ช่วงเดือนตุลาคม
๒๕๕๗
ทางสหภาพยุโรปได้จัดวิทยากรมาให้ความรู้เกี่ยวกับการจำแนกสินค้าที่ใช้ได้สองทางที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพ
ในชื่อเรื่อง "EU
workshop on strategic trade control; duel used items for civilian
and/or military uses. Chemical engineer and weapon of mass
destruction." ซึ่งงานดังกล่าวก็มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง
ๆ จากหลากหลายคณะและภาควิชาเข้าร่วม
และในการอบรมนั้นก็ได้มีการแบ่งกลุ่มฝึกพิจารณาสินค้าโดยแยกตามความถนัดของแต่ละกลุ่ม
ตัวผมเองก็ได้ไปร่วมอยู่ในกลุ่มรายชื่อของ
Australia
Group
ที่เกี่ยวข้องกับสารตั้งต้นและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตอาวุธเคมีและชีวภาพ
ในช่วงหนึ่งของการแบ่งกลุ่มพิจารณา
ทางวิทยากร (ที่มีพื้นฐานทางด้านเคมี
น่าจะเป็นทางด้านห้องปฏิบัติการเป็นหลัก
เพราะเห็นเขาเชี่ยวชาญเรื่องอุปกรณ์ป้องกันต่าง
ๆ ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการเคมีและชีวภาพ)
ก็ได้กล่าวว่า
ถ้าเราสามารถควบคุมการส่งอุปกรณ์ที่สำคัญบางชนิดไปยังผู้รับที่ไม่เหมาะสมได้
เขาก็จะไม่สามารถผลิตอาวุธทำลายล้างสูงได้
โดยได้ยกตัวอย่างของใบพัดกวน
(agitator
หรือ
stirrer)
และปั๊ม
แต่ผมก็ได้ให้ความเห็นแย้งไปว่า
ในทางปฏิบัตินั้นเราสามารถทำการส่งของเหลวจากถังใบหนึ่งไปยังถังอีกใบหนึ่งได้โดยไม่ต้องใช้ปั๊ม
และสามารถทำการผสมสารในถังได้โดยไม่ต้องใช้ใบพัดกวน
ก็ทำเอาเขาแปลกใจว่าทำได้ยังไง
วิธีการแรกที่ผมเคยเล่นมาก็คือการใช้ความดันแก๊สดันให้ของเหลวจากถังหนึ่งไหลไปยังอีกถังหนึ่ง
ซึ่งใช้ในการส่งของเหลวอันตราย
(สารประกอบ
alkyl
aluminium บริสุทธิ์)
ระหว่างระหว่างถังโดยไม่ต้องการให้เกิดปัญหาการรั่วซึมที่ตัวปั๊ม
(ไม่ว่าจะเป็นที่ตัว
seal
หรือแผ่น
diaphragm
ก็ตาม)
อีกวิธีการหนึ่งคือการใช้แรงโน้มถ่วง
โดยให้ทิศทางการไหลเริ่มจากสูงลงต่ำ
จริงอยู่แม้ว่าสองวิธีการนี้จะไม่เหมาะกับกระบวนการผลิตแบบต่อเนื่อง
แต่สำหรับการผลิตแต่ละครั้งในปริมาณที่ไม่มาก
มันก็ง่ายดี
รูปที่
๑
แถวบนแสดงตัวอย่างวิธีการในการส่งของเหลวจากถังหนึ่งไปยังอีกถังหนึ่งด้วยการ
(1)
ใช้ความดันแก๊สภายในถังดันให้ของเหลวจากถังหนึ่งไหลไปยังอีกถังหนึ่ง
หรือ (2)
ใช้การไหลด้วยแรงโน้มถ่วง
ส่วนแถวล่างแสดงตัวอย่างการผสมสารในถังโดยไม่ต้องใช้ใบพัดกวนด้วยการ
(3)
ใช้ปั๊มสูบจากมุมหนึ่งแล้วให้ไหลหมุนเวียนเข้าอีกด้านหนึ่ง
หรือ (4)
ใช้แก๊สฉีดลงไปใต้ผิวของเหลว
หรือ (5)
การใช้การเขย่าหรือหมุน
สำหรับการผสมนั้นก็สามารถทำได้ด้วยการใช้ปั๊มสูบของเหลวจากมุมหนึ่งแล้วป้อนกลับเข้ายังอีกตำแหน่งหนึ่ง
หรือใช้แก๊สฉีดเข้าไปใต้ผิวของเหลว
หรือใช้การหมุนหรือการเขย่า
ซึ่งในสองวิธีการแรกนั้นสามารถใช้ได้กับการผลิตในปริมาณมากในกระบวนการต่อเนื่อง
ในขณะที่วิธีการหลังนั้นเหมาะกับการผลิตในปริมาณไม่มากและเป็นการผลิตแบบกะ
(batch)
คำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำเวลาสังเคราะห์สารเคมีขึ้นมาสักตัวหนึ่งคือสารเคมีตัวนั้นควรมีความบริสุทธิ์ขนาดไหน
ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร
และจะใช้เมื่อใด
ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้นั้นควรต้องมีความบริสุทธิ์ขนาดไหน
คุณภาพของผลิต
ถ้าสารเคมีดังกล่าวเป็นอาวุธเคมีก็ต้องพิจารณาว่าจะใช้เมื่อใด
ในกรณีของการผลิตเพื่อเก็บเอาไว้ใช้เมื่อถึงเวลานั้น
(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อใด)
เสถียรภาพของผลิตภัณฑ์ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ
เพราะมันต้องไม่กัดกร่อนภาชนะบรรจุหรือเสื่อมสภาพเมื่อผ่านการเก็บเอาไว้เป็นเวลานาน
(เรื่องของ
shelf
life) แต่ในการผลิตโดยคาดหวังไว้แล้วว่ามันจะถูกใช้ในเวลาอันสั้น
เช่นในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่
๑ ที่มีการใช้อาวุธเคมีกันอย่างแพร่หลายหรือจะใช้เพื่อการก่อการร้าย
เรื่องของเสถียรภาพและ/หรือความบริสุทธิ์ก็อาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ
เท่าที่ดูรายการอุปกรณ์ที่ปรากฎใน
EU
List นั้นจะเน้นไปที่การวิจัยและการผลิตในปริมาณมากเพื่อใช้ในทางทหาร
และกังวลกับการส่งออกไปยังประเทศที่คิดว่าสนับสนุนการก่อการร้าย
แต่เอาเข้าจริง ๆ กลับกลายเป็นว่า
คนที่โดนเสียเองกลับเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีเหล่านี้และมีมาตรการควบคุมการส่งออก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของการโจมตีด้วยแก๊ส
Sarin
ในรถไฟใต้ดินของกรุงโตเกียวเมื่อวันจันทร์ที่
๒๐ มีนาคม ค.ศ.
๑๙๙๕
(พ.ศ.
๒๕๓๘)
ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า
๑๐ รายและบาดเจ็บกว่าหนึ่งพันคน
โดยตัวแก๊สดังกล่าวก็ถูกผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเอง
รูปที่
๒ การโจมตีด้วยแก๊ส Sarin
ในรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียว
(จากเอกสาร
DCSINT
Handbook No. 1.01 Terror Operations : Case studies in Terrorism 15
August 2005 จัดทำโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น