วาล์วควบคุมการไหลนั้นมีส่วนประกอบหลัก
ๆ อยู่ ๒ ส่วนด้วยกันคือตัววาล์ว
(valve
body assembly) และส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับการเปิด-ปิดของวาล์ว
(actuator)
actuator
ที่ใช้กันแพร่หลายมากที่สุดเห็นจะได้แก่ชนิดที่ใช้แรงดันลมร่วมกับแรงดันสปริงในการควบคุมระดับการเปิดปิด
(ดูรูปที่
๑ ในหน้าถัดไปประกอบ)
ซึ่งอาจจะเป็นการใช้แรงดันลมกดให้วาล์วปิดต้านกับแรงดันสปริงที่พยายามดันให้วาล์วเปิด
(เรียกว่าวาล์วชนิด
fail-open
คือถ้าไม่มีแรงดันลม
วาล์วจะอยู่ในตำแหน่งเปิด)
หรือใช้แรงดันลมดันให้วาล์วเปิดต้านกับแรงดันสปริงที่ดันให้วาล์วปิด
(เรียกว่าชนิด
fail-close
คือถ้าไม่มีแรงดันลม
วาล์วจะอยู่ในตำแหน่งปิด)
actuator นี้จะรับสัญญาณควบคุม
(ที่อาจเป็นสัญญาณไฟฟ้าหรือนิวเมติกส์)
ที่เป็นตัวกำหนดว่าจะให้วาล์วเปิดปิดมากน้อยเท่าใด
และจะไปควบคุมระดับความดันอากาศที่ใช้กดแผ่นไดอะแฟรมเพื่อให้วาล์วเปิด-ปิดในระดับที่ต้องการ
orifice
หรือช่องว่างให้ของเหลวไหลผ่านตัววาล์วมีรูปร่างเป็นวงกลม
สำหรับวาล์วแต่ละตัวขนาดพื้นที่
orifice
นี้จะคงที่
แต่จะเปิดให้ของไหลไหลผ่านได้มากน้อยเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับรูปร่างของ
valve
plug และระดับความสูงของ
valve
plug เมื่อเทียบกับ
valve
seat (ดูรูปที่
๒ ประกอบ)
ถ้า
valve
plug ลงมาแนบ
valve
seat ก็เรียกว่าวาล์วอยู่ในตำแหน่งปิดเต็มที่
(หรือเปิด
0%)
ถ้า
valve
plug ยกตัวขึ้นสูงสุดก็เรียกว่าวาล์วเปิดเต็มที่
(หรือเปิด
100%)
และความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่
orifice
ที่เปิด
(ซึ่งส่งผลต่ออัตราการไหลผ่านตัววาล์วหรือ
flow
characteristic) ต่อระดับการยกตัวของ
valve
plug เป็นตัวจำแนกว่าวาล์วตัวดังกล่าวเป็นวาล์วแบบไหน
รูปที่
๑ องค์ประกอบของวาล์วควบคุมแบบที่ใช้กันแพร่หลายมากที่สุด
(จากหน้า
7
ของหนังสือ
Control
valve handbook, 3rd ed. ของบริษัท
Fisher
control international, INC.) ในรูปตัววาล์วเป็นชนิด
globe
valve ใช้แรงดันลม
(ทำงานผ่าน
actuator)
ในการควบคุมระดับการเปิด-ปิดของวาล์ว
รูปที่
๒ Orifice
pass area เป็นพื้นที่ที่ให้ของไหลไหลผ่านได้
ขนาดของพื้นที่นี้ขึ้นอยู่กับรูปร่างของ
valve
plug และระดับการยกตัวของ
valve
plug เมื่อเทียบกับ
valve
seat
ในตัวอย่างในรูปนี้ที่ตำแหน่งวาล์วปิดเต็มที่ถือว่าระดับการเปิดเป็น
0%
ที่ตำแหน่งวาล์วเปิดเต็มที่ถือว่าระดับการเปิดเป็น
100%
รูปที่
๓ แสดงกราฟความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการไหลและระดับการยกตัวของ
valve
plug
ของกรณีสมมุติกรณีหนึ่งโดยสมมุติให้อัตราการไหลผ่านวาล์วเมื่อวาล์วเปิดเต็มที่คือ
10
m3/hr และค่าความดันลดคร่อมตัววาล์วคงที่
(คือไม่ขึ้นกับระดับการเปิดของวาล์ว)
วาล์วชนิด
fast
opening หรือ
quick
opening นั้นอัตราการไหลจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงแรกเมื่อ
valve
plug เริ่มยกตัวจนเข้าหาค่าสูงสุด
จากนั้นจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงตามระยะการยกตัวของ
valve
plug เท่าใดนัก
วาล์วชนิดนี้มักจะใช้กับงานควบคุมที่ต้องการเพียงแค่การปิด
สนิทหรือเปิดเต็มที่เท่านั้น
(งานประเภท
on-off)
วาล์วชนิดที่สองมีรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการไหลและระดับการยกตัวของ
valve
plug ที่เป็นเส้นตรง
(linear
characteristic)
กล่าวคืออัตราการไหลผ่านจะแปรผันตรงกับระดับการยกตัวของ
valve
plug กล่าวคือถ้า
valve
plug ยกตัวสูงขึ้น
20%
ของระยะการยกตัวสูงสุด
อัตราการไหลผ่านก็จะมีค่าเท่ากับ
20%
ของอัตราการไหลผ่านสูงสุด
ถ้า valve
plug ยกตัวสูงขึ้น
65%
ของระยะการยกตัวสูงสุด
อัตราการไหลผ่านก็จะมีค่าเท่ากับ
65%
ของอัตราการไหลผ่านสูงสุดเช่นกัน
วาล์วชนิดที่สามเรียกว่าชนิด
equal
percentage โดยในทางทฤษฎีนั้น
อัตราการไหลผ่านวาล์วที่ระยะการยกตัวของ
valve
plug ต่าง
ๆ นั้นเป็นไปตามสมการ
รูปที่
๓ ตัวอย่างกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการไหลและ
%Valve
lift ของวาล์วชนิด
Quick
openin, Linear และ
Equal
percentage ที่มีค่า
rangeabiligy
ต่างกัน
(ค่าตัวเลขแสดงไว้ในตารางที่
๑)
ค่า
rangeability
คือค่าอัตราส่วนระหว่างอัตราการไหลสูงสุดต่ออัตราการไหลต่ำสุดที่วาล์วตัวนั้นสามารถควบคุมได้
สำหรับ globe
valve นั้นจากข้อมูลที่ค้นในอินเทอร์เน็ตบางแหล่งให้ค่ากลาง
ๆ ไว้ที่ 50
ในขณะที่บางเว็บบอร์ดนั้นแนะนำไว้ที่ประมาณ
20
และในแคตตาล็อกของผู้ผลิตวาล์วบางรายนั้นให้ค่าสูงถึงระดับหลายร้อย
วาล์วที่มีค่า rangeability
สูงแสดงว่าสามารถควบคุมการไหลเมื่อวาล์วเปิดไม่มาก
(หรือที่อัตราการไหลต่ำ)
ได้ดี
แต่ก็มีการแนะนำเหมือนกันว่าในการเลือกขนาดวาล์วควบคุมนั้นไม่ควรที่เลือกขนาดวาล์วที่ทำให้วาล์วต้องทำงานในตำแหน่งที่เกือบปิดสนิทหรือเปิดเกือบเต็มที่
เพื่อให้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการไหลผ่านวาล์วและระยะการยกตัวของวาล์วชนิด
equal
percentage จะลองคำนวณโดยใช้สมการที่
(1)
โดยกำหนดให้วาล์วมีค่า
Qmax
= 10 m3/hr และมีค่า
rangeability
(τ) =
20 50 และ
100
ผลการคำนวณที่ได้แสดงไว้ในตารางที่
๑ ข้างล่าง
ในทางปฏิบัตินั้นค่าอัตราการไหลที่
%Valve
lift = 0% จะต้องมีค่าเป็นศูนย์ไม่ว่าวาล์วตัวนั้นจะมีค่า
rangeability
เท่าใด
ตัวเลขที่ไม่ใช่ศูนย์ในตารางเป็นตัวเลขที่ได้มาจากสมการที่
(1)
ตัวเลข
%Increase
แสดง
%อัตราการไหลที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราการไหลก่อนหน้า
ตัวอย่างเช่นในกรณีของวาล์วที่มีค่า
τ
= 20 เมื่อ
%Valve
lift = 20% จะมีอัตราการไหลเท่ากับ
0.91
m3/hr และเมื่อ
%Valve
lift เพิ่มขึ้นอีก
10%
เป็น
30%
จะมีอัตราการไหลเท่ากับ
1.23
m3/hr ดังนั้นอัตราการไหลที่เพิ่มขึ้นเมื่อคิดเป็น
%
แล้วจะเท่ากับ
(1.23
- 0.91)/0.91 x 100 = 34.9% และในทำนองเดียวกันที่
%Valve
lift = 60% จะมีอัตราการไหลเท่ากับ
3.02
m3/hr และเมื่อ
%Valve
lift เพิ่มขึ้นอีก
10%
เป็น
70%
จะมีอัตราการไหลเท่ากับ
4.07
m3/hr ดังนั้นอัตราการไหลที่เพิ่มขึ้นเมื่อคิดเป็น
%
แล้วจะเท่ากับ
(4.07
- 3.02)/3.02 x 100 ซึ่งก็เท่ากับ
34.9%
เช่นกัน
ในทำนองเดียวกันจะเห็นว่าในกรณีของวาล์วที่มีค่า
τ
= 50 นั้นเมื่อวาล์วเปิดเพิ่มขึ้น
10%
จากค่าเดิม
อัตราการไหลจะเพิ่มขึ้น
47.9%
(ไม่ขึ้นอยู่กับว่า
%Valve
lift เดิมนั้นมีค่าเท่าใด)
และในกรณีของวาล์วที่มีค่า
τ
= 100 นั้นเมื่อวาล์วเปิดเพิ่มขึ้น
10%
จากค่าเดิม
อัตราการไหลจะเพิ่มขึ้น
58.5%
(โดยไม่ขึ้นอยู่กับว่า
%Valve
lift เดิมนั้นมีค่าเท่าใดเช่นกัน)
ตัวอย่างการคำนวณในที่นี้ผมอิงจากหน้าเว็บของบริษัท
Spirax
sarco ที่ไปดึงเอารูปที่
๒ มา
โดยนำมาขยายความเพื่อให้ผู้ที่ไม่ค่อยมีความรู้พื้นฐานหรือว่ากำลังศึกษาอยู่นั้น
(หรือพื้นภาษาอังกฤษไม่ดี)
สามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น