มีใครก็ไม่รู้กล่าวเอาไว้นานแล้วว่า
"การสอนแบบบรรยายคือการที่อาจารย์ผู้สอนส่งผ่านความรู้ที่มีเขียนไว้ในตำรา
ไปให้ผู้เรียนบันทึกลงสมุดจด
โดยที่ความรู้นั้นไม่ได้รับการประมวลผลทั้งในสมองของอาจารย์ผู้สอนและของผู้เรียน"
(เห็นที่ไหนก็จำไม่ได้แล้ว
แต่เห็นเป็นภาษาอังกฤษ) 
  
 ซึ่งถ้าความเป็นจริงเป็นเช่นนี้
(และบางส่วนมันก็เป็นเช่นนี้จริง)
มันก็ทำให้เกิดคำถามว่าถ้าเช่นนั้นทำไมเราจึงต้องมานั่งเรียนในห้องเรียน
 ไปนั่งอ่านหนังสือเอาเองไม่ดีกว่าเหรอ
  
 เคยตั้งคำถามไหมครับว่าทำไมมหาวิทยาลัยเปิดจึงสามารถเปิดการสอนในบางสาขาวิชาได้โดยให้ผู้เรียนนั้นอ่านหนังสือเรียนเอาเอง
 ไม่จำเป็นต้องมาเรียนที่สถาบันการศึกษา
 พอถึงเวลาสอบก็ค่อยมาสอบ 
  
 แต่จะว่าไปแล้วสาขาวิชาเหล่านั้นก็ยังต้องมีสื่อการสอนทางไกลช่วย
(เช่นทางโทรทัศน์
วิทยุ หรืออินเทอร์เน็ต)
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนทำความเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้นหรือรวดเร็วขึ้น
(คือมีคนสรุปให้ฟังแทนที่ต้องไปอ่านเอง
หรือขยายความเพิ่มเติมจากเนื้อหาในตำรา)
 และยังต้องมีห้องสมุดเอาไว้ให้นักศึกษาได้เข้ามาค้นคว้าด้วยตนเอง
 เมื่อกลางเดือนที่แล้วหลังการสอนในบ่ายวันอาทิตย์
 ผมก็นั่งคุยกับนิสิตปริญญาโทภาคนอกเวลาราชการกลุ่มหนึ่ง
(ที่เขามักจะมีปัญหาเรื่องภารกิจหน้าการงานจนทำให้การขาดเรียนเป็นเรื่องปรกติ)
และประเด็นหนึ่งที่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันในวันนั้นก็คือคำถามว่า
"ทำไมจึงยังต้องมานั่งเรียนในห้องเรียน"
  
 คำตอบของคำถามดังกล่าวจากมุมมองของผมก็คือ
"เพราะความรู้มันไม่เดินทางไปหาคนที่อยากรู้
 ทำให้คนที่อยากรู้นั้นจำเป็นต้องเดินทางเข้าหาความรู้" 
  
 พอตอบด้วยคำตอบนี้มันก็มีคำถามตามมาอีกก็คือ
"ดังนั้นถ้าเราสามารถทำให้คนที่อยากรู้นั้นสามารถรับความรู้ได้โดยไม่ต้องเดินทาง
 เขาก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งเรียนในห้องเรียนใช่ไหม" 
  
 แต่การจะทำให้ความรู้เดินทางเข้าหาผู้เรียนได้นั้น
 จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีรองรับ
 ในอดีต
ก่อนยุคการพิมพ์ 
ความรู้ที่อาจารย์แต่ละคนมีนั้นเป็นสิ่งที่บันทึกอยู่ในสมองของอาจารย์ผู้นั้น
การจะรับความรู้ได้ก็คือต้องเดินทางไปหาอาจารย์ผู้นั้นเพื่อขอให้สอนวิชาให้
 ถ้าความรู้ดังกล่าวมีการบันทึกเป็นข้อความ
 ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นการเขียนด้วยมือและคงไม่ได้มีหลายชุด
การได้ความรู้นั้นก็ต้องใช้การเดินทางไปยังแหล่งที่มีบันทึกความรู้ดังกล่าวเก็บเอาไว้
 เพื่อหาโอกาสศึกษาจากบันทึกความรู้นั้น
 กล่าวคือถ้าอยากได้วิชาความรู้
 ก็ต้องเดินทางไปหาอาจารย์ผู้สอน
  
 มาถึงยุคสมัยการพิมพ์
การพิมพ์ทำให้เราสามารถสร้างบันทึกความรู้ขึ้นมาได้หลายชุดในเวลาอันสั้นลง
โดยทุกชุดมีข้อความเหมือนกันด้วย
 ทำให้การเรียนรู้นั้นไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเรียนจากผู้เขียนตำรา
 แต่สามารถเรียนได้จากตำราที่ผู้รู้นั้นเป็นคนเขียนและมีการเผยแพร่ออกไป 
  
 แต่การเขียนตำรานั้นมันก็มีข้อจำกัด
(จะเนื่องด้วยเทคนิคการพิมพ์
หรือค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ก็ตาม)
ทำให้ผู้เขียนตำราไม่สามารถใส่รายละเอียดทั้งหมดลงในตำราได้
(เช่นถ้าเป็นตำราคณิตศาสตร์ก็คงเป็นรายละเอียดการพิสูจน์สูตรต่าง
ๆ หรือรายละเอียดการคำนวณต่าง
ๆ 
เพราะถ้าใส่ลงไปทั้งหมดก็มีหวังตำราคงจะเล่มหนามากและคงมีราคาแพงตามไปด้ว)
 จึงใส่ได้เฉพาะสิ่งที่สำคัญและตัวอย่างบางตัวอย่างประกอบเท่านั้น
และด้วยราคาของตำรานั้นจึงทำให้ผู้เรียนส่วนหนึ่งไม่สามารถมีตำราดังกล่าวเป็นของตัวเองได้
(คือจะให้มีตำราเรียนครบทุกวิชาก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน)
 ยังต้องอาศัยการยืมอ่านจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัยอยู่
  
 และแม้ว่าจะมีตำราให้อ่านก็ตาม
แต่ก็มีผู้อ่านเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถทำความเข้าใจในสิ่งที่ตำราละเอาไว้ได้ด้วยตนเอง
(แต่อาจใช้เวลามากน้อยต่างกัน)
 ในขณะที่ผู้อ่านอีกส่วนหนึ่ง
(เผลอ
ๆ อาจเป็นส่วนใหญ่)
ไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่ตำราละเอาไว้
 จำเป็นต้องมีผู้คอยชี้แจงหรือขยายความเพิ่มเติมให้ฟัง 
  
 และนี่ก็คงเป็นสาเหตุให้ต้องมีการมานั่งเรียนหนังสือกันในห้องเรียน
 เพื่อให้ผู้สอนนั้นช่วยย่อยและขยายความเนื้อหาต่าง
ๆ ให้ฟัง (ประหยัดเวลาในการทำความเข้าใจด้วยตนเอง)
 ดังนั้นถ้าพิจารณาในแง่นี้ก็จะเห็นว่า
หน้าที่ของผู้สอนจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การหยิบเนื้อหาในตำรามาบอกต่อโดยไม่ได้ขยายความเพิ่มเติมหรือยกตัวอย่างประกอบเพิ่มเติมให้เห็น 
  
 ผมเองก็เคยโดนนิสิตประเมินว่าวิชาที่ผมสอนไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้
(ผมไม่ได้เช็คชื่อ)
อ่านจากเอกสารคำสอนที่ผมเตรียมไว้ให้ก็พอแล้ว
 ผมก็บอกว่าคำกล่าวเช่นนั้นผมถือว่าเป็นคำชม
เพราะสิ่งที่ผมต้องการคือทำอย่างไรที่จะทำให้ผู้เรียนนั้นสามารถเรียนเองได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาเรียน
 แต่พอเอาเข้าจริง ๆ
ก็เห็นมีผู้ที่ไม่ได้เข้าเรียนทำข้อสอบกันไม่ได้ทุกปี
 ทั้ง ๆ
ที่สิ่งที่ออกไปนั้นมันก็ใช้พื้นฐานที่ปรากฏอยู่ในเอกสารที่จัดเตรียมไว้ให้
 คิดว่าคงเป็นเพราะว่าไม่สามารถใส่ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานต่าง
ๆ ครอบคลุมได้ทุกกรณีลงไปเอกสารที่เตรียมให้
 พอเอาโจทย์ที่แตกต่างไปเพียงเล็กน้อยจากตัวอย่างที่ยกมาแสดง
ก็เลยมีคนที่เรียนหนังสือโดยการเทียบเคียงโจทย์กับวิธีแก้ปัญหาตามตัวอย่างที่เคยอ่านพบและเห็นว่าใกล้เคียงที่สุดมาใช้
 ผลก็คือโดนข้อสอบหลอกเอาเป็นประจำทุกปี
 ตรงนี้ดูตัวอย่างเพิ่มเติมได้ใน
Memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๔๐๑ วันพฤหัสบดีที่
๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เรื่อง
"หลอกด้วยข้อสอบเก่า"
หรือล่าสุดเมื่อเร็ว
ๆ นี้ก็คือ Memoir
ปีที่
๙ ฉบับที่ ๑๒๔๓ วันพุธที่ ๒๘
กันยายน ๒๕๕๙ เรื่อง
"การอ่านผลการทดลองการไทเทรตกรด-เบส (ตอนที่ ๓)")
 เหตุผลก็เพราะมีบางสิ่งที่ไม่ปรากฏในเอกสารคำสอนและมีเพิ่มทุกปีคือ
"ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน"
 ซึ่งตรงนี้คนที่เรียนโดยอาศัยการท่องจำ
"วิธีการเฉพาะ"
ของตัวอย่างต่าง
ๆ  พอมาเจอกับปัญหาที่ไม่เคยอ่านเจอ
(แต่ยังสามารถแก้ได้ด้วยการใช้
"หลักการ")
ก็เลยทำข้อสอบไม่ได้
 ดังนั้นเวลาที่ผมสอนหนังสือผมจึงย้ำเสมอว่าให้ยึดใน
"หลักการ"
เอาไว้ก่อน
 อย่าไปยึดกับวิธีการเฉพาะของตัวอย่างใดตัวอย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะกับวิชาที่เนื้อหามันเยอะมากแต่ถูกบีบให้สอนแบบรวบรัดในเวลาอันสั้น
(เช่นเคมีอินทรีย์ของภาควิชาเรา
 ที่จากเดิมเรียนบรรยายกัน
๓ หน่วยกิต ๑๕ สัปดาห์ 
มาตอนนี้เหลือเพียงแค่ ๕
สัปดาห์เท่านั้นเอง 
สิ่งที่สอนได้ก็คือหลักการ
 ส่วนตัวอย่างการประยุกต์นั้นยกตัวอย่างมาได้เพียงบางเรื่องและโดยคร่าว
ๆ เท่านั้น 
รายละเอียดที่มากขึ้นไปอีกต้องให้นิสิตไปอ่านเอาเองจากหนังสือหรือเอกสารที่เตรียมให้)
  
 การเรียนภาค
"ทฤษฎี"
นั้นในหลายวิชา
พัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีสามารถทำให้ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมานั่งเรียนในห้องเรียน
 แต่การเรียนภาค "ปฏิบัติ"
ที่ต้องลงมือปฏิบัติในหลากหลายสาขาวิชานั้นยังจำเป็นต้องมาฝึกกับอาจารย์ผู้สอนอยู่
 โดยเฉพาะพวกที่ต้องมีการใช้อุปกรณ์พิเศษ
(ที่คนทั่วไปไม่ได้ติดไว้ติดบ้าน)
 แม้ว่าในบางเรื่องสามารถที่ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษในการเรียน
 สามารถที่จะเรียนได้ในระบบการศึกษาทางไกลก็ตาม
(เช่นการเรียนภาษา)
  
 เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ทำให้ความรู้ที่เดิมอยู่ในรูปของหนังสือขนาดใหญ่
กลายเป็นไฟล์คอมพิวเตอร์บรรจุอยู่ในหน่วยความจำขนาดเล็กที่ส่งต่อและพกพาได้ง่าย
และยังสามารถใส่รายละเอียดต่าง
ๆ เพิ่มเติม (ไม่ว่าจะเป็นภาพสี
ภาพขยายขนาดใหญ่ หรือภาพเคลื่อนไหวต่าง
ๆ)
ลงในไฟล์นั้นเพื่อทำให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาความรู้ได้ง่ายขึ้น
 โดยที่ไม่ได้ส่งผลต่อต้นทุนมากเหมือนกันการพิมพ์หนังสือ
(ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ
หนังสือที่มีภาพสี
ยิ่งมีภาพมากขึ้นก็จะแพงมากขึ้น
 แต่สำหรับไฟล์คอมพิวเตอร์แล้วราคามันไม่ต่างกัน
 ต่างกันที่ขนาดของไฟล์เท่านั้น)
  
 แต่ปัญหาหนึ่งที่ยังคงอยู่ก็คือ
มันยังไม่มีตำราวิชาความรู้พื้นฐานในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์
(หรือมีบ้างแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน)
ที่ให้รายละเอียดมากพอชนิดที่ผู้เรียนสามารถอ่านเองแล้วเห็นภาพต่าง
ๆ ได้โดยไม่ต้องมานั่งเรียนที่ห้อง
 มามหาวิทยาลัยเฉพาะวันสอบก็พอ
 โดยเฉพาะกับตำราทางด้านวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าการทำแหล่งข้อมูลความรู้ในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์นั้นมันไม่มีรูปธรรมที่จับต้องได้ชัดเจนเหมือนกับหนังสือ
 ยากที่จะทำรายได้เหมือนกับการพิมพ์หนังสือออกจำหน่าย
และการทำผลงานเผยแพร่ในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันเท่าใดนัก
(เรียกว่าทำแล้วนำไปขอเป็นผลงานการปฏิบัติหน้าที่หรือขอความดีความชอบในหน้าที่การงานก็ไม่ได้)
ด้วยเหตุนี้ทำให้การมาต้องมานั่งเรียนในห้องเรียนจึงยังมีความจำเป็นอยู่ในระดับหนึ่ง
  
 แต่ผมว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม่มีการเผยแพร่ความรู้ออกไป
คือการเก็บความรู้เหล่านั้นเอาไว้หาผลประโยชน์จากผู้ที่ต้องการเรียนรู้ความรู้ดังกล่าว


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น