีที่
๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗
นิสิตป.ตรีเตรียมป้ายไว้ต้อนรับบัณฑิตที่จะมารับปริญญาในวันรุ่งนี้
วันนี้เป็นวันรับปริญญาของนิสิตบัณฑิตศึกษาของคณะ
วันอาทิตย์ที่
๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙
วันอังคารที่
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙
วันจันทร์ที่
๖ มิถุนายน ๒๕๕๙
วันพฤหัสบดีที่
๙ มิถุนายน ๒๕๕๙
วันเสาร์ที่
๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๙
วันเสาร์ที่
๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ วัน CU
First Date บรรยากาศถนนระหว่างศาลาพระเกี้ยวไปยังหอประชุม
(ถ่ายจากลานจักรพงษ์
(สระว่ายน้ำ
๕๐ เมตรเดิม))
ที่มีการขายเสื้อและกระเป๋าของนิสิตรุ่นพี่
วันจันทร์ที่
๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๙
วันพุธที่
๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๙
วันเสาร์ที่
๒๗ มกราคม ๒๕๕๐
นิสิตตัวแทนภาควิชาที่ไปร่วมแข่งขันกีฬาระหว่างภาควิชาวิศวกรรมเคมี
"โลมาเกมส์"
ที่มหาวิทยาลัยบูรพา
บางแสน
วันศุกร์ที่
๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๙
วันจันทร์ที่
๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
การทดลองแลปเคมีอินทรีย์เรื่อง
"ทอดไข่เจียวให้อร่อยต้องใช้น้ำมันหมู
-
จริงหรือเท็จ"
ของนิสิตวิศวกรรมเคมีชั้นปีที่
๒
วันอาทิตย์ที่
๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๙
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559
เส้นทางรถไฟที่หายไป (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๐๔) MO Memoir : Monday 20 June 2559
"การสร้างทางรถไฟในประเทศไทยถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขทางการเมืองตั้งแต่แรก
ไวเลอร์ได้รับรู้ถึงความขัดแย้งทางการเมืองนี้แต่เพียงผิวเผินในขณะที่เขายังเป็นวิศวกรหนุ่มประจำทางรถไฟสายโคราช
แต่เขาก็ได้ติดตามเรื่องราวนี้ด้วยความสนใจ
เขาทราบดีตั้งแต่แรกว่าการสร้างทางรถไฟจะช่วยสร้างความมั่นคงภายในให้ประเทศนี้
และสิ่งนี้จะช่วยรักษาความเป็นเอกราชของประเทศได้
ถ้าขัดขวางไม่ให้ประเทศมหาอำนาจทั้งสองมีอิทธิพลต่อการสร้างทางรถไฟได้สำเร็จ"
(จากหน้า
๔ ของหนังสือ "กำเนิดการรถไฟในประเทศไทย"
ลูอิส
ไวเลอร์ เขียน ถนอมนวล โอเจริญ
และ วิลิตา ศรีอุฬารพงศ์ แปล
โครงการเผยแพร่ผลงานวิขาการ
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ลำดับที่ ๑๔๙ พิมพ์ครั้งที
๒ พ.ศ.
๒๕๕๖)
หนังสือ
"Rails
of the Kingdom : The History of Thai Railways" เรียบเรียงโดย
Ichiro
Kakizaki ให้ภาพปัญหาของการตัดสินใจสร้างทางรถไฟของประเทศไทยได้ดีมาก
และได้ให้ภาพการรถไฟของไทยในยุคแรก
ๆ ว่าเป็น "Political
Railways" เพราะความจำเป็นในการก่อสร้าง
แนวเส้นทาง ผู้ดำเนินการ
หรือแม้แต่ขนาดราง
ต่างก็มีปัจจัยทางด้านการเมืองที่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างแรงกดดันจากชาติมหาอำนาจ
และการคงไว้ซึ่งเอกราชของประเทศชาติ
ผมว่าแทนที่จะไปโพสถามคำถามทำนองว่า
"ไทยกับญี่ปุ่นมีรถไฟในเวลาไล่เลี่ยกัน
ทำไมรถไฟญี่ปุ่นจึงเจริญกว่ารถไฟไทย"
ตามเว็บบอร์ดต่าง
ๆ ถ้าหาหนังสือเหล่านี้มาอ่าน
(อย่างน้อยก็สองเล่มที่ยกมาข้างต้น)
ก็จะทราบคำตอบที่ถูกต้องได้เอง
รถไฟของไทยในยุคแรกใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง
ดังนั้นจึงมีการสร้างทางรถไฟเข้าไปในป่าเพื่อนำฟืนมารวมไว้ที่สถานีหลัก
ส่วนของเอกชนนั้นก็มีการสร้างทางรถไฟขึ้นใช้งาน
(ในยุคแรกเรียกว่ารถไฟหัตถกรรม)
พวกที่ทำเหมืองแร่ดีบุกในภาคใต้บางแห่งก็มีการวางทางรถไฟเพื่อนำแร่ออกมา
เส้นทางขนแร่นั้นมักเป็นเส้นสั้น
ๆ
เส้นทางที่ยาวกว่ามักจะเป็นของพวกที่ทำป่าไม้ทางภาคเหนือและทางภาคตะวันออก
แต่เมื่อป่าไม้หมดไป
บริเวณป่าเดิมกลายเป็นเขตเกษตรกรรมขึ้นแทน
จากรถไฟขนไม้ก็กลายเป็นรถไฟขนอ้อยเข้าโรงงาน
เช่นที่ศรีราชา
หรืออาจมีการวางรางรถไฟเพื่อขนอ้อยเข้าโรงงานน้ำตาลโดยตรง
เช่นทางภาคเหนือ
เส้นทางรถไฟเหล่านี้ปัจจุบัน
(เชื่อว่า)
ไม่มีเหลือให้เห็นแล้ว
แนวเส้นทางรถไฟเดิมแปรเปลี่ยนกลายเป็นถนนไป
รถไฟหัตถกรรมเดิมของเอกชนนั้นเดิมมีการกำหนดให้ใช้ความกว้างของรางที่แคบกว่าของกรมรถไฟหลวง
(ของกรมรถไฟหลวงใช้รางมาตรฐานหรือกว้าง
1
เมตร
ส่วนของเอกชนก็จะแคบกว่าเช่นกว้าง
0.75
เมตร)
ตรงนี้มันมีเรื่องเหตุผลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
(ต้องกลับไปดูสถานการณ์ยุคสมัยที่การล่าอาณานิคมยังมีอยู่)
แต่ในปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
รูปแบบอุตสาหกรรมก็เปลี่ยนแปลงไป
รถไฟของการรถไฟรับหน้าที่ขนส่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ให้กับอุตสาหกรรมต่าง
ๆ เข้าไปรับส่งถึงในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเลย
"กิน
ซื้อของฝาก ไหว้พระขอพร
วิวถ่ายรูปสวย"
ดูเหมือนจะเป็นแนวนิยมในการเที่ยวของคนไทย
การเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์นั้นยังไม่เป็นที่นิยมกันเท่าใด
คงเป็นเพราะต้องมีการทำการบ้านกันก่อน
ว่าสถานที่ที่จะไปนั้นมีความเป็นมาอย่างใด
แต่ถึงกระนั้นก็ตามข้อมูลดังกล่าวก็มีอยู่น้อยมาก
เว้นแต่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ
Memoir
ฉบับนี้เป็นเพียงการนำเอาแผนที่เก่า
ๆ ที่สะสมไว้มารวมเข้าด้วยกัน
เพราะวางแผนว่าจะนำเอาบทความที่เกี่ยวข้องกับรถไฟรวมเป็นรวมบทความอีกชุดหนึ่ง
เลยไม่อยากให้มันตกหล่นแค่นั้นเอง
รูปที่
๑ แผนที่แนบท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง จัดตตั้งสุขาภิบาลเกาะคา
อ.เกาะคา
จ.
ลำปาง
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๗๓ ตอนที่ ๖๐ ฉบับพิเศษหน้า
๗๑-๗๓
วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๔๙๙
แสดงให้เห็นว่าเส้นทางรถไฟของโรงงานน้ำตาลเป็นเครือข่ายที่ใหญ่เครือข่ายหนึ่ง
(น่าจะรองจากเส้นทางขนไม้ที่ศรีราชา)
รูปที่
๒ แผนที่ทหาร L509
ทำขึ้นโดยใช้ข้อมูลในปีพ.ศ.
๒๕๐๐
ปรากฏเส้นทางรถไฟที่ อ.เกาะคา
(Ko
Kha) ทางด้านล่างของรูป
รูปที่
๓ แผนที่แนบท้ายกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๖๐ (พ.ศ.
๒๕๐๒)
ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า
พ.ศ.
๒๔๘๑
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่
๗๖ ตอนที่ ๑๑๒ วันที่ ๘ ธันวาคม
๒๕๐๒ หน้า ๖๒๙-๖๓๑
ปรากฏเส้นทางรถไฟจากป่าสงวนมายังสถานีไร่อ้อย
รูปที่
๔ แผนที่ทหาร L509
บริเวณจังหวัดอุตรดิตถ์
(จัดทำโดยใช้ข้อมูลปีพ.ศ.
๒๕๐๐)
ที่บ้านท่าข้าม
(Ban
Tha Kham) ก่อนถึงชุมทางบ้านดารา
(Ban
Dara) ที่แยกไป
อ.สวรรคโลก)
มีการระบุเส้นทางรถไฟจากสถานีไรอ้อยแยกออกไปทางตะวันตกไปบ้านนายาง
(Ban
Na Yang) ว่าอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
รูปที่
๕ แผนที่แนบท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การจัดตั้งสุขาภิบาลสูงเนิน
อ.สูงเนิน
จ.นครราชสีมา
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๗๓ ตอนที่ ๔๕ วันที่ ๓๐
พฤษภาคม ๒๔๙๙ ฉบับพิเศษหน้า
๒๓-๒๔
ปรากกฏเส้นทางรถไฟเล็กมายัง
อ.
สูงเนิน
รูปที่
๖ แผนที่แนบท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง เปลี่ยนแปลงเขตสุขาภิบาลสูงเนิน
อ.สูงเนิน
จ.นครราชสีมา
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม
๘๘ ตอนที่ ๒ วันที่ ๕ มกราคม
๒๕๑๔ หน้า ๒-๔
แสดงเส้นทางรถไฟเล็กในภาพที่กว้างกว่ารูปที่
๕ เพราะมีการขยายเขตสุขาภิบาล
รูปที่
๗ แผนที่แนบท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง จัดตั้งสุขาภิบาลบ้านหมอ
อ.บ้านหมอ
จ.สระบุรี
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่
๗๒ ตอนที่ ๗๔ วันที่ ๑๗ กันยายน
๒๔๙๘ หน้า ๑๘-๑๙
ปรากฏเส้นทางรถไฟไปบ่อดินขาวแยกจากทางรถไฟสายเหนือไปทางทิศตะวันออก
รูปที่
๘ แผนที่แนบท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การจัดตั้งสุขาภิบาลท่าลาน
อ.บ้านหมอ
จ.สระบุรี
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่
๘๔ ตอนที่ ๕ วันที่ ๑๗ มกราคม
๒๕๑๐ หน้า ๑๓๙-๑๔๐
ปรากฏเส้นทางรถไฟไปบ่อดินขาวปลายทางด้านตะวันตก
ที่มาสิ้นสุดที่โรงงานปูนซิเมนต์ไทยริมแม่น้ำป่าสัก
รูปที่
๙ แผนที่ทหาร L509
ฉบับใช้ข้อมูลปีพ.ศ.
๒๕๐๐
จัดทำ ปรากฏเส้นทางรถไฟสายบ่อดินขาวที่
อ.บ้านหมอ
(Ban
Mo) ตรงบริเวณตอนกลางของภาพ
นอกจากนี้ยังมีอีกเส้นทางหนึ่งที่แยกลงมาทางบ้านไร่
(Ban
Rai) ตรง
PS9
รูปที่
๑๐ แผนที่ทหารฉบับ L509
จ.พังงา
ที่มุมขวาบนของแผนที่ปรากฏเส้นทางรถไฟ
อยู่ทางด้านทิศเหนือของกิ่งอำเภอพนม
จ.สุราษฎร์ธานี
ไม่ทราบว่าเป็นของอะไร
แต่ดูจากตำแหน่งเส้นรุ้ง-เส้นแวงเทียบกับแผนที่อื่นแล้วคาดว่าไม่น่าจะใช่ส่วนปลายทางของรถไฟสายคีรีรัฐนิคม
รูปที่
๑๑ แผนที่ทหารฉบับ L509
จ.ระนอง
ปรากฏร่องรอยของทางรถไฟที่ใช้ในการทำเหมือง
ที่บริเวณบ้านปากน้ำและบ้านท่าใหม่
ทางด้านทิศใต้ของตัวจังหวัดระนอง