เอทิลีน
(Ethylene
H2C=CH2)
เป็นโอเลฟินส์ตัวหลักสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
วิธีการผลิตหลักที่ใช้กันก็คือกระบวนการ
thermal
cracking หรือแตกตัวด้วยความร้อน
กล่าวคือจะนำไฮโดรคาร์บอนไหลผ่านท่อที่มีเปลวไฟให้ความร้อนอยู่ภายนอก
โมเลกุลขนาดใหญ่ของไฮโดรคาร์บอนเมื่อได้รับความร้อนที่สูงพอก็จะแตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลง
ส่วนที่ว่าต้องใช้อุณหภูมิสูงเท่าใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดโมเลกุลไฮโดรคาร์บอนที่เป็นสารตั้งต้น
กล่าวคือถ้าสารตั้งต้นเป็นไฮโดรคาร์บอนเบา
(เช่นอีเทน)
ก็จะใช้อุณหภูมิที่สูง
(เช่นราว
ๆ 800-1000ºC)
แต่ถ้าสารตั้งต้นเป็นไฮโดรคาร์บอนหนัก
(เช่นแนฟทาหรือหนักไปจนถึงระดับน้ำมันเตา)
ก็จะใช้อุณหภูมิที่ลดต่ำลง
ตามหลักสมดุลเคมีของเลอชาเตอลิเอ
(Le
Chatelier's principle) แล้ว
ปฏิกิริยาในเฟสแก๊สที่มีจำนวนโมลผลิตภัณฑ์มากกว่าโมลสารตั้งต้นจะเกิดได้ดีขึ้นที่ความดันที่ต่ำลง
ปฏิกิริยาที่ไฮโดรคาร์บอนหนักแตกตัวเป็นเอทิลีนนั้นก็เป็นปฏิกิริยาที่มีจำนวนโมลเพิ่มมากขึ้น
(คืออย่างน้อยก็มีการเกิดแก๊สไฮโดรเจนขึ้น)
ดังนั้นเพื่อให้ปฏิกิริยาดำเนินไปข้างหน้าได้ดีขึ้นจึงมีการผสมไอน้ำเข้าไปกับไฮโดรคาร์บอนเพื่อไปลดความดันย่อยของไฮโดรคาร์บอนให้ลดต่ำลง
เพื่อให้ปฏิกิริยาการแตกตัวนั้นเกิดได้ดีขึ้น
แต่ก็ใช่ว่าการทำเช่นนี้จะไม่มีข้อเสียอะไรเลย
เนื่องจากปฏิกิริยาเกิดที่อุณหภูมิสูง
โลหะที่ใช้ทำท่อที่รับความร้อนจากเปลวไฟจึงต้องสามารถทนอุณหภูมิที่สูงได้
โลหะที่ใช้จึงเป็นพวกเหล็กกล้าผสมสูง
(high
alloy steel)
และหนึ่งในแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของโลหะดังกล่าวคือนิเกิล
(Ni)
แต่แม้ว่าโลหะนิเกิลที่ผสมเข้าไปนั้นทำให้ท่อโลหะผสมทนต่ออุณหภูมิสูงได้
แต่ตัวนิเกิลเองก็เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหนักที่เรียกว่า
coke
เกาะบนผิวด้านในของท่อได้
coke
เป็นสารประกอบคาร์บอนโมเลกุลใหญ่ที่คงสภาพเป็นของแข็งอยู่ได้ที่อุณหภูมิสูง
coke
เกิดจากโอเลฟินส์โมเลกุลเล็กสลายตัวและคายโมเลกุลไฮโดรเจนออกมา
(ซึ่งปฏิกิริยานี้ก็เกิดได้ดีที่ความดันต่ำเช่นกัน)
จนในที่สุดนำไปสู่การเกิดโครงสร้างที่แทบจะมีแต่คาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก
coke
ที่เกาะบนผิวท่อจะไปลดการส่งผ่านความร้อนจากภายนอกให้กับแก๊สที่ไหลอยู่ภายในนั้นให้ต่ำลง
และถ้าการสะสม coke
ดังกล่าวเกิดขึ้นเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งบนผิวท่อ
ก็อาจทำให้ผิวท่อตรงตำแหน่งที่
coke
สะสมมากเป็นพิเศษนั้นร้อนจัดจนเกิดความเสียหายได้
ไอน้ำที่เติมเข้าไปไม่เพียงแต่จะไปลดความดันย่อยในระบบให้ต่ำลง
แต่ยังไปเพิ่มอัตราการไหลของแก๊สในท่อให้สูงขึ้น
อัตราการไหลที่สูงขึ้นจะช่วยในการเฉือนของแข็งที่เกาะผิวท่อนั้นออกไป
แต่ถ้าสูงเกินไปก็จะทำให้เกิด
erosion
มากตามไปด้วย
โดยเฉพาะตรงตำแหน่งข้องอ
ในขณะเดียวกันด้วยอุณหภูมิที่สูง
ไอน้ำบางส่วนจะเข้าทำปฏิกิริยากับสารตั้งต้นที่ทำให้เกิด
coke
ทำให้โมเลกุลสารตั้งต้นเหล่านั้นสลายตัวกลายเป็นแก๊สไป
(โดยอาศัยอะตอมไฮโดรเจนจากไอน้ำ)
ปรกติไฮโดรคาร์บอนที่เป็นของเหลวจะมีสารประกอบกำมะถันอินทรีย์ปะปนอยู่
ปริมาณสารประกอบกำมะถันที่ปะปนอยู่นี้จะเพิ่มตามจุดเดือดของไฮโดรคาร์บอน
กล่าวคือยิ่งเป็นน้ำมันหนักก็จะยิ่งมีสารประกอบกำมะถันปะปนอยู่มากขึ้น
สารประกอบกำมะถันนี้เป็น
catalyst
poison (สารที่เป็นพิษต่อตัวเร่งปฏิกิริยา)
ในหลากหลายปฏิกิริยา
แต่สำหรับปฏิกิริยา thermal
cracking แล้วการมีสารประกอบกำมะถันจัดว่าเป็นข้อดี
เพราะมันเป็นพิษต่อโลหะ
Ni
ที่ผสมอยู่ในเนื้อโลหะ
ทำให้ความสามารถของอะตอม
Ni
ในการเร่งปฏิกิริยาการเกิด
coke
ลดต่ำลง
จึงช่วยลดการเกิด coke
ได้
แต่สำหรับไฮโดรคาร์บอนเบา
(เช่นพวก
C2-C4
หรือแนฟทาเบา)
อาจไม่มีสารประกอบกำมะถันปะปนอยู่หรือมีอยู่ในปริมาณที่ต่ำเกินไป
ในกรณีนี้ก็ต้องมีการผสมสารประกอบกำมะถันเข้าไปกับไฮโดรคาร์บอนก่อนป้อนเข้าเตา
cracker
ตัวอย่างของสารประกอบกำมะถันที่ผสมเข้าไปได้แก่
dimethyl
sulphide (H3C-S-CH3) และ
dimethyl
disulphide (H3C-S-S-CH3)
ที่ร่ายยาวมาหนึ่งหน้ากระดาษก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
ก็เพื่อต้องการจะแสดงให้เห็นว่าเอทิลีนที่ผลิตได้นั้นมีสารประกอบที่มีอะตอม
O
และอะตอม
S
ปะปนอยู่ได้อย่างไร
ก็เพราะว่ามันมากับไอน้ำและสารประกอบกำมะถันที่เติมเข้าไปก่อนการเกิดปฏิกิริยา
thermal
cracking นั่นเอง
เอทิลีนที่โรงโอเลฟินส์ผลิตได้นั้นก็มีโอกาสที่จะมีสารปนเปื้อนที่มีขนาดโมเลกุลเล็กและมีจุดเดือดต่ำเช่น
แก๊สออกซิเจน (O2)
อะเซทิลีน
(acetylene
HCCH) คาร์บอนมอนออกไซด์
(carbon
monoxide CO) และไฮโดรเจนซัลไฟล์
(hydrogen
sulphide H2S)
ที่สามารถหลุดรอดผ่านกระบวนการกลั่นแยกโอเลฟินส์ที่ใช้อุณหภูมิที่ต่ำได้
เมื่อโรงงานที่อยู่ทางด้าน
dowstream
เช่นโรงงานผลิตพอลิเอทิลีนจะรับเอาโอเลฟินส์เหล่านี้ไปใช้งาน
ก็ต้องมีการพิจารณว่าปริมาณสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้
(ซึ่งต่างเป็นสิ่งที่เป็นพิษต่อตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในการสังเคราะห์พอลิโอเลฟินส์นั้น)
อยู่ในระดับที่ยอมรับได้หรือไม่
ถ้าพบว่ามันมีอยู่ในระดับที่สูงเกินไปก็ต้องทำการกำจัดมันออกจากเอทิลีนก่อนที่จะเอาเอทิลีนไปเข้ากระบวนการ
สารที่เป็นพิษต่อตัวเร่งปฏิกิริยาหรือ
catalyst
poison นี้อาจเข้าไปทำลายตัวเร่งปฏิกิริยาอย่างถาวร
หรือเข้าไปหน่วงให้การเกิดปฏิกิริยาที่ต้องการนั้นลดต่ำลง
กระบวนการผลิตพอลิโอเลฟินส์เช่นพอลิเอทิลีนและพอลโพรพิลีนที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาตระกูล
Ziegler-Natta
นั้นในระหว่างการทำปฏิกิริยาจะมีการเติมตัวเร่งปฏิกิริยาเข้าไปในระบบตลอดเวลา
เพราะเมื่อเกิดพอลิเมอร์ขึ้น
พอลิเมอร์จะห่อหุ้มตัวเร่งปฏิกิริยานั้นเอาไว้และนำพาเอาตัวเร่งปฏิกิริยาติดออกจาก
reactor
ไปพร้อมกับผงพอลิเมอร์ที่ออกไปด้วย
ในกรณีที่สิ่งปนเปื้อนนั้นไม่ส่งผลต่อตัวเร่งปฏิกิริยาหรือคิดว่าการยอมสูญเสียตัวเร่งปฏิกิริยาไปบางส่วนนั้นคุ้มค่ากว่าการต้องมีหน่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อน
ก็ไม่จำเป็นต้องมีหน่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากเอทิลีน
(เพราะมันก็มีต้นทุนในการติดตั้งและเดินเครื่องหน่วยนี้อยู่เหมือนกัน)
รูปที่
๑ กระบวนการกำจัด O2
และ
CO
ออกจากเอทิลีน
โดยในเบดแรกนั้นทำการกำจัด
O2
ก่อนด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะ
Cu
ส่วนในเบดที่สองนั้นจะทำการกำจัด
CO
ออกด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์
CuO
รูปนี้นำมาจากเอกสารเรื่อง
"Adsorbent
Product Application Technology Considerations in the Production of
Polyolefins" ซึ่งเป็น
newsletter
ของบริษัทUOP
เคยได้ยินเหมือนกันเรื่องของกระบวนการผลิตพอลิเอทิลีนกระบวนการหนึ่ง
ที่เจ้าของเทคโนโลยีระบุว่าเอทิลีนที่มีใช้ต้องมีความบริสุทธิ์สูง
ทำให้โรงงานต้องติดตั้งหน่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากเอทิลีน
แต่เอาเข้าจริงพบว่าตัวเร่งปฏิกิริยามีความว่องไวสูงมากจนไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้
(ปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์เป็นปฏิกิริยาคายความร้อนมากอยู่เหมือนกัน)
เลยต้องมีการ
bypass
หน่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อนนี้
เพื่อให้สิ่งปนเปื้อนเข้าไปลดความว่องไวของตัวเร่งปฏิกิริยาให้ต่ำลงจนสามารถควบคุมอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้
สิ่งปนเปื้อนที่ติดมากับเอทิลีนนั้นมีปริมาณในระดับ
ppm
(จะเรียกว่าระดับ
0.xxx
หรือ
xx.0
ppm ก็ได้)
และด้วยความเข้มข้นที่ต่ำระดับนี้วิธีการกำจัดจึงมักใช้สารดูดซับหรือตัวเร่งปฏิกิริยา
โดยใช้สารดูดซับจับเอาสิ่งปนเปื้อนเอาไว้
หรือไม่ก็ทำการเปลี่ยนสิ่งปนเปื้อนนั้นให้กลายเป็นสารอื่นที่ไม่เป็นพิษต่อตัวเร่งปฏิกิริยาหรือกำจัดออกได้ง่ายขึ้น
และวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการกำจัด
O2
และ
CO
ก็คือ
การให้ O2
นั้นทำปฏิกิริยาตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นโลหะเพื่อเปลี่ยนโลหะนั้นให้กลายเป็นโลหะออกไซด์
และให้ CO
ทำปฏิกิริยากับตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดโลหะออกไซด์โดยให้
CO
ไปรีดิวซ์โลหะออกไซด์ให้กลายเป็นโลหะ
ส่วน CO
นั้นก็จะเปลี่ยนไปเป็น
CO2
ที่ง่ายต่อการกำจัดออกมากขึ้น
และตัวเร่งปฏิกิริยาตัวหนึ่งที่ใช้กันก็คือตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะทองแดง
(Cu)
และทองแดงออกไซด์
(CuO)
อันที่จริงตัวเร่งปฏิกิริยาทั้งสองก็เป็นตัวเดียวกัน
คือมันจะมาในรูปของ CuO
ถ้าจะใช้เพื่อการกำจัด
O2
ก็ต้องทำการรีดิวซ์ด้วยไฮโดรเจนให้กลายเป็น
Cu
ก่อนใช้งาน
ในระหว่างการทำงานมันก็จะเปลี่ยนรูปไปเป็น
CuO
และพอเปลี่ยนรูปไปจนหมดก็ต้องทำการรีดิวซ์ให้กลับมาเป็น
Cu
ใหม่เพื่อใช้งานใหม่
แต่ถ้าใช้เพื่อกำจัด CO
ก็ใช้ในรูปของ
CuO
เลย
โดย CO
จะไปรีดิวซ์
CuO
ให้กลายเป็น
Cu
แล้วตัวมันจะกลายเป็น
CO2
ไป
พอ CuO
ถูกรีดิวซ์เป็น
Cu
หมด
ก็ต้องทำการออกซิไดซ์ใหม่ด้วย
O2
เพื่อให้มันกลายเป็น
CuO
จะได้นำกลับมาใช้งานได้ใหม่
ดู
ๆ แล้วก็น่าคิดนะครับว่ามันน่าจะมีเบดเดียวที่มีทั้ง
Cu
และ
CuO
รวมกันอยู่ก็น่าจะพอ
แต่ทำไมต้องมีสองเบดแยกกันกำจัดด้วยด้วย
เหตุผลหนึ่งก็คือการกำจัด
CO
ต้องการอุณหภูมิที่สูงกว่า
ส่วนปฏิกิริยาการกำจัด O2
นั้นแม้ว่าจะเกิดที่อุณหภูมิสูงได้
แต่มันเป็นปฏิกิริยาคายความร้อนสูง
ที่อาจทำให้เกิด hot
spot
ขึ้นในระบบได้ถ้าระบบมีออกซิเจนมากและใช้อุณหภูมิสูงเกินไปในการทำปฏิกิริยา
รูปที่
๒ ปฏิกิริยาที่เกิดในเบดที่ใช้กำจัด
O2
และ
CO
ตัวเร่งปฏิกิริยา
CuO
นี้ยังทำหน้าที่กำจัดสารประกอบกำมะถันเช่น
H2S
ได้นะครับ
(ปฏิกิริยาในรูปที่
๒)
แต่มีข้อแม้ว่าในแก๊สนั้นต้องไม่มีอะเซทิลีน
(C2H2)
อยู่ด้วย
เพราะอะเซทิลีนสามารถทำปฏิกิริยากับโลหะ
Cu
กลายเป็นสารประกอบ
copper
acetylide ที่ไวต่อแรงกระแทกและความร้อน
จัดเป็นวัตถุระเบิดแรงสูง
จนทำให้มีข้อห้ามในการใช้ชิ้นส่วนที่เป็นโลหะทองแดงในระบบที่ต้องสัมผัสกับแก๊สอะเซทิลีน
ดังนั้นในกรณีที่เอทิลีนนั้นมีอะเซทิลีนปนอยู่ด้วย
ก็ต้องทำการกำจัดอะเซทิลีนออกก่อน
วิธีการที่ใช้กันก็คือปฏิกิริยา
acetylene
hydrogenation
คือทำการเติมไฮโดรเจนให้กับอะเซทิลีนเพื่อเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเอทิลีน
ปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นโดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นโลหะ
และปริมาณไฮโดรเจนที่เติมเข้าไปต้องเพียงพอที่จะกำจัดอะเซทิลีนได้หมดแต่ต้องไม่มากจนเหลือเปลี่ยนเอทิลีนให้กลายเป็นอีเทน
ซึ่งเป็นการสูญเสียผลิตภัณฑ์เอทิลีนไป
อันที่จริงทั้ง
H2S
และ
CO
ต่างก็เป็น
catalyst
poison ของตัวเร่งปฏิกิริยา
acetylene
hydrogenation แต่ตัว
CO
นั้นถ้ามีในปริมาณที่เหมาะสมจะทำให้การควบคุมการเติมไฮโดรเจนให้กับอะเซทิลีนโดยไม่เกิดการเติมไฮโดรเจนให้กับเอทิลีนนั้นทำได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นถ้าในแก๊สผสมนั้นมีสารประกอบกำมะถันอยู่ด้วย
ก็ต้องกำจัดสารประกอบกำมะถันออกก่อนการกำจัดอะเซทิลีน
กำจัดกำมะถันเสร็จก็ต้องกำจัดอะเซทิลีนเพื่อป้องกันไม่ให้มันไปทำปฏิกิริยากับโลหะ
Cu
ที่ใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยากำจัด
O2
และ
CO
จากนั้นจึงค่อยกำจัด
O2
ที่อุณหภูมิต่ำก่อนกำจัด
CO
เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด
hot
spot ขึ้นในเบด
พอกำจัด CO
เสร็จก็จะเกิด
CO2
ขึ้นซึ่งต้องมาทำการกำจัดกันต่ออีก
CO2
ในปริมาณต่ำมากเช่นนี้กำจัดได้ด้วยการให้มันทำปฏิกิริยากับเบสที่เป็นของแข็งเช่น
KOH
(ที่จะเปลี่ยนสภาพไปแบบไม่ผันกลับ
และมันก็เป็นเบสที่แรงกว่า
NaOH)
และเพื่อจะให้กำจัด
CO2
ได้ดีก็ควรต้องมีการเติมน้ำให้กับเบด
KOH
เล็กน้อย
ดังนั้นเอทิลีนที่ผ่านการกำจัด
CO2
แล้วก็จะมีไอน้ำปะปนมา
จึงต้องมีหน่วยกำจัดไอน้ำออกอีกโดยอาศัยการดูดซับด้วยสารดูดความชื้น
(เช่นพวก
molecular
sieve ต่าง
ๆ)
ก่อนที่จะนำเอทิลีนไปใช้ในกระบวนการพอลิเมอร์ไรซ์ต่อไป
(รูปที่
๓)
รูปที่
๓ ตัวอย่างการจัดวางลำดับหน่วยกำจัดสารปนเปื้อนออกจากเอทิลีน
ที่เล่ามาก็คือเทคโนโลยีทีมีโอกาสได้ไปเรียนรู้มาสมัยจบใหม่
ๆ และทำงานก่อสร้างโรงงาน
(ก็เมื่อ
๓๐ ปีที่แล้ว)
ถือเสียว่าเป็นบันทึกความทรงจำส่วนตัวว่าเคยได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง
และเป็นการยกตัวอย่างการออกแบบกระบวนการก็แล้วกันนะครับว่า
ถ้าหากมีสารที่ต้องการกำจัดอยู่หลายตัว
ควรที่จะเลือกกำจัดสารตัวไหนเรียงลำดับกันอย่างไร
และด้วยเหตุผลใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น