".....
ในระหว่างการเลี้ยง
 เสด็จในกรมพระกำแพง ฯ
รับสั่งให้พระยาอานุภาพ ฯ
ทราบว่า
จะทรงเร่งรัดให้อังกฤษสร้างทางรถไฟของเราที่ช่องสิงขรเสียที
 เพราะตกลงกันมาตั้งแต่รัชกาลที่
๖  พระยาอานุภาพ ฯ สนองพระบัญชาว่า
 ในหน้าที่เจ้ากรมยุทธการ
ฯ อยากให้ระงับการเชื่อมทางสายนี้
 เพราะเป็นเส้นทางส่งกำลังของฐานทัพอังกฤษที่สิงคโปร์
 ถ้ามีสงครามเกิดขึ้นและไม่มีทางรถไฟสายนี้
 การส่งกำลังไปป้อนฐานทัพที่สิงคโปร์จะไม่สะดวก
 เพราะอาจถูกเรือรบข้าศึกรบกวน
 แต่ถ้ามีรถไฟสายนี้ขึ้นแล้ว
 อังกฤษจะส่งกำลังจากมัทร๊าส
หรือเมืองท่าแห่งอื่นที่อยู่ฝั่งตะวันออกของอินเดียข้ามขึ้นมาที่มะริดตะนาวศรี
 แล้วก็ลำเลียงตามทางรถไฟไปสิงคโปร์
 นอกจากนั้นเขาอาจอ้างกับเราว่า
 เพื่อความปลอดภัยของเขา 
เขาจะขอเข้ารักษาทางรถไฟสายนี้เอง
 เราจะว่ากระไร 
การที่เราไม่ตั้งหน่วยทหารไว้ที่ปักษ์ใต้นั้น
 เป็นวิธีการที่จะทำให้เขาเชื่อว่าเราไว้ใจเขา
 ยิ่งพระองค์เจ้าบวรเดชด้วยแล้ว
  ทรงห้ามการวางแผนต่อสู้ทางด้านตะวันตกของประเทศไทยเลยทีเดียว
 พระยาอานุภาพ ฯ
ไม่เห็นด้วยเลยที่จะปล่อยให้ข้าศึกลอยชายเข้าบ้านเฉย
ๆ  ผิดนักถอนขนหน้าแข้งได้สักเส้นก็ยังดี
การปล่อยให้เส้นทางมะริดตะนาวศรีประจวบเป็นเครื่องกีดขวางสำคัญโดยธรรมชาติอย่างนี้ต่อไปพระยาอานุภาพ
ฯ เห็นว่าเป็นการดีแล้ว
....."
  
 ข้อความในย่อหน้าข้างต้นคัดมาจากหน้า
๘๔-๘๕
ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ
 พลตรีพระยาอาณุภาพไตรภพ 
เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๐๔)
 เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปีพ.ศ.
๒๔๗๐
ซึ่งตรงกับช่วงรัชกาลที่
๗
  
 แม้ว่าคำทักท้วงด้วยเหตุผลของพระยาอานุภาพไตรภพ
นั้นจะทำให้เสด็จในกรมพระกำแพงจะไม่พอพระทัย
 แต่ในที่สุดทางเสด็จในกรมพระกำแพง
ฯ ก็ได้บอกเลิกการสร้างทางรถไฟผ่านสิงขร
 เรื่องนี้เคยเล่าไว้ครั้งหนึ่งแล้วใน
Memoir
ปีที่
๗ ฉบับที่ ๙๓๖ วันพุธที่ ๔
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เรื่อง
"เส้นทางรถไฟเชื่อมไทยกับพม่า (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๘๖)"
 การเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟ
 นำมาซึ่งความสะดวกในการเดินทางและการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ
 แต่ในแง่ความมั่นคงแล้ว 
อาจนำมาซึ่งปัญหาได้ 
การจะทำความเข้าใจแนวความคิดของเสนาธิการทหารในเวลานั้น
คงต้องกลับไปดูด้วยว่าช่วงเวลาก่อนหน้านั้นโดยเฉพาะก่อนที่ไทยจะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่
๑ โดยอยู่ร่วมกับทางอังกฤษและฝรั่งเศสนั้น
 ประเทศมหาอำนาจที่เข้ามาแผ่อิทธิพลอยู่รอบสยามนั้นเห็นสยามเป็นอย่างไร
 แม้ว่าสยามจะอยู่ทางฝ่ายผู้ชนะสงคราม
ทำให้เปิดโอกาสในการแก้ไขสนธิสัญญาต่าง
ๆ ที่ไม่เป็นธรรมที่จำเป็นต้องกระทำเอาไว้ก่อนหน้านั้น
แต่การพ่ายแพ้ของเยอรมันที่สยามเคยใช้เป็นผู้ช่วยถ่วงดุลอิทธิพลของอังกฤษและฝรั่งเศสนั้น
 ทำให้สยามไม่มีผู้ที่จะเข้ามาช่วยถ่วงดุลเอาไว้
  
 เมื่อแรกสร้างนั้นเส้นทางรถไฟทางด้านฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาใช้รางขนาด
standard
gauge
ในขณะที่เส้นทางรถไฟสายใต้นั้นที่ต้องการเชื่อมต่อเข้ากับมลายูของอังกฤษใช้รางขนาด
metre
gauge 
การเชื่อมเส้นทางเข้ากับมลายูทำให้การเดินทางจากกรุงเทพไปยุโรปกระทำได้เร็วขึ้น
 คือนั่งรถไฟไปขึ้นเรือที่สิงคโปร์ได้เลย
 ไม่ต้องเสียเวลานั่งเรืออ้อมคาบสมุทรมลายา
 และเวลาเดินทางกลับก็เช่นเดียวกันก็สามารถเดินทางได้เร็วขึ้น
  
 แต่การที่ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาใช้รางต่างขนาดกัน
ทำให้เกิดปัญหาในการเดินทางเพราะขบวนรถไฟนั้นไม่สามารถแล่นจากเหนือจรดใต้ได้โดยตรง
  ถ้าเลือกปรับขนาดรางมาเป็น
standard
gauge
ก็จะได้ประโยชน์ในแง่ที่ว่ารถไฟชาติมหาอำนาจไม่สามารถเข้ามาใช้เส้นทางรถไฟในสยามได้
แต่ก็จะสูญเสียความสามารถในการเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อการเดินทางในภูมิภาค
 เพราะประเทศรอบข้างต่างก็ใช้รางขนาด
metre
gauge
รูปที่
๒  หัวรถจักรขบวนนี้ใช้รางขนาด
standard
gauge  จอดอยู่ที่ถนนหน้าทางเข้าเจษฎาเทคนิคมิวเซียมที่นครชัยศรี
(จากศาลายาก็วิ่งถนนเส้นเลียบทางรถไฟไปเรื่อย
ๆ ตรงไปจนสุดทางก่อนถึงแม่น้ำท่าจีน
 ก็ให้เลี้ยวขวาเข้าไป 
พอข้ามทางรถไฟก็จะเห็นหัวรถจักรขบวนนี้จอดอยู่)
รูปที่
๓  ทางด้านท้ายของหัวรถจักร
  
 ถ้ามองในแง่เทคนิคการปรับเปลี่ยนขนาดราง
 การเปลี่ยนรางขนาด standard
gauge มาเป็น
metre
gauge จะทำได้ง่ายกว่า
 โดยเฉพาะในยุคที่ไม้หมอนรองรางทำจากไม้
 เพราะสามารถวางรางที่ ๓
ไว้ระหว่างกลาง
(เพราะไม้หมอนมีความยาวมากพอ
 และจะตอกตะปูยึดรางตรงไหนก็ได้)
 อย่างเช่นในรูปที่
๑
ที่ขนาดรางที่วัดจากรางด้านซ้ายมายังรางด้านขวาตัวในนั้นจะมีขนาดเป็น
metre
gauge แต่ถ้าเป็นรางด้านขวาตัวนอกก็จะมีขนาดเป็น
standard
gauge 
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในช่วงเวลาการปรับเปลี่ยนนั้นรถไฟที่ใช้รางขนาดกว้างแตกต่างกันสามารถวิ่งบนเส้นทางเดียวกันได้
 และพอวางรางขนาด metre
gauge ครบเสร็จสิ้น
 ก็สามารถรื้อรางที่อยู่ด้านนอกสุดได้
  
 แต่ถ้าจะเปลี่ยนจาก
metre
gauge มาเป็น
standard
gauge นั้น
 คงต้องวางรางกันใหม่หมด 
เพราะไม้หมอนรองรางของ metre
gauge นั้นมันสั้นเกินไป
 ตรงนี้ลองดูในรูปที่ ๑ หรือ
๒ ดูก็ได้ครับ  จะเห็นว่าไม้หมอนคอนกรีต
(ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน)
ที่ใช้สำหรับราง
metre
gauge นั้นมันสั้นเกินไปสำหรับรางกว้าง
standard
gauge
  
 ส่วนปัญหาเรื่องที่ว่าถ้าสยามเปลี่ยนมาใช้รางขนาด
metre
gauge กันทั้งประเทศนั้น
 ชาติมหาอำนาจ (โดยเฉพาะอังกฤษ)
จะสามารถเข้ามาใช้เส้นทางรถไฟในสยามได้ง่ายจริงหรือไม่
 ประเด็นนี้ก็ได้มีการยกเหตุผลขึ้นมาว่าคงไม่ง่ายนัก
เพราะความสามารถในการรับน้ำหนักของรางรถไฟของสยามนั้นไม่ได้สูงเท่ากับของชาติมหาอำนาจที่ออกแบบไว้
(ขนคนคงพอได้
 แต่ขนอาวุธหนักเช่นพวกรถถังคงจะไม่ไหว)
 และในที่สุดสยามก็ได้เลือกที่จะใช้รางขนาด
1,000
mm ทั้งประเทศ
 ขนาดความกว้างของรางรถไฟเนี่ย
บางทีดูตัวเลขในหน่วยมิลลิเมตรแล้วอาจทำให้แปลกใจได้ว่าทำไมจึงไม่เป็นตัวเลขกลม
ๆ  แต่ถ้าพอไปดูในหน่วยฟุต-นิ้วก็อาจจะะทำให้เข้าใจได้
 เช่นในกรณีของประเทศญี่ปุ่นที่ใช้รางขนาด
1,067
mm (คือทำไมไม่เป็น
1,000
mm ไปเลย)
 แต่ถ้าดูในหน่วยฟุต-นิ้วก็จะมีค่าเป็น
3
ฟุต
6
นิ้วซึ่งเป็นเลขลงตัว
 ในกรณีที่รางมีขนาดแตกต่างกันไม่มาก
 จะทำให้ไม่สามารถวางรางเส้นที่สามที่แคบกว่าไว้ทางด้านในได้
 ต้องเสียเวลาในการปรับเปลี่ยนขนาดรางใหม่
 เช่นเมื่อตอนที่กองทัพเยอรมันบุกรัสเซียในช่วงสงครามโลกครั้งที่
๒ นั้น  เส้นทางขนส่งในรัสเซียต้องใช้ทางรถไฟเป็นหลัก
(เครือข่ายถนนในรัสเซียยุคนั้นไม่ดี
และใช้ได้เพียงแค่บางฤดูกาล)
เส้นทางการบุกของกองทัพเยอรมันไปทางตะวันออกจึงยึดแนวเส้นทางรถไฟเป็นหลัก
และเมืองที่เป็นเป้าหมายของการเข้ายึดก็มักเป็นเมืองที่เป็นชุมทางเส้นทางรถไฟหรือมีสะพานสำหรับข้ามแม่น้ำ
 ผมเองตอนนั่งอ่านประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่
๒ โดยเฉพาะแนวรบด้านตะวันออก
(ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย)
ตอนแรกก็งงเหมือนกันว่าทำไมเส้นทางการบุกในสมรภูมิต่าง
ๆ  จึงต้องเป็นแนวนั้น 
แต่พอได้เห็นแผนที่เส้นทางรถไฟและจุดที่มีสะพานข้ามแม่น้ำก็ทำให้ภาพต่าง
ๆ ชัดเจนขึ้นมาก
  
 จากโปแลนด์ไปยังยุโรปตะวันตกนั้นใช้รางขนาด
standard
gauge (กว้าง
1,435
mm) ในขณะที่รัสเซียนั้นใช้รางขนาดกว้าง
1,520
mm (5 ฟุตพอดี)
ซึ่งกว้างกว่าเล็กน้อย
 ดังนั้นเมื่อกองทัพเยอรมันเดินหน้าลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย
ก็ต้องมีกองกำลังที่ต้องมาคอยปรับเปลี่ยนขนาดรางเพื่อให้สามารถขนส่งยุทธปัจจัยต่าง
ๆ โดยรถไฟไปยังแนวหน้าได้
 เพราะโรงงานผลิตนั้นตั้งอยู่ในเยอรมัน
 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑
โปแลนด์ก็เป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน
 ดังนั้นการเดินรถไฟระหว่างเยอรมันกับโปแลนด์นั้น
ไม่มีปัญหาอะไร 
ปัญหามันเริ่มเกิดเมื่อข้ามเข้าดินแดนรัสเซีย
  
 และเช่นเดียวกันเมื่อรัสเซียทำการตีโต้กลับ
 ก็ประสบกับปัญหาเช่นเดียวกัน
 แต่ท่าทางจะหนักกว่า 
เพราะทางเยอรมันเลือกที่จะทำลายไม้หมอนรองรางด้วย
(ไม่ได้ทำเพียงแค่ระเบิดสะพานหรือทำลายราง)
 ในหนังสือ
"Fatal
Decisions : Six decisive battles of WWII from the viewpoint of the
vanquished" ในบทเรื่อง
"Moscow"
 General Günther Blumentritt
ที่เป็นนายพลเยอรมันรายหนึ่งที่มีบทบาททางการรบในช่วงเวลาที่บุกเข้ารัสเซียนั้นเขียนเอาไว้ว่า
  
 "
The lines of communication with Germany, fantastically long and
extremely tenuous, were scarely adequate to keep the armies fed with
ammunition and essential supplies.  The broad-gauge Russian railways
hat to be re-laid to carry our European locomotives before we colud
make use of them."
รูปที่
๔  ส่วนหนึ่งของหนังสือประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่
๒ ที่มีเก็บสะสมไว้
 ฝากปิดท้ายด้วยแผนที่เส้นทางรถไฟและการวางกำลังระหว่างทัพเยอรมันและรัสเซียในช่วงก่อนการบุกครั้งสุดท้ายของทัพเยอรมันเพื่อเข้ายึดกรุงมอสโก
 โดยเฉพาะตรงเมือง Rzhev
ที่แม้ว่าทัพเยอรมันจะไม่สามารถเข้ายึดกรุงมอสโกได้แต่ก็พยายามรักษาเมืองนี้เอาไว้
ในขณะเดียวกันทางรัสเซียก็พยายามเอาเมืองนี้คืนจนทำให้การรบที่เมืองนี้ที่เรียกว่า
Battle
of Rzhev ที่เป็นการรบที่นองเลือดแห่งหนึ่งจนได้ฉายาว่า
"The
Rzhev Meat-grinder" 
นั่นก็เพราะเมืองนี้เป็นชุมทางรถไฟและมีสะพานข้ามแม่น้ำ
Volga
นั่นเอง
(แม่น้ำสายเดียวกันกับที่ไหลผ่านเมืองสตาลินกราด)
ที่สามารถใช้เป็นเส้นทางยกพลข้ามไปตีโอบด้านหลังกรุงมอสโกได้
  
รูปที่
๕  แผนที่เส้นทางรถไฟที่มุ่งไปยังกรุงมอสโก
(จากหนังสือ
"The
defense of Moscow 1941 : The northern flank"
ก่อนการบุกครั้งสุดท้ายของทัพเยอรมันเพื่อเข้ายึดกรุงมอสโกในปฏิบัติการที่มีชื่อว่า
Operation
Typhoon
แต่สุดท้ายทางรัสเซียก็ได้เมืองนี้คืนมาง่าย ๆ เพราะเยอรมันเลือกที่จะถอนทหารออกไปเพื่อนำกองกำลังที่ประจำอยู่บริเวณนี้ไปใช้ที่อื่นและเป็นกำลังสำรอง และยังทำให้แนวรบนั้นสั้นลงด้วย ซึ่งสำคัญมากขึ้นสำหรับทางเยอรมันเพราะมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนกำลังพลแล้ว
แต่สุดท้ายทางรัสเซียก็ได้เมืองนี้คืนมาง่าย ๆ เพราะเยอรมันเลือกที่จะถอนทหารออกไปเพื่อนำกองกำลังที่ประจำอยู่บริเวณนี้ไปใช้ที่อื่นและเป็นกำลังสำรอง และยังทำให้แนวรบนั้นสั้นลงด้วย ซึ่งสำคัญมากขึ้นสำหรับทางเยอรมันเพราะมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนกำลังพลแล้ว


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น