เวลาที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ผมก็จะบอกกับนิสิตว่า
จะให้สอบตกกันเยอะ ๆ ไม่ยากหรอก
แค่เอาข้อสอบข้อที่ยากที่สุดมาเป็นข้อ
1.
เท่านี้ก็ทำลายขวัญและกำลังใจในการสอบไปได้มากแล้ว
และมักจะใช้ได้ผลทุกปี
แม้ว่าจะมีการเตือนล่วงหน้าก็ตาม
เพราะปัจจุบันนิสิตจำนวนมากพอได้รับข้อสอบก็จะลงมือทำตั้งแต่ข้อแรกทันที
แทบจะไม่ตรวจสอบเลยว่าข้อสอบครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่
หรือมีข้อที่ง่าย ๆ
อยู่ข้างหลังหรือเปล่า
ที่หนักไปกว่านั้นคือไม่ยอมแม้แต่จะเขียนชื่อ-เลขประจำตัว
เกรงว่าจะเสียเวลาทำข้อสอบ
กะว่าพอหมดเวลาสอบค่อยเขียนก็ได้
ปรากฏว่าพอหมดเวลาสอบ
กรรมการก็เก็บข้อสอบทันที
เพราะเวลาที่ให้สอบนั้นมันนับรวมเวลาที่ใช้ในการเขียนชื่อ-เลขประจำตัวด้วย
ผู้ที่ไม่อยากเขียนก็ถือว่าไม่ต้องการแสดงตนว่าได้ทำข้อสอบ
เวลาที่สอนเคมีวิเคราะห์หรือเคมีอินทรีย์ผมก็จะบอกกับนิสิตว่า
จะให้ทำข้อสอบกันไม่ได้ไม่ยากหรอก
แค่ถามอะไรที่เป็นพื้นฐานเท่านี้ก็ระเนระนาดแล้ว
ยิ่งถ้าเป็นการถามเรื่องการประยุกต์ใช้ด้วยแล้วจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมกันหนักอีก
เพราะนิสิตปัจจุบันชินกับการเรียนแบบท่องจำ
และเรียนแต่บรรยาย
การสอนภาคปฏิบัติการนั้นถูกทำให้ลดน้อยลงไป
แม้แต่ตัวอาจารย์ผู้สอนเองก็ตาม
จำนวนไม่น้อยแม้ว่าจะมีงานวิจัยแต่ก็ไม่ได้มีการลงไปสัมผัสจริง
เพียงแค่รับฟังผลจากนิสิตที่ทำวิจัยให้แล้วเอาไปเขียนบทความหรือเอาไปพูดต่อเท่านั้นเอง
จึงไม่แปลกที่ผู้เรียนจะไม่รู้อะไรมากไปกว่าที่เขียนในหนังสือ
เพราะผู้สอนก็รู้แค่นั้นเอง
เนื่องจากวิธีถามคำถามของผมและแนวคำตอบของผมนั้นมันแตกต่างไปจากประสบการณ์ที่นิสิตเคยเจอกันมา
(ดูตัวอย่างได้ใน
Memoir
ปีที่
๑ ฉบับที่ ๑๒ วันพฤหัสบดีที่
๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ เรื่อง
"เท่ากับเท่าไร")
ที่ผ่านมาผมก็เลยมักจะแจกข้อสอบเก่าย้อนหลัง
(พร้อมเฉลยในบางปี)
เพื่อให้นิสิตรู้ว่าสิ่งที่ผมต้องการวัดผลนั้นคืออะไร
แต่การแจกข้อสอบเก่าย้อนหลังไปหลายปีก็ทำให้เกิดข้อเสียด้วย
เพราะนิสิตมักจะดูแนวว่าอาจารย์ชอบออกข้อสอบในแนวทางใด
และมักจะใช้วิธีท่องจำข้อสอบเก่าพร้อมเฉลย
กะว่าพอเจอข้อสอบที่คล้ายกับข้อสอบเก่าที่ท่องจำกันมา
ก็จะเขียนคำตอบลงไปเลยโดยไม่คิด
ผมมักจะเตือนนิสิตให้ระวังว่า
ในบางเรื่องนั้นแม้ว่าจะดูคล้ายกัน
แต่มันไม่เหมือนกัน
และในบางครั้งการที่เราเห็นหรือได้ยินอะไรซ้ำ
ๆ กันมานั้น
อาจทำให้เราหลงคิดว่าสิ่งต่อไปที่เราเห็นหรือได้ยินนั้นที่มันดูคล้ายสิ่งที่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อนหน้า
มันน่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน
ซึ่งความคิดเช่นนี้ก็เป็นการเปิดช่องให้ผู้ออกข้อสอบวางยาผู้เข้าสอบได้
ซึ่งมักได้ผลดีกับผู้เข้าสอบที่สะเพร่าหรือมีพื้นฐานที่ไม่ดี
ไหน
ๆ วานนี้ก็ได้เข้าสอนวิชาเคมีอินทรีย์แล้ว
(ภาคปฏิบัติ)
เป็นวันสุดท้ายแล้ว
ก็เลยขอยกเอาข้อสอบวิฃานี้ที่ผ่านมาที่เคยวางยานิสิตเอาไว้มาให้ดูเล่นกัน
เพื่อเป็นบทเรียนว่าเคยมีคนพลาดกันอย่างไรบ้าง
เรื่องที่
๑
ปฏิกิริยาการทดสอบเพื่อแยกสาร
โจทย์เรื่องนี้เกี่ยวกับการใช้ปฏิกิริยาทดสอบ
เพื่อบ่งบอกว่าสารตัวอย่างที่ได้รับนั้นเป็นสารใด
ดังนั้นผู้เรียนต้องรู้ว่าหมู่ฟังก์ชันแต่ละหมู่นั้นเกิดปฏิกิริยาใดได้บ้างที่แตกต่างไปจากหมู่อื่นที่ให้เปรียบเทียบ
โดยจะไล่จากคำถามที่ถามในปีแรก
และคำถามที่ถามในปีถัดไป
และสุดท้ายมีการวางยาเอาไว้อย่างไร
ปีที่
๑
นิสิตผู้หนึ่งได้รับสารตัวอย่างมา
2
ตัวอย่าง
โดยรู้แต่เพียงว่าสารหนึ่งเป็นอัลเคน
และอีกสารหนึ่งเป็น alkyl
benzene
(C6H5R
เมื่อ
R
คือหมู่อัลคิลโซ่ตรง)
แต่ตัวอย่างไม่ได้ถูกระบุว่าตัวอย่างไหนเป็นสารอะไร
และเมื่อนำไปจุดไฟเผาเพื่อดูเขม่าแล้วก็ยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของของเขม่าที่เกิดขึ้นได้
คำถาม
โดยใช้วิธีการทดลองที่ได้ทำในห้องปฏิบัติการในช่วงที่ได้เรียนวิชานี้มา
มีวิธีการง่าย ๆ
หรือไม่ที่น่าจะสามารถใช้ระบุชนิดสารตัวอย่างทั้งสอง
ถ้ามี วิธีการนั้นคือวิธีอะไร
คำตอบของคำถามปีที่
๑
นี้คือต้องรู้ว่าวงแหวนเบนซีนนั้นสามารถทำปฏิกิริยาใดได้บ้างที่แตกต่างไปจากอัลเคน
ตัวอย่างของปฏิกิริยาดังกล่าวได้แก่
nitration
และ
sulfonation
ซึ่งวงแหวนเบนซีนสามารถทำปฏิกิริยานั้นได้
แต่อัลเคนไม่ทำปฏิกิริยา
ปีที่
๒ ถ้าท่านมีตัวอย่างอยู่
2
ตัวอย่าง
โดยรู้แต่เพียงว่าสารหนึ่งเป็นโทลูอีน
(toluene
C6H5CH3
หรือ
methyl
benzene)และอีกสารหนึ่งเป็นไซลีน
(xylene
C6H4(CH3)2
หรือ
dimethyl
benzene) ซึ่งสารทั้งสองต่างก็เป็นสารประกอบ
อะโรแมติกที่มีหมู่เมทิลเกาะอยู่กับวงแหวน
แต่ตัวอย่างไม่ได้ถูกระบุว่าตัวอย่างไหนเป็นสารอะไร
และเมื่อนำไปจุดไฟเผาเพื่อดูเขม่าแล้วก็ยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของของเขม่าที่เกิดขึ้นได้
คำถาม
โดยใช้วิธีการทดลองที่ได้ทำในระหว่างการเรียนปฏิบัติการเรื่องสารประกอบอะโรแมติก
มีปฏิกิริยาทดสอบง่าย ๆ
ปฏิกิริยาใดหรือไม่ที่สามารถใช้ระบุชนิดสารตัวอย่างทั้งสอง
ถ้ามี วิธีการนั้นคือวิธีอะไรและทำได้อย่างไร
(หัวข้อการทดลองในเรื่องนั้นมี
การละลาย,
การออกซิไดซ์ด้วย
KMnO4,
การทำปฏิกิริยากับ
H2SO4,
การทำปฏิกิริยากับ
HNO3,
การฟอกสีสารละลาย
Br2)
คำถามปีที่
๒ นี้ ถ้าอ่านตามตำราแล้วคงยากที่จะตอบคำถามได้
แต่สำหรับผู้ที่ทำการทดลองและสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นจะสามารถตอบได้ว่ามีบางปฏิกิริยาที่ไซลีนทำปฏิกิริยา
แต่โทลูอีนไม่ทำปฏิกิริยา(ปฏิกิริยากับ
KMnO4)
คำถามปีนี้ออกมาหลังคำเตือนว่าในการทำการทดลองนั้น
แม้ว่าจะทำเป็นกลุ่ม
แต่ต้องการให้ทุกคนได้เรียนรู้ทุกปฏิกิริยาที่ทำการทดลอง
ไม่ใช่ใช้วิธีแยกกันทำคนละปฏิกิริยา
แล้วเอาผลการทดลองมารวมกันเป็นรายงานส่งอาจารย์
โดยที่ไม่สนว่าผลการทดลองของคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร
ปีที่
๓ ถ้าท่านมีตัวอย่างอยู่
2
ตัวอย่าง
โดยรู้แต่เพียงว่าสารหนึ่งเป็นเฮกซีน
(hexene
C6H12)
และอีกสารหนึ่งเป็นออกทีน
(octene
C8H16)
ซึ่งสารทั้งสองต่างก็เป็นสารประกอบอัลคีนที่มีพันธะ
C=C
จำนวน
1
พันธะในแต่ละโมเลกุล
แต่ตัวอย่างไม่ได้ถูกระบุว่าตัวอย่างไหนเป็นสารอะไร
และเมื่อนำไปจุดไฟเผาเพื่อดูเขม่าแล้วก็ยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของของเขม่าที่เกิดขึ้นได้
คำถาม
โดยใช้วิธีการทดลองที่ได้ทำในห้องปฏิบัติการในช่วงที่ได้เรียนวิชานี้มา
มีปฏิกิริยาทดสอบง่าย ๆ
หรือไม่ที่น่าจะสามารถใช้ระบุชนิดสารตัวอย่างทั้งสอง
ถ้ามี วิธีการนั้นคือวิธีอะไรและทำได้อย่างไร
ในกรณีนี้โมเลกุลทั้งสองประกอบด้วยหมู่ฟังก์ชันที่เหมือนกัน
(C=C
และหมู่อัลคิล)
ดังนั้นการทำปฏิกิริยาต่าง
ๆ จึงเหมือนกัน
สิ่งที่แตกต่างกันคือขนาดของหมู่อัลคิล
ซึ่งออกทีนมีขนาดของหมู่อัลคิลที่ใหญ่กว่า
ดังนั้นในการทดสอบจึงต้องอาศัยความแตกต่างตรงนี้
แนวทางหนึ่งที่ทำได้คือการใช้ปฏิกิริยาการเติม
I2
เข้าไปที่พันธะคู่
(เช่นโดยใช้สารละลาย
I2
ใน
CCl4)
โดยชั่งน้ำหนักตัวอย่างทั้งสองมาเท่า
ๆ กัน เฮกซีนมีน้ำหนักโมเลกุลที่ต่ำกว่าออกทีน
ดังนั้นที่น้ำหนักตัวอย่างเท่ากันเฮกซีนจะมีจำนวนโมลที่มากกว่าออกทีน
(หมายความว่ามีพันธะ
C=C
มากกว่าด้วย)
จึงสามารถเติม
I2
ได้มากกว่า
คำตอบที่พอจะยอมรับได้คือการเติม
Br2
(โดยใช้สารละลาย
Br2
ใน
CCl4)
แต่โบรมีนนั้นสามารถเข้าแทนที่ไฮโดรเจนที่พันธะเดี่ยวได้
แม้ว่าจะทำการทดลองในร่มก็ตาม
(ในที่ร่มปฏิกิริยาจะเกิดช้า
แต่ถ้าทิ้งไว้นานพอก็จะสามารถสังเกตได้)
ดังนั้นการใช้ไอโอดีนจึงดีกว่าตรงที่ทำให้มั่นใจว่าสีของไอโอดีนที่หายไปนั้นเกิดจากการแทนที่ที่ตำแหน่งพันธะ
C=C
เท่านั้น
ปีที่
4
ถ้ามีผู้ส่งตัวอย่างมาให้ท่าน
2
ตัวอย่าง
โดยเขารู้แต่เพียงว่าสารหนึ่งเป็นบิวทีน
(butene
C4H8)
และอีกสารหนึ่งเป็นออกทีน
(octene
C8H16)
ซึ่งสารทั้งสองต่างก็เป็นสารประกอบอัลคีนที่มีพันธะ
C=C
จำนวน
1
พันธะในแต่ละโมเลกุล
แต่ตัวอย่างไม่ได้ถูกระบุว่าตัวอย่างไหนเป็นสารอะไร
คำถาม
โดยใช้ความรู้ที่ได้เรียนวิชานี้มา
ท่านจะวิธีการใดในการระบุชนิดสารตัวอย่างทั้งสอง
และวิธีการดังกล่าวระบุได้อย่างไร
ข้อสอบปีนี้เป็นปีที่ออกมาระเนระนาดมากที่สุด
ผมขอยกเฉลยที่เฉลยให้นิสิตมาให้ดูเลยก็แล้วกัน
"นึกไม่ถึงว่าข้อนี้จะหลอกคนได้เป็นแถว
ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นข้อที่ช่วยเหลือพวกคุณหรือซ้ำเติมพวกคุณ
แต่ที่เดินดูระหว่างที่พวกคุณทำข้อสอบรู้สึกว่าจะเป็นการซ้ำเติมมากกว่า
พวกที่จำข้อสอบเก่าปีที่แล้วที่ถามระหว่างเฮกซีน
(C6H12)
กับออกทีน
(C8H16)
ก็จะตอบว่าชั่งมาหนักเท่ากันแล้วให้ทำปฏิกิริยากับ
Br2
หรือ
I2
โดยตัวที่หนักกว่าจะมีจำนวนโมล
(หรือโมเลกุลน้อยกว่า)
ดังนั้นก็จะใช้
Br2
หรือ
I2
น้อยกว่า
ที่อุณหภูมิห้อง
บิวทีนเป็นแก๊ส (ไฮโดรคาร์บอน
C1-C4
เป็นแก๊สที่อุณหภูมิห้อง)
ออกทีนเป็นของเหลว
ถ้าจะมีใครส่งบิวทีนมาให้คุณวิเคราะห์เขาก็ต้องใส่ถังแก๊สมาให้
แต่ออกทีนใส่ขวดบรรจุของเหลวมาให้
ไม่จำเป็นต้องใช้ปฏิกิริยาเคมีใดมาทดสอบเลย
:-)
สอบเสร็จแล้วมาบ่นว่าก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
แต่ทำไม่ถึงไม่กล้าตอบกัน"
เรื่องที่
๒ ปฏิกิริยาไหนควรเกิดก่อน
ในการสังเคราะห์สารหลากหลายชนิดที่ต้องมีการนำโมเลกุลมากกว่า
๒ โมเลกุลมาต่อเข้าด้วยกัน
เช่นการเชื่อมต่อโมเลกุล
๓ โมเลกุลเข้าด้วยกันโดยมีสารหนึ่งเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อ
คำถามที่เกิดขึ้นคือควรเชื่อมต่อโมเลกุลไหนเข้าด้วยกันก่อน
ด้วยเหตุผลอะไร
ปีที่
๑ Alkyl
benzene sulfonate เป็นสารชะล้าง
(detergent)
ตัวหนึ่งที่ใช้กันทั่วไปในบ้านเรือน
ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาล้าง
ผงซักฟอก สบู่เหลว ฯลฯ
สารประกอบตัวนี้ได้จากการนำเอา
เบนซีน 1-โอเลฟินส์
(โอเลฟินส์ที่มีพันธะ
C=C
อยู่ที่อะตอมคาร์บอนตัวแรก)
และโอเลียม
(กรดกำมะถันเข้มข้นที่มีแก๊ส
SO3
ละลายอยู่)
โครงสร้างของสารประกอบดังกล่าวเป็นดังรูปข้างล่าง
ในการสร้างโมเลกุล
alkyl
benzene sulfonate นั้น
เราอาจทำได้โดยการ
(ก)
เอาเบนซีนทำปฏิกิริยากับโอเลียมก่อนให้ได้สารประกอบ
benzene
sulfonate จากนั้นจึงนำเอาสารประกอบ
benzene
sulfonate ที่ได้นั้นไปทำปฏิกิริยาต่อกับ
1-โอเลฟินส์
หรือ
(ข)
เอาเบนซีนทำปฏิกิริยากับ
1-โอเลฟินส์ก่อนให้ได้สารประกอบ
alkyl
benzene จากนั้นจึงนำเอาสารประกอบ
alkyl
benzene ที่ได้นั้นไปทำปฏิกิริยาต่อกับโอเลียม
คำถาม
วิธีการในข้อได้นั้นดีกว่ากัน
ให้เหตุผลประกอบด้วย
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความว่องไวของวงแหวนในการแทนที่ด้วยหมู่ที่สอง
หมู่อัลคิลเป็น
ring
activating group ในขณะที่หมู่
HOSO2-
เป็น
ring
deactivating group ดังนั้นถ้าทำปฏิกิริยาตามข้อ
(ก)
การทำปฏิกิริยาครั้งที่สอง
(การเติมหมู่อัลคิล)
ก็จะยากขึ้น
แต่ถ้าทำปฏิกิริยาตามข้อ
(ข)
การทำปฏิกิริยาครั้งที่สอง
(การเติมหมู่
HOSO2-
) ก็จะง่ายขึ้น
ดังนั้นการทำปฏิกิริยาตามข้อ
(ข)
จึงดีกว่า
ข้อสอบข้อนี้ออกมาหลายครั้งมีการเฉลยให้นิสิตหลายรุ่น
จนกระทั่งในการสอบครั้งล่าสุดก็มีการออกข้อสอบใหม่ทีคล้ายกันข้างล่าง
ปีล่าสุด
m-nitrotoluene
(หรือ
3-nitrotoluene
หรือ
1-methyl-3-nitro
benzene) ที่แสดงในรูปข้างล่างเป็นของเหลวสีเหลือง-เขียว
มีกลิ่นอ่อน ๆ ใช้ในการผลิต
สี สารต่อต้านการออกซิไดซ์
สารเคมีทางการเกษตร
และสารเคมีที่ใช้ในการถ่ายภาพ
ในการสร้างโมเลกุล
m-nitrotoluene
นั้น
เราอาจทำได้โดยการ
(ก)
เอาเบนซีนทำปฏิกิริยา
alkylation
กับ
CH3-OH
ก่อนให้ได้
toluene
(C6H5-CH3 หรือ
methyl
benzene) จากนั้นจึงนำเอาโทลูอีนที่ได้นั้นไปทำปฏิกิริยา
nitration
กับกรด
HNO3
โดยมีกรด
H2SO4
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
หรือ
(ข)
เอาเบนซีนทำปฏิกิริยา
nitration
กับกรด
HNO3
โดยมีกรด
H2SO4
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาก่อนให้ได้
nitrobenzene
(C6H5-NO2) จากนั้นจึงนำเอาสารประกอบ
nitrobenzene
ที่ได้นั้นไปทำปฏิกิริยาalkylation
กับ
CH3OH
คำถาม
วิธีการในข้อได้นั้นดีกว่ากัน
ให้เหตุผลประกอบด้วย
ปรากฏว่าปีนี้พวกที่ใช้วิธีจำข้อสอบเก่าโดยดูว่าคล้ายกับข้อสอบเก่าข้อไหนก็ลอกแยวเฉลยข้อสอบเก่าลงไปเลย
โดนหลอกเป็นแถว
(พวกนี้ตอบว่าเติมหมู่อัลคิลก่อน
เพราะเป็นหมู่ ring
activating จากนั้นจึงเติมหมู่
NO2
ซึ่งจะทำได้ง่ายขึ้น)
สิ่งที่โจทย์ต้องการคือโครงสร้าง
m-
ดังนั้นต้องทำแบบ
(ข)
คือทำ
nitration
ก่อน
แล้วจึงค่อยทำ alkylation
เพราะถ้าไปทำการเติมหมู่อัลคิลก่อน
จะได้โครงสร้างแบบ o-
หรือ
p-
ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่โจทย์ต้องการ
เรื่องที่
๓ สีเปลี่ยนหรือไม่
อย่างไร
ในการทดลองนั้นมักจะให้มีการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสี
ซึ่งมักจะใช้เป็นสิ่งบ่งบอกว่ามีการเกิดปฏิกิริยาขึ้นหรือไม่
แต่ในความเป็นจริงนั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงสีก็ได้
ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการทำปฏิกิริยาเกิดขึ้น
ปีที่
๑ นำ
Toluene
(C6H5(CH3))
Ethyl benzene
(C6H5(CH2CH3)
และ
Styrene
(C6H5(CH=CH2))
อย่างละ
1
ml
ใส่ลงในหลอดทดลอง
3
หลอด
จากนั้นหยดสารละลาย I2
ใน
CCl4
ลงไปหลอดละ
5
หยด
คำถาม 1.1
ถ้าเก็บหลอดทดลองไว้ในที่ร่ม
ให้เขียนปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในแต่ละหลอด
และผลิตภัณฑ์ที่ได้
1.2
ถ้านำหลอดทดลองไปตากแดด
ให้เขียนปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในแต่ละหลอด
และผลิตภัณฑ์ที่ได้
ในการเรียนปฏิกิริยา
halogenation
ของอัลเคนและอัลคีนนั้น
ตำรามักจะยกตัวอย่างที่เป็น
Cl2
และ
Br2
โดยมักจะไม่กล่าวถึง
F2
และ
I2
ทั้งนี้เป็นเพราะปฏิกิริยากับฟลูออรีนนั้นรุนแรงมาก
ส่วนไอโดดีนนั้นจะไม่สามารถเข้าแทนที่อะตอมไฮโดรเจนได้
จะเข้าได้ตรงตำแหน่งพันธะคู่เท่านั้น
ยิ่งเป็นส่วนที่เป็นวงแหวนจะเกิดยากขึ้นไปอีก
ดังนั้นในกรณีนี้จะเกิดปฏิกิริยาเฉพาะสไตรีนโดยจะเกิดการแทนที่ที่ตำแหน่งพันธะคู่
ดังนั้นจะเห็นการฟอกสีสารละลายโดยสีม่วงของไอโอดีนจะจางหายไป
ส่วนอีกสองหลอดที่ไม่มีการทำปฏิกิริยานั้นจะไม่เกิดการฟอกสี
ข้อสอบทำนองนี้ก็เคยออกไว้หลายครั้ง
และมีการเฉลยให้นิสิตหลายรุ่น
แต่ในครั้งล่าสุดที่ผ่านมาก็มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเล็กน้อย
ปีล่าสุด.
นิสิตกลุ่มหนึ่งทำการทดลองศึกษาปฏิกิริยาการแทนที่อะตอมไฮโดรเจนของเฮกเซน
(hexane
C6H14
ซึ่งไม่มีสี)
ใดยในการทดลองนั้นนิสิตทำการใส่สารละลาย
KI
(ที่มี
I2
ละลายอยู่
สารละลายนี้จะมีสีเหลืองอ่อน)
จำนวน
1.0
ml ลงในหลอดทดลองสองหลอด
จากนั้นจึงเติมเฮกเซนจำนวน
1.0
ml ลงในหลอดทดลองทั้งสองนั้น
หลอดหนึ่งเก็บในที่ร่ม
ส่วนอีกหลอดหนึ่งนำไปตากแดด
โดยมีการเขย่าหลอดทดลองทั้งสองเป็นระยะเพื่อให้เกิดการผสมกันระหว่างชั้นสารละลาย
KI
และชั้นเฮกเซน
คำถาม
เมื่อปล่อยให้ทำปฏิกิริยาไปสักพัก
สีของชั้นสารละลาย KI
และชั้นเฮกเซนในหลอดทดลองทั้งสองหลอดจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่
อย่างไร และถ้ามีการเปลี่ยนสี
การเปลี่ยนสีที่เกิดขึ้นนั้นเกิดด้วยสาเหตุใด
ให้อธิบาย
โจทย์ข้อนี้แตกต่างจากปีก่อน
ๆ ตรงที่ใช้สารละลาย KI
ที่มี
I2
ละลายอยู่
ในขณะที่ปีก่อนหน้านั้นใช้สารละลาย
I2
ใน
CCl4
สารละลาย
I2
ใน
CCl4
นั้นจะมีสีม่วง
และเมื่อหยดลงไปในไฮโดรคาร์บอนก็จะละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้สารละลายผสมสีม่วง
ถ้าเกิดการฟอกสีก็จะเห็นสีม่วงจางลง
ถ้าไม่เกิดการฟอกสีก็จะเห็นสีม่วงคงอยู่ตามเดิม
ดังนั้นในการทดลองนี้ถ้าใช้สารละลาย
I2
ใน
CCl4
ก็จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงสีใด
ๆ
สารละลาย
KI
ที่มี
I2
ละลายอยู่นี้มีสีเหลืองอ่อน
ในขณะที่เฮกเซนไม่มีสี
สารละลาย KI
ที่มี
I2
ละลายอยู่นี้ไม่ละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับเฮกเซน
โดยจะแยกชั้นอยู่ด้านล่าง
I2
ไม่สามารถเข้าไปแทนที่อะตอม
H
ได้ไม่ว่าจะมีแดดหรือไม่มีแดด
แต่ I2
สามารถละลายเข้าไปในชั้นเฮกเซนได้
ดังนั้นสิ่งที่จะเห็นคือสีของชั้นสารละลายKI
จะจางลง
เนื่องจาก I2
ย้ายเข้าไปอยู่ในเฟสของเฮกเซน
แต่สีของชั้นเฮกเซนเปลี่ยนจากใสเป็นเหลืองอ่อนหรือถึงม่วงได้ถ้ามีปริมาณ
I2
ย้ายเข้าไปอยู่มากพอ
(ถ้าใช้ตัวอย่างที่
I2
สามารถเข้าไปแทนที่ได้
สิ่งที่จะเห็นคือสีของชั้นสารละลายKI
จะจางลงแต่สีของชั้นไฮโดรคาร์บอนจะไม่เปลี่ยน)
คำตอบของข้อนี้สำหรับคนที่ไม่ได้ทำการทดลองเองหรือทำการทดลองเองแต่สักแต่ว่าทำให้เสร็จ
ๆ ไปนั้นจะตอบไม่ได้
เพราะจะไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในระหว่างการทดลอง
เปรียบเสมือนนักวิจัยที่ไม่ได้ทำวิจัยเอง
แต่ให้คนอื่นทำให้แล้วรอแต่รายงานที่จะเอาไปพูดต่อ
นักวิจัยเช่นนี้พอโดนซักถามถึงสิ่งต่าง
ๆ
ที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการทดลองเข้าก็จะตอบอะไรไม่ได้เพราะไม่เคยลงมือทำเองหรือไม่ก็ไม่เคยไปดูเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในระหว่างการทดลอง