กลับมาทำงานใหม่
ๆ นั้นผมได้รับหน้าที่ให้ช่วยดูแลห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานของภาควิชา
 เนื่องด้วยอาจารย์ผู้สอนเดิมจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
 ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานตอนนั้นเป็นเพียงห้องแลปเล็ก
ๆ ที่ออกแบบมาสำหรับนิสิตทำแลปประมาณแค่
๒๐ คน (มีโต๊ะปฏิบัติการเพียงแค่
๓ ตัว)
ซึ่งก็เป็นจำนวนของนิสิตในภาควิชาตอนที่ออกแบบ
 แต่ตอนที่ผมกลับมาทำงานนั้นจำนวนนิสิตนั้นมาอยู่ที่ระดับ
๗๐ -
๘๐
คนแล้ว  เรียกว่าต้องรับนิสิตเกือบ
๓๐ คนในแต่ละตอนเรียน 
และสามารถจัดได้เพียงแค่
๓ ตอนเรียนต่อสัปดาห์เท่านั้น
 สิ่งแรก
ๆ ที่ต้องทำก็คือการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานต่าง
ๆ  ไม่ว่าจะเป็นระบบท่อน้ำทิ้ง
(ที่ต้องจ้างช่างข้างนอกมาซ่อมให้)
ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง
(ที่ต้องมาเปลี่ยนหลอดไฟกันเอง
ทำความสะอาดโคมไฟกันเอง)
และอุปกรณ์ต่าง
ๆ ที่ใช้ในการทำการทดลอง 
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พบสิ่งที่แปลกใจก็คือ
 อุปกรณ์หลากหลายรายการที่มีการระบุว่าเป็นของห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน
 ที่นิสิตปริญญาตรีควรได้ใช้ในการเรียนนั้น
 กลับไม่ปรากฏอยู่ในห้องปฏิบัติการฯ
 มีเพียงแต่ชื่อ 
ส่วนตัวอุปกรณ์นั้นกลับไปอยู่ถาวรตามห้องปฏิบัติการวิจัยต่าง
ๆ
  
 สมัยผมเรียนหนังสือนั้น
 วิชาปฏิบัติการของภาค
(ตั้งแต่ปี
๒ ถึง ๔)
ผมก็ไม่เคยเรียนกับอาจารย์
 มีแต่เพียงครูปฏิบัติการ
(ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่หน้าที่เขา)
และนิสิตปริญญาโทที่มาช่วยสอนแค่นั้นเอง 
  
 งานนี้ก็เลยต้องมีการรื้อระบบกันใหม่
 เรียกว่าต้องขอคืนอุปกรณ์ที่ถูกยืม
(หรือจะเรียกว่ายึดก็ได้)
ไปนั้นกลับมา
 เพื่อที่นิสิตปี ๒
จะได้มีอุปกรณ์ใช้ในการทำการทดลองบ้าง
 หลายอุปกรณ์ก็ได้กลับมาในสภาพที่ยังใช้งานได้
 บางอุปกรณ์ก็มีปัญหาแต่ก็ได้รับการซ่อมแซมจากผู้ที่ยืมก่อนส่งคืน
 ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร 
แต่มีอยู่เครื่องหนึ่งคือ
UV-Vis
ที่ดูเหมือนว่าตั้งแต่ซื้อมานั้นมันก็ถูกแลปวิจัยแลปหนึ่งนำไปใช้งานตลอดโดยไม่เคยได้กลับมาอยู่ที่ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานเลย
  
 ตอนที่ได้เครื่องกลับมานั้นปรากฏว่าหลอดกำเนิดแสงนั้นเสียไปแล้ว
เนื่องด้วยเครื่องนี้ถูกอาจารย์ผู้หนึ่งยืมไปใช้ตั้งแต่แรกที่ซื้อมาโดยที่คนอื่นไม่ได้ใช้
ผมก็เลยขอให้ทางอาจารย์ผู้ยืมไปใช้ในงานวิจัยของเขานั้นช่วยออกค่าซ่อมแซมให้ด้วย
(ในฐานะที่เขาเป็นผู้เดียวที่ใช้)
 แต่ปรากฏว่าเขาไม่ยอมซ่อมให้โดยอ้างว่ามันไม่ใช่เครื่องของเขา
  
 เรื่องตรงที่ว่าใครต้องซ่อมเครื่องนั้นมันก็มีประเด็นอยู่
 ซึ่งตรงนี้ทางห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานก็มีหลักเกณฑ์ว่า
 เครื่องที่มีการยืมใช้งานกันหลายคนนั้น
 ถ้าเป็นการเสื่อมสภาพเนื่องจากอายุการใช้งาน
 ทางห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานก็จะเป็นผู้ซ่อมแซม
 แต่ถ้าเกิดจากการที่ผู้ใช้นั้นใช้งานแบบไม่ระมัดระวังหรือไม่ถูกวิธี
 ผู้ใช้ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในการซ่อมด้วย
  
 เพื่อให้เห็นภาพจะขอยกตัวอย่าง
hot
plate ที่มักมีผู้ยืมไปใช้เป็นประจำ
 พอใช้ไปนาน ๆ
ก็จะมีชิ้นส่วนเสื่อมสภาพเนื่องจากความร้อน
ดังนั้นคนสุดท้ายที่มาขอยืมไปใช้แล้วพบว่ามันมีชิ้นส่วนเสียเนื่องจากผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานาน
 กรณีเช่นนี้ทางห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานจะเป็นผู้จัดการซ่อม
 แต่ถ้าหากระหว่างการใช้งานนั้นเกิดมีการทำบีกเกอร์บรรจุน้ำตกแตกบริเวณ
hot
plate แล้วทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรจนเครื่องเสีย
 ในกรณีเช่นนี้ผู้ยืมไปใช้ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในการซ่อมด้วย
ส่วนที่ว่าจะต้องรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องนั้นมันเก่าขนาดไหน
  
 แต่ถ้า
hot
plate ตัวนั้นตั้งแต่ได้รับมา
 มีผู้ยืมไปใช้ (แบบถาวร)
อยู่เพียงรายเดียว
 พอคุณขอเครื่องนั้นกลับมาและพบว่ามันถูกใช้จนเครื่องพังไปแล้ว
(ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม)
 ลองคิดเองเล่น
ๆ ก็แล้วกันนะครับว่าในความเห็นส่วนตัวของคุณนั้น
 ใครควรเป็นคนออกค่าซ่อม
 และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ต่าง
ๆ ที่ตามมา
 เอาเป็นว่าสุดท้ายเครื่องนั้นก็ได้รับการซ่อมแซม
และในจังหวะเวลานั้นทางคณะมีนโยบายที่จะปรับปรุงตึกที่เป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน
 โดยเฉพาะชั้น ๓ และชั้น ๔
ที่ต้องมีการเจาะพื้นเพื่อวางระบบท่อน้ำทิ้ง
ทุบผนังเพื่อขยายห้อง 
กั้นห้องใหม่  ทำพื้นห้องใหม่
 เดินระบบไฟฟ้าใหม่ ฯลฯ 
ทำให้จำเป็นต้องย้ายห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานไปตั้งที่อาคารอื่นชั่วคราว
(คืออาคารวิศว
๔ ชั้น ๑๒)
 ทางห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานจึงต้องทำการขนย้ายสิ่งของออกไปยังที่ใหม่
 เพราะห้องเดิมจะมีการทุบผนังกั้นห้องเพื่อขยายขนาด
ทำพื้นห้องใหม่ รวมทั้งเดินระบบน้ำดี
น้ำทิ้ง และไฟฟ้าใหม่หมด 
และเนื่องด้วยช่วงเวลานั้นเป็นช่วงปิดเทอมที่ไม่มีการเรียนการสอน
จึงอนุญาตให้ห้องปฏิบัติการวิจัยที่ต้องการยืมใช้เครื่องมือนั้นสามารถยืมออกไปใช้ได้
(ขอเพียงแค่ให้มันกลับมาในสภาพที่ยังใช้งานได้ก่อนเปิดเทอมใหม่แค่นั้น)
 ในช่วงเวลานั้นก็มีนิสิตป.โท
รายหนึ่ง (ที่ทำวิจัยกับอาจารย์ที่กล่าวมาข้างต้น)
มาขอใช้เครื่อง
UV-Vis
ในงานวิจัยของเขา
 ผมก็อนุญาตให้ยืมใช้งาน 
โดยให้เขายกไปใช้ที่ห้องแลปเขาได้เลย
(เครื่องก็ไม่หนักเท่าใดนั้น
คิดว่าไม่น่าจะถึง ๕
กิโลกรัมด้วยซ้ำ)
  
 ปรากฏว่าเขาไม่ยอมทำเรื่องยืมไปใช้งาน
 บอกว่าจะขอใช้เครื่องนั้นที่ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน
 ผมเองก็งงว่าทำไมจึงต้องใช้ที่นี่
 ทำไมไม่ยกเอาไปใช้ที่แลป
เพราะพื้นที่ตรงนี้ต้องรีบขนของออกเพื่อมอบพื้นที่ให้กับทางคณะส่งต่อให้ผู้รับเหมาเข้ามาทำงานต่อไป
 ไม่เช่นนั้นงานจะเสร็จไม่ทันเปิดภาคการศึกษาใหม่
 พอผมถามเขา  เขาก็ตอบกลับมาในทำนองว่า
"ถ้าเขาใช้เครื่องที่นี่
(หมายถึงที่ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน)
ถ้าเครื่องมันเสียขึ้นมา
 เขาจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ"
  
 พอได้ยินแบบนี้ผมก็ถามเขากลับไปว่า
 สมมุติว่าคุณซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่เครื่องหนึ่ง
 ตั้งไว้ที่บ้านคุณ 
แต่ยังไม่ทันได้ใช้งานเลย
 แล้วอยู่ดี ๆ เพื่อคุณก็มาขอใช้
 แล้วเขาเล่นซะเครื่องคอมพิวเตอร์คุณพัง
 ในกรณีเช่นนี้คุณคิดว่าใครควรเป็นคนออกค่าซ่อม
 ตัวคุณหรือเพื่อนคุณ 
เขาก็ตอบว่าเพื่อนควรเป็นคนออกค่าซ่อม
 พอได้ยินคำตอนนี้ผมก็ถามย้อนกลับไปว่าทำไมคุณไม่เป็นคนออกค่าซ่อม
 เพราะมันพังในขณะที่เพื่อนคุณนั้นมาเล่นที่บ้านคุณ
 ซึ่งผมก็ไม่ได้รับคำตอบนั้น
 ไม่กี่วันให้หลัง
 ผมก็ได้รับแจ้งจากหัวหน้าภาควิชาว่า
 มีอาจารย์ท่านหนึ่งแทงจดหมายถึงหัวหน้าภาควิชา
 กล่าวหาในทำนองว่าผมกลั่นแกล้งเขา
 ไม่ให้เขายืมใช้อุปกรณ์ 
ใช้ความพึงพอใจของตนเองที่จะให้บริการกับใคร
 หัวหน้าภาควิชาท่านก็ได้สำเนาจดหมายฉบับนั้นให้ผม
 และให้ผมชี้แจงต่อหน้าท่านและอาจารย์ผู้กล่าวหา
  
 คือจดหมายฉบับนั้นเขียนโดยนิสิตป.โทผู้ที่มาติดต่อขอยืมเครื่อง
UV-Vis
จากห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน
ส่งไปยังอาจารย์ที่ปรึกษาในทำนองว่าไม่สามารถยืมใช้เครื่องได้
 เพื่อขอคำปรึกษาจากอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี
 จากนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาจึงแทงเรื่องต่อมายังหัวหน้าภาควิชา
เขียนมาในทำนองว่าเขาโดนกลั่นแกล้งไม่ให้ยืมอุปกรณ์ของห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานไปใช้งาน
 แต่กับคนอื่นกลับให้ยืมได้
  
 ตอนที่ผมเห็นจดหมายนี้ร่วมกับครูปฏิบัติการคนอื่น
 เราก็งงเหมือนกัน 
โดยเฉพาะตรงที่เขากล่าวหาว่าทางผมกลั่นแกล้งเขาที่ไม่ให้เขายืมเครื่องมือไปใช้
  
 ในวันนั้น
 ในห้องหัวหน้าภาคมีอยู่ด้วยกัน
๓ คน คือ ผม หัวหน้าภาควิชา
และอาจารย์ผู้กล่าวหา
ในการชี้แจงนั้น 
ผมก็แจ้งให้กับหัวหน้าภาคทราบว่าในความเป็นจริงนั้นอนุญาตให้ยืมใช้
 โดยให้ยกไปใช้ที่ห้องแลปของเขาเลย
 เพราะพื้นที่ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานจะมีการก่อสร้างต่าง
ๆ  ซึ่งหัวหน้าภาคก็ทราบอยู่
 และรู้ด้วยว่าต้องส่งพื้นที่ให้กับผู้รับเหมา
 แต่ทางผู้ยืมนั้นยืนยันที่จะใช้เครื่อง
ณ ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานให้ได้
 เมื่อไม่สามารถใช้เครื่องที่ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานได้
 ก็เลยไม่ขอยืมออกไปใช้ที่แลปตัวเอง
  
 ในส่วนที่หาว่าไม่ให้เขายืมเครื่องมือนั้น
 ทางผมก็มีเอกสารคือใบบันทึกการยืมและใช้อุปกรณ์ของอาจารย์ในภาควิชา
ที่ทางครูปฏิบัติการรวบรวมเอาไว้ให้
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถ้าไม่ติดขัดว่าเวลานั้นต้องใช้เพื่อการสอนระดับปริญญาตรี
 ก็อนุญาตให้ยืมไปใช้ทุกราย
(ทำตามนโยบายของภาควิชา)
และจะว่าไปแล้วตัวอาจารย์ผู้กล่าวหานั้นเป็นผู้ที่ทำเรื่องยืมอาจจะมากที่สุดเสียด้วย
 โดยผมเอาใบขออนุญาตยืมและใช้
 ที่มีลายเซนต์ของอาจารย์ผู้กล่าวหาผมนั้นมาให้หัวหน้าภาควิชาดู
  
 พอเจอหลักฐานอย่างนี้เข้าประเด็นกล่าวหาก็เลยเบี่ยงเบน
 มีการกล่าวหาผมต่อหน้าหัวหน้าภาควิชาต่อว่าผมไม่มีกฎเกณฑ์ในการให้ยืม
 ใช้ความพึงพอใจในการเลือกให้ใครยืม
 ผมก็ชี้แจงกลับไปว่ากฎเกณฑ์มันมีอยู่แล้ว
 พิมพ์ไว้ข้างหลังใบขอยืมใช้อุปกรณ์ทุกใบที่อาจารย์เซนต์ชื่อมา
 พร้อมกับแสดงให้เห็น 
พอเจอแบบนี้เข้าก็เบี่ยงประเด็นต่อไปว่าเขาไม่เห็นเพราะมันไม่มีการบอกไว้ข้างหน้าว่าให้พลิกอ่านข้างหลัง
 ผมก็ชี้แจงกลับไปว่ามันก็มีบอกอยู่
 อยู่ตรงหัวกระดาษเลย
(ตามรูปที่แนบมาให้ดู)
 เขาก็ยังเบี่ยงต่อไปว่าที่เขาไม่เห็นเพราะว่ามันไปพิมพ์อยู่ตรงนั้น
 มันไม่มาพิมพ์อยู่ตรงมุมนี้
  
 เห็นแบบนี้เข้า
 อย่าว่าแต่ผมที่เป็นอาจารย์ที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่กี่ปีเลย
 ขนาดหัวหน้าภาควิชาที่อาวุโสกว่าอาจารย์ผู้กล่าวหาผมก็ยังไปไม่ถูกเลย
  
 จากนั้นเรื่องราวก็ชักไปกันใหญ่
เอาเป็นว่าโดยรวมแล้วผมกับหัวหน้าภาควิชานั่งฟังเขาด่าผมอยู่ฝ่ายเดียวกว่าชั่วโมง
 ด้วยสิ่งที่เขาพอจะจินตนาการได้ว่าผมเป็นคนไม่ดีอย่างไร
 ด่าถึงขนาดที่ว่าผมเป็นคนที่
"ไม่มีสามัญสำนึกของความเป็นอาจารย์
"
ก่อนที่เขาจะจากไป
  
 หลังเขาจากไปแล้ว
 หัวหน้าภาควิชาก็ถามผมว่า
 จะเอาเรื่องคืนไหม 
คือหมายความว่าผมจะร้องเรียนกลับไหมว่าถูกกลั่นแกล้งด้วยการใส่ร้ายด้วยเรื่องเท็จ
 เพราะหลักฐานและเรื่องราวต่าง
ๆ หัวหน้าภาควิชาก็เห็นชัดหมดแล้ว
 ผมก็บอกกับหัวหน้าภาควิชากลับไปว่าไม่
 เพราะอยากให้เรื่องนี้มันจบตรงนี้
 "แต่ความเคารพที่เคยมีให้ในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์นั้น
คงต้องสิ้นสุดลงตรงนี้ "
และนี้ถือว่าเป็นการถอยให้เป็นครั้งสุดท้าย
 และนับเป็น
"การตัดสินใจที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตการทำงาน"
นับมาจนถึงปัจจุบัน
  
 นอกจากนี้ยังมีการไปกล่าวหาผมในที่ประชุมภาคต่ออีก
 ผมก็สวนกลับไปว่า
"ตำแหน่งนี้ไม่ได้ยึดติดหรอก
 ที่เข้าไปทำเพราะไม่มีใครยอมเข้าไปทำ
 ถ้าใครคิดว่าสามารถทำได้ดีกว่าก็มารับทำแทนเลย
 เสนอตัวมาตอนนี้ได้เลย"
 ปรากฏว่าที่ประชุมเปลี่ยนเรื่องคุยแทบไม่ทัน
  
 หลายปีถัดมา
 มีอาจารย์รุ่นพี่กลุ่มหนึ่งมาคุยกับผมว่า
 จะช่วยสมานรอยร้าวระหว่างผมกับอาจารย์ท่านนั้นให้เอาไหม
 ผมก็ตอบกลับไปว่า
"ตอนนี้ชีวิตผมมันก็สุขสงบดีอยู่แล้วครับ"
 เรื่องนี้มันก็กว่า
๒๐ ปีที่แล้ว 
เกิดก่อนเรื่องที่เล่าไปในครั้งที่แล้วอีก


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น