รายการนี้จะเรียกว่าเป็นรายการ
"จากเครื่องบินรบ
Zero
มาเป็น
Rotor
เครื่องแยกยูเรเนียม"
ก็ไม่น่าจะผิด
ถ้าพูดถึงเครื่องบินรบยุคสงครามโลกครั้งที่
๒ เครื่อง Mitzubishi
A6M Zero
ของกองทัพญี่ปุ่นก็เรียกได้ว่าเป็นเครื่องบินรบที่หาคู่ปรับไม่ได้ในช่วงต้นสงคราม
ปัญหาของญี่ปุ่นในขณะนั้นคือการพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีกำลังสูงขึ้น
การทำให้เครื่องบินบินได้เป็นระยะทางไกล
มีความเร็วสูง และความคล่องตัวสูง
จึงต้องเน้นไปที่การออกแบบโครงสร้างเป็นหลัก
และสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจของเครื่องบินรุ่นนี้คือโลหะผสมอะลูมิเนียมที่มีความแข็งแรงสูงและน้ำหนักเบาที่กลายมาเป็นโลหะผสมอลูมิเนียมในซีรีย์
7075
แม้ว่าเครื่อง
Zero
จะมีความคล่องตัวสูงซึ่งจำเป็นสำหรับการต่อสู้แบบ
Dog
fight
แต่เครื่องรุ่นนี้ก็มีปัญหาถ้าหากดำดิ่งด้วยความเร็วที่สูงเกินไปแล้วพยายามจะเชิดขึ้น
นักบินของกองทัพสหรัฐจึงใช้ข้อด้อยตรงนี้ในการต่อสู้กับเครื่อง
Zero
คือให้นักบินหลีกเลี่ยงการต่อสู้แบบ
Dog
fight แต่ให้ใช้สมรรถนะของเครื่องบินรบ
(ที่พัฒนาหลังเครื่อง
Zero)
ที่บินได้สูงกว่า
เร็วกว่า และแข็งแรงกว่า
ในการดำดิ่งโจมตีจากเพดานบินที่สูงกว่าและฉีกตัวหนีออกไป
รูปที่
๑ คำนิยามของ "วัสดุทนต่อการกัดกร่อนของ
UF6"
ใน
Annex
I "List of Dual-Used Items and Technology"
ไอโซโทปหลักในธรรมชาติของยูเรเนียมคือ
U-238
และ
U-235
โดยที่ส่วนใหญ่จะเป็น
U-238
ทั้งสองไอโซโทปนั้นสามารถเกิดปฏิกิริยาแตกตัวหรือนิวเคลียร์ฟิสชัน
(fission)
ได้เมื่อนิวเคลียสถูกยิงด้วยนิวตรอน
แต่ U-235
เกิดปฏิกิริยาแตกตัวได้ง่ายกว่าเพราะถูกยิงด้วยนิวตรอนพลังงานต่ำก็เกิดได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ในการทำระเบิดนิวเคลียร์ฟิสชันจึงต้องหาทางแยกเอา
U-235
ออกจาก
U-238
ให้ได้
แต่เนื่องจากธาตุชนิดเดียวกัน
(ไม่ว่าจะไอโซโทปใดก็ตาม)
จะทำปฏิกิริยาเคมีเหมือนกัน
ดังนั้นการหาทางแยกไอโซโทปทั้งสองออกจากกันจึงต้องใช้คุณสมบัติทางกายภาพที่แตกต่างกันก็คือ
"มวล"
ที่แตกต่างกัน
สิ่งที่เขาทำกันก็คือเอายูเรเนียมมาทำปฏิกิริยากับฟลูออรีน
กลายเป็นสารประกอบ uranium
hexafluoride หรือ
UF6
ที่เป็นของแข็งและระเหิดกลายเป็นไอได้ที่อุณหภูมิต่ำ
จากนั้นจึงแยกไอโซโทป U-235
และ
U-238
ออกจากกันโดยอาศัยกระบวนการแพร่ของแก๊สที่แก๊สที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำจะแพร่ได้เร็วกว่าแก๊สที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูง
โดยแก๊ส UF6
ที่เป็นไอโซโทปของ
U-235
จะมีมวลน้อยกว่าจึงแพร่ได้เร็วกว่า
และถ้าเราให้ระยะทางการแพร่นั้นยาวมากพอ
แก๊สที่แพร่ไปถึงปลายทางก็จะมีสัดส่วนของ
U-235
สูงขึ้นมาก
อีกเทคนิคหนึ่งที่นำมาใช้ในการแยกไอโซโทปของแก๊สคือการใช้แรงเหวี่ยงด้วยเครื่อง
gas
centrifuge
โดยแก๊สที่ถูกเหวี่ยงออกไปทางด้านนอกจะมีสัดส่วนแก๊สที่มีมวลโมเลกุลหนักเพิ่มขึ้น
และแก๊สที่ไหลออกทางช่องทางออกบริเวณตอนกลางจะมีสัดส่วนของแก๊สที่มีมวลโมเลกุลเบากว่ามากขึ้น
และด้วยการนำเครื่อง gas
centrifuge นี้จำนวนมากมาต่อเข้าด้วยกัน
ก็จะสามารถผลิตแก๊ส UF6
ที่มีสัดส่วน
U-235
สูงมากขึ้นได้
ตัวอย่างเครื่อง gas
centrifuge
สำหรับแยกไอโซโทปแก๊สนี้ดูได้ที่สิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
US3004158A
เรื่อง
Gas
centrifuge for isotope separation
ใน
wikipedia
กล่าวว่าแก๊ส
UF6
สามารถทำปฏิกิริยากับโลหะอะลูมิเนียมกลายเป็นสารประกอบ
AlF3
เคลือบผิวโลหะอะลูมิเนียมได้
ซึ่งป้องกันไม่ให้โลหะอะลูมิเนียมถูกกัดกร่อนต่อไป
ทำให้โลหะอะลูมิเนียมมีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้ผลิตเป็นอุปกรณ์ที่ต้องสัมผัสกับแก๊ส
UF6
รูปที่
๒ ข้อกำหนด 0B001
เลข
"0"
ตัวแรกหมายถึงอยู่ในกลุ่มอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์
อักษร "B"
หมายถึงเป็นกลุ่มของอุปกรณ์
ทดสอบ ตรวจสอบ และผลิต เลข
"0"
ตำแหน่งที่สามหมายถึงมาจากกลุ่มของ
Nuclear
Supplier Group (NSG) ส่วน
01
ลำดับรายการ
ท่ออะลูมิเนียม 7075
ตกอยู่ในข้อย่อย
b
ของข้อ
0B001
(ใน
Note
b. และในข้อย่อย
3.)
ในเดือนกรกฎาคมปีพ.ศ.
๒๕๔๔
(ค.ศ.
๒๐๐๑)
เจ้าหน้าที่จอร์แดน
(โดยความช่วยเหลือของหน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกา)
ทำการยึดท่ออะลูมิเนียมเกรด
T7075-T6
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก
81
mm ความยาว
900
mm จำนวนประมาณ
3000
ท่อที่อยู่ระหว่างการขนส่งจากประเทศจีนไปยังประเทศอิรัค
ถ้าใครสนใจรายละเอียดเรื่องนี้สามารถไปอ่านเพิ่มเติมได้ใน
wikipedia
ในหัวข้อ
"Iraqi
aluminum tubes" แต่ที่น่าสนใจก็คือ
"ท่อ"
นี้มันพิเศษอย่างไร
ในงานวิศวกรรมนั้น
"pipe"
และ
"tube"
ไม่เหมือนกัน
มันมีมาตรฐานขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกที่แตกต่างกัน
สองคำนี้พอแปลเป็นไทยกลับใช้คำว่า
"ท่อ"
เหมือนกันทั้ง
ๆ ที่ตามศัพท์ภาษาอังกฤษนั้นมันเป็นคนละชนิดกัน
แต่ถ้าไปพบอะไรก็ตามที่มีรูปร่างเหมือนท่อ
แต่พอดูขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแล้วกับพบว่าไม่ตรงกับขนาดใด
ๆ ของมาตรฐานที่ใช้กันอยู่
นั่นแสดงว่าในความเป็นจริงนั้นสิ่งนั้นอาจถูกทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ใช่ทำหน้าที่เป็นท่อสำหรับการลำเลียงของไหล
อย่างเช่นในกรณีของ "ท่อ"
ที่ประเทศอิรัคสั่งและถูกยึดเอาไว้นั้น
มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก
81
mm ที่ไม่ตรงกับขนาดมาตรฐานของ
pipe
และ
tube
ที่ใช้งานกันทั่วไป
ตรงนี้ขออธิบายเพิ่มเติมนิดนึง
คือคุณสมบัติทางกลของผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นจากรูปโลหะผสมชนิดใดชนิดหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิตด้วย
กล่าวคือโลหะผสมที่มีส่วนผสมเหมือนกันแต่ใช้กรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกันก็ให้คุณสมบัติที่แตกต่างกัน
กรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกันมีทั้งระดับอุณหภูมิที่ใช้ในการทำให้โลหะนั้นร้อน
การควบคุมอัตราการเย็นตัวของโลหะหลังจากร้อนได้ที่
รวมไปถึงการใช้แรงกระทำ
เช่นการทุบ การรีดให้เป็นแผ่นแบน
สิ่งที่มีการโต้แย้งกันในขณะนั้นก็คือ
ทางอิรัคอ้างว่าสั่งท่อดังกล่าวเพื่อนำไปใช้เป็นลำตัวจรวดขนาดเล็ก
(ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำตัว
81
mm) ซึ่งมันก็มีจรวดขนาดนั้นใช้งานจริง
แต่ทางสหรัฐอเมริกาอ้างว่าอิรัคยังไม่ยอมหยุดการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
โดยท่อดังกล่าวสามารถนำไปทำเป็นชิ้นส่วน
rotor
ของเครื่องเหวี่ยงแยกไอโซโทปของยูเรเนียม
(ข้อ
0B001
ในรูปที่
๒)
ซึ่งมันก็ทำได้เช่นกัน
ชิ้นส่วนสำหรับสร้างอาวุธจรวดขนาดเล็กไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม
แต่ชิ้นส่วนสำหรับสร้างเครื่องเหวี่ยงแยกยูเรเนียมเป็นสินค้าควบคุม
ฝ่ายที่อ้างว่าข้อกล่าวหาของอิรัคฟังไม่ขึ้นก็อ้างเหตุผลว่าลำตัวจรวดนั้นไม่จำเป็นต้องใช้โลหะอลูมิเนียมที่รับแรงได้สูงขนาดนี้
แต่ถ้ามองจากทางฝ่ายอิรัคก็คือการใช้โลหะน้ำหนักเบารับแรงได้สูงก็จะทำให้ลำตัวของจรวดเบาขึ้น
ย้ายน้ำหนักที่ต้องบรรทุกไปเป็นส่วนของเชื้อเพลิงหรือหัวรบได้เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งจะทำให้ได้จรวดที่มีหัวรบที่มีอำนาจการทำลายล้างเพิ่มขึ้นหรือมีระยะยิงที่ไกลขึ้น
รูปที่
๓
ภาพเครื่องเหวี่ยงแยกไอโซโทปยูเรเนียมที่เปิดเผยไว้ในสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
3,004,158
ในปีพ.ศ.
๒๕๔๘
(ค.ศ.
๒๐๐๕)
คณะกรรมการรางวัลโนเบิลได้มีมติมอบรางวัลสาขาสันติภาพให้กับหน่วยงาน
International
Atomic Energy Agency (IAEA)
ซึ่งหน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่เข้าไปตรวจสอบโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิรัคก่อนที่จะมีการยกกองทัพบุกอิรัคอีกครั้งของชาติตะวันตกโดยใช้ข้ออ้างว่าอิรัคยังคงพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
แม้ว่า IAEA
ที่เข้าไปตรวจสอบก่อนหน้านั้นกล่าวว่าไม่พบว่าการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิรัคดังที่ชาติตะวันตกกล่าวอ้าง
ซึ่งนำความไม่พอใจมายังชาติพันธมิตรตะวันตก
ที่ต้องการยกกองกำลังเข้าไปกำจัดผู้นำประเทศอิรัคในขณะนั้น
ไม่กี่ปีหลังจากนั้นตัวแทนคนหนึ่งของ
IAEA
ได้มาบรรยายที่ห้องประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยและผมมีโอกาสได้เข้าไปรับฟังการบรรยายของเขาด้วย
ในการบรรยายดังกล่าวก็มีการกล่าวถึงเหตุการณ์นี้
โดยเขายังยืนยันว่าทางIAEA
ตรวจไม่พบการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิรัคตามที่ใช้เป็นข้อกล่าวอ้างในการบุกอิรัค
และเมื่อทางกองกำลังชาติตะวันตกเข้าไปยึดครองอิรัคได้แล้ว
ก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้ว่าอิรัคได้มีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างลับ
ๆ ตามที่ได้กล่าวหาเอาไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น