๒๕.
การทำงานของ
extra
low level trip system ใชัการส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยัง
dump
solenoid valve 2
ตัวที่ควบคุมการไหลของอากาศที่เข้าไปดันแผ่นไดอะแฟรมของวาล์ว
LIC
3-22 และ
HIC
3-22 วาล์วสองตัวนี้ใช้แรงดันอากาศดันให้วาล์วเปิด
ดังนั้นถ้าไม่มีแรงดันอากาศวาล์วจะปิดเนื่องจากแรงของสปริง
ตัว dump
solenoid valve
ทำงานด้วยการจัดเส้นทางการไหลของอากาศว่าจะให้เข้าไปดันแผ่นไดอะแฟรมหรือระบายทิ้งออกสู่อากาศ
แต่ dump
solenoid valve สองตัวนี้มีรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกัน
คือของ LIC
3-22 ใช้สัญญาณไฟฟ้ามากระตุ้นให้ระบายอากาศทิ้ง
ซึ่งจะทำให้ LIC
3-22 ปิดตัวลง
แต่ถ้าไม่มีสัญญาณไฟฟ้าส่งมา
เส้นทางการไหลของอากาศก็จะค้างอยู่ในตำแหน่งส่งไปยังแผ่นไดอะแฟรม
ส่วนของ
HIC
3-22 ใช้สัญญาณไฟฟ้ามากระตุ้นให้คอยส่งอากาศไปยังไดอะแฟรม
ซึ่งถ้าไม่มีสัญญาณไฟฟ้าส่งมา
มันก็จะปรับไปยังตำแหน่งระบายอากาศทิ้ง
ทำให้ HIC
3-22 ปิดตัวลง
ทุกอย่างที่ดูดีตอนออกแบบหรือติดตั้ง
เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่คาดหวังไว้ก็อาจไม่เป็นดังคาด
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบที่หาไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำและทำไว้เมื่อใด
ซึ่งคงจะมาเล่าในตอนต่อไป
๒๖.
การตรวจสอบพบว่าสายไฟที่เชื่อมต่อไปยัง
trip
solenoid LIC 3-22 ถูกปลดออก
"อย่างจงใจ"
ที่
"ห้องควบคุม"
และ
trip
solenoid ของ
HIC
3-22 ถูกถอดออกและ
bypass
เอาไว้
(เพราะถ้าไม่
bypass
เอาไว้จะทำให้
dump
solenoid valve ของ
HIC
3-22 ระบายอากาศทิ้ง
ซึ่งจะทำให้ HIC
3-22 ปิดตัวลง)
ดังนั้นแม้ว่า
float
switch จะตรวจพบเหตุการณ์
extra
low level ที่
V305
สัญญาณไฟฟ้าที่
trip
solenoid ส่งไปสั่งให้
dump
solenoid valve ของ
LIC
3-22 ระบายอากาศทิ้งจะเดินทางไปไม่ถึง
(เพราะสายไฟถูกปลดออก)
และสัญญาณไฟฟ้าที่ควบคุมให้
dump
solenoid valve ของ
HIC
3-22 เปิดอยู่จะยังคงค้างอยู่
(เพราะมันไม่ต้องเดินทางผ่าน
trip
solenoid ที่ถูกถอดออกไป)
๒๗.
มีการให้ความเห็นเรื่องการปลดสายไฟของ
trip
solenoid ของ
LIC
3-22 เอาไว้ในบันทึกในปีค.ศ.
๑๙๘๕
(พ.ศ.
๒๕๒๘
หรือประมาณ ๒ ปีก่อนเกิดเหตุ)
โดย
senior
instrument engineer
และมีร่างบันทึกการแก้ไขที่อาจทำไว้ก่อนหน้านั้นหลายปี
ที่เขียนไว้บนผังการต่อสายที่แสดงให้เห็นว่า
การปลดสายไฟนี้เป็น
"การปลดเพียงชั่วคราว
ทางด้านหลังของแผงควบคุม"
ซึ่งตรงประเด็นนี้ได้มีการพิจารณาความเป็นไปได้
๓ ทางที่ทำให้มีการปลดสายไฟเส้นนี้คือ
(ก)
สายไฟนี้ถูกพิจารณาว่าเป็นส่วนของ
turbine
ที่ไม่มีการใช้งานแล้ว
จึงไม่มีความจำเป็น
(ข)
vortex ที่เกิดขึ้นในขณะที่ของเหลวไหลออกจาก
V305
มักทำให้เกิดสัญญาณลวงบ่อยครั้ง
และในช่วงที่กำลังการผลิตสูง
สัญญาณลวงนี้มักทำให้เกิดความยากลำบากในการเดินเครื่อง
(ค)
การเข้าไปใช้งานวาล์ว
bypass
SP25 (รูปที่
๑๒ ในตอนที่แล้ว)
ทำได้ยุ่งยาก
ทำให้โอเปอร์เรเตอร์ต้องการที่จะสามารถเปิด
LIC
3-22 ได้แม้ว่าระดับของเหลวจะต่ำกว่าระดับ
extra-low
level ทั้งนี้เพื่อให้สามารถระบายของเหลวออกจาก
V305
ได้หมดก่อนที่จะทำการหยุดเดินเครื่อง
เวลาที่ของเหลวไหลออกทางรูระบาย
ของเหลวจะมีการไหลหมุนวน
ทำให้ระดับของเหลวตรงบริเวณตอนกลางของรูนั้นลดต่ำลงกว่าบริเวณรอบข้าง
เรียกว่าการเกิด vortex
ปรากฏการณ์นี้จะเห็นชัดถ้าระดับของเหลวนั้นต่ำมากพอและของเหลวไหลออกด้วยอัตราการไหลที่สูง
vortex
นี้จะดึงเอาแก๊สเหนือผิวของเหลวให้ผสมเป็นฟองแก๊สไหลลงไปพร้อมกับของเหลวที่ไหลออกไปด้วย
การป้องกันการเกิด vortex
นี้สามารถทำได้ด้วยการลดอัตราการไหลให้ต่ำลงเมื่อระดับของเหลวในถังนั้นลดต่ำลง
หรือด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ที่เรียกว่า
vortex
breaker ไว้บริเวณช่องทางให้ของเหลวไหลออก
(อ่านเรื่องเกี่ยวกับ
vortex
breaker ได้ใน
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๐๐ วันศุกร์ที่
๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "Vortex breaker")
เวลาที่ต้องการหยุดการเดินเครื่องเพื่อการซ่อมบำรุงนั้น
จำเป็นต้องระบายของเหลวที่ค้างอยู่ใน
vessel
ออกให้มากที่สุด
ซึ่งในกรณีนี้สามารถกระทำได้ด้วยการเปิดวาล์ว
bypass
SP25 แต่ในกรณีนี้ดูเหมือนว่าการเข้าไปเปิดวาล์ว
SP25
ทำได้ยุ่งยาก
(ซึ่งก็ไม่มีคำอธิบายว่ายุ่งยากอย่างไร
ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งตำแหน่งติดตั้งที่เข้าถึงได้ยากหรือไม่มีที่ว่างมากพอสำหรับการปฏิบัติงานได้สะดวก
หรือตัววาล์วเปิดได้ยากเนื่องจากไม่ค่อยมีการใช้งาน)
ก็เลยมีการสร้างวิธีปฏิบัติใหม่ขึ้นมาด้วยการเปิดวาล์วควบคุม
LIC
3-22 แทน
แต่วาล์วตัวนี้ถูกควบคุมเอาไว้ด้วย
float
swith ที่จะสั่งปิดวาล์วถ้าระดับของเหลวใน
V305
ต่ำเกินไป
ดังนั้นจึงต้องทำการปลดสายสัญญาณที่จะส่งไปยัง
LIC
3-22 ออกเพื่อให้สามารถเปิดวาล์วได้จนของเหลวระบายออกจาก
V305
จนหมด
๒๘.
โอเปอร์เรเตอร์หลายคนรู้ว่าระบบ
trip
นี้ไม่ทำงาน
เนื่องจากเคยพบเหตุการณ์ที่ระดับของเหลวนั้นลดต่ำลงกว่าระดับที่ระบบ
trip
จะทำงาน
แต่วาล์วก็ยังคงเปิดอยู่
และก่อนที่จะทำการปลดระบบ
trip
นี้ออกไปก็ไม่ได้มีการประเมินว่าจะมีผลกระทบที่สำคัญอะไรบ้างตามมา
การทดสอบและการรายงานความบกพร่อมที่กระทำกันอยู่ก็ไม่ได้ทำให้ประเด็นนี้เด่นชัดขึ้นมา
และเรื่องนี้ของหน่วย
hydrocracker
ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับกันทั่วไปอย่างน้อยก็ในระดับที่ขึ้นมาสูงถึงระดับ
process
supervisor
รูปที่
๑๗ แผนผังความรับผิดชอบ
(สายการบังคับบัญชา)
ของผู้ปฏิบัติงาน
เหตุการณ์ตรงนี้มันเหมือนกับว่าระดับล่างรู้ว่ามันมีอะไรที่ไม่ถูกต้องอยู่
แต่เมื่อเรื่องเข้าสู่ระบบการรายงานขึ้นไปแล้วมันก็ไม่มีการสั่งการอะไรลงมา
นอกจากนี้ตัวโรงงานก็ยังสามารถเดินเครื่องกระบวนการผลิตไปได้เรื่อย
ๆ เพียงแต่ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น
มันก็คงเหมือนกับการยอมรับเรื่องที่ไม่ถูกต้องว่าเป็นเรื่องปรกติกันแบบกลาย
ๆ และใช้การป้องกันด้วยคนแทนการใช้ระบบอัตโนมัติ
ปัญหาทำนองนี้เคยพบเหมือนกันในแลปเมื่อ
๕ ปีที่แล้ว
ตอนนั้นบังเอิญได้ยินเสียงรุ่นพี่เตือนรุ่นน้องที่กำลังจะเปลี่ยนถังแก๊ส
(gas
cylinder) ที่ใช้กับเครื่องวัดพื้นที่ผิว
BET
ว่าให้ระวังไฟดูด
ตอนนี้ได้ยินนั้นก็งงเหมือนกันว่ามีไฟรั่วมาที่ถังแก๊สได้อย่างไร
แต่พอเอาไขควงเช็คไฟไปจิ้มดูก็พบว่ามันมีไฟรั่วอย่างอ่อน
ๆ จริงทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปัญหานี้
พอไล่ระบบไปเรื่อย ๆ
ก็พบว่ามันเกิดจากการมีการสับเปลี่ยนเต้ารับที่จ่ายไฟให้เครื่องวัดพื้นที่ผิว
BET
และคอมพิวเตอร์ควบคุม
คือระบบไฟเดิมของห้องที่ติดตั้งเครื่องนั้นเป็นระบบที่มีสายดิน
และตัวอุปกรณ์ก็ต่อกับเต้ารับของระบบนี้
ต่อมาภายหลังมีการเดินไฟสำหรับเต้ารับเพิ่มแต่เป็นแบบไม่มีสายดิน
อยู่มาวันหนึ่งมีการย้ายไปเสียบปลั๊กของระบบที่ไม่มีสายดินทั้งตัวเครื่อง
BET
และคอมพิวเตอร์
มันก็เลยเกิดปัญหาไฟดูดขึ้น
แต่พอย้ายปลั๊กกลับไปที่เต้ารับที่มีสายดินปัญหาก็หายไป
๒๙.
ตัว
trip
solenoid ของ
HIC
3-22 ถูกถอดและ
bypass
ออกไปในปีค.ศ.
๑๙๘๖
(พ.ศ.
๒๕๒๙)
หลังจากได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้
(รายงานไม่ได้บอกว่าเพลิงไหม้จากอะไร)
แต่แม้ว่าการสอบสวนจะพบว่า
HIC
3-22 นั้นปิดอยู่และไม่มีส่วนร่วมใด
ๆ กับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
แต่ทางคณะกรรมการสอบสวนก็พิจารณาว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่มีศักยภาพที่จะทำให้เกิดปัญหาเช่นกัน
(เพียงแต่ว่ามันไปเกิดกับ
LIC
3-22 แทน)
๓๐.
โอเปอร์เรเตอร์กล่าวว่าสัญญาณไฟเตือน
extra-low
level alarm ติดค้างมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือน
ก่อนที่จะดับไปก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ
(คงเป็นเพราะด้วยการที่แม้ว่าไฟเตือนจะติดค้าง
แต่กระบวนการผลิตก็ยังดำเนินไปได้อย่างปรกติ)
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โอเปอร์เรเตอร์ต่างคิดว่าสัญญาณดังกล่าวเป็นสัญญาณลวง
เมื่อทำการตรวจสอบแผงวงจร
extra-low
level alarm พบว่าแผงวงจรทำงานปรกติ
ส่วนตัว float
switch ทั้งสองตัวนั้นแม้ว่าจะได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้
แต่ก็มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า
float
switch ตัวหนึ่งนั้นได้รับการประกอบที่ไม่ถูกต้อง
ส่วนท่อขนาดเล็ก (ที่เชื่อมต่อของเหลวใน
bridle
กับตัว
float
switch อีกตัวหนึ่งนั้นมีการอุดตัน
(ทำให้มีของเหลวค้างอยู่ใน
float
switch ได้แม้ว่าระดับของเหลวจะลดต่ำลงจนต่ำกว่าระดับล่างสุดของ
bridle
แล้ว)
ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ว่าในขณะเกิดเหตุนั้น
float
switch ทั้งสองตัวไม่ได้อยู่ในสภาพที่ทำงานได้
๓๑.
ข้อมูลที่บันทึกไว้ด้วย
"Treand
chart recorder" ให้บันทึกสภาพการทำงานของหน่วย
hydrocracker
แต่ข้อมูลที่บันทึกไว้นั้นไม่สอดประสานกัน
(ในรายงานใช้คำว่า
"synchronised"
ซึ่งน่าจะหมายถึงข้อมูลมีการบันทึก
แต่จังหวะเวลานั้นไม่ตรงกัน)
ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการแปลผล
และสอบเทียบเคียงกับหลักฐานอื่น
นอกจากนี้ปากกาบันทึกข้อมูลหลายตัวยังไม่ทำงาน
ข้อมูลที่แสดงในรูปที่
๑๘ คือค่าที่เครื่อง recorder
บันทึกเอาไว้
กราฟในรูปที่ ๑๘ บนแสดงให้เห็นว่า
float
gauge ตรวจวัดการลดระดับของของเหลวใน
V305
ประมาณ
45
นาทีก่อนเกิดการระเบิด
แต่ไม่ได้แสดงค่าในช่วงเวลาก่อนเกิดการระเบิด
(ด้วยคงเป็นว่าระดับของเหลวใน
V305
นั้นต่ำกว่าระดับที่
float
gauge จะวัดได้
แต่ตรงนี้ขอให้พึงสังเกตว่าค่าระดับต่ำสุดที่ทั้ง
float
gauge และ
nucleonic
gauge วัดได้นั้นไม่ใช่
0%
แต่เป็น
"10%")
และในช่วงเวลาประมาณ
4
นาทีก่อนเกิดการระเบิดพบว่าความดันภายใน
V305
ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
(กราฟในรูปที่
๑๘ ล่างที่มีการทิ้งดิ่งลงอย่างรวดเร็ว)
ข้อมูลความดันใน
V305
ที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็วนี้สอดคล้องกับข้อมูลของผู้เห็นเหตุการณ์ที่กล่าวว่า
pressure
relief valve ของ
V306
เปิดระบายความดันก่อนที่จะเกิดการระเบิด
ซึ่งยืนยันว่ามีแก๊สความดันสูงรั่วไหลจาก
V305
เข้าสู่
V306
รูปที่
๑๘ กราฟบันทึกข้อมูลการทำงานของหน่วย
hydrocracker
(สเกลเวลาแกนนอนไล่จากขวามาซ้าย)
รูปบนคือระดับของเหลวที่ก้น
V305
HP separator ที่
float
gate และ
nucleonic
gauge อ่านค่าได้
รูปกลางคือระดับของเหลวที่
V306
LP separator และรูปล่างสุดคือค่าความดันที่
V305
๓๒.
ของเหลวจาก
V306
ถูกส่งต่อไปยัง
amine
plant แต่เนื่องจากไม่มีการบันทึกข้อมูลความดันภายใน
V306
และข้อมูลความดันที่
amine
plant บันทึกไว้ก็ไม่ได้แสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงความดันเกิดขึ้น
หลักฐานนี้จึงยืนยันว่าเส้นทางการไหลออกจาก
V306
ถูกปิดเอาไว้
ตรงนี้ก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่า
ถ้าเส้นทางการไหลออกจาก
V306
เปิดอยู่
จะสามารถป้องกันไม่ให้ V306
ระเบิดได้หรือไม่ด้วยแก๊สบางส่วนสามารถไหลเข้าสู่
amine
plant ได้
ส่วนจะไปเกิดการระเบิดที่
amine
plant แทนหรือไม่นั้นก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
๓๓.
โอเปอร์เรเตอร์ต่างปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องกับการปรับแต่งอะไรก่อนเกิดเหตุการระเบิด
ทั้ง ๆ ที่มันสามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่ข้อมูลระดับของเหลวที่บันทึกเอาไว้แสดงให้เห็นว่ามีการเปิด-ปิด
LIC
3-22 ด้วยระบบ
manual
อย่างน้อย
3
ครั้งหลังการเปลี่ยนกะเมื่อเวลา
๖.๐๐
น (รูปที่
๑๘ บน ตรงที่เห็นระดับของเหลวลดลงแบบเป็นขั้น)
ทำให้ระดับของเหลวใน
V305
ลดต่ำลง
และในการเปิดครั้งสุดท้ายก่อนเกิดการระเบิดทำให้ของเหลวใน
V305
ไหลออกจากหมด
ทำให้แก๊สความดันสูงไหลเข้าสู่
V306
ได้
และด้วยการที่ระบบ extra-low
level alarm ไม่อยู่ในสภาพใช้งานได้
LIC
3-22 จึงไม่ปิดตัวลงอย่างอัตโนมัติ
ตรงนี้ขอขยายความนิดนึง
ระบบบันทึกข้อมูลแบบเก่า
(ก่อนยุคดิจิตอลคอมพิวเตอร์)
นั้นใช้
recorder
ที่อาจมีปากกาหลายตัวติดตั้งอยู่
โดยตัวปากกาจะเลื่อนขึ้นลงในแนวความกว้างของกระดาษตามค่า
%
สัญญาณที่อ่านได้
ในขณะที่กระดาษจะเคลื่อนที่ไปเรื่อย
ๆ ด้วยอัตราเร็วที่กำหนด
ทำให้เกิดเป็นเส้นกราฟบนกระดาษ
โดยขอบล่างของกระดาษจะเป็นค่า
0%
และขอบบนของกระดาษจะเป็นค่า
100%
และในกรณีที่
recorder
มีปากกาอยู่หลายตัวนั้นตัวปากกาอาจจะวางเหลื่อมกันอยู่เล็กน้อย
(เพื่อไม่ให้มันตีกันเวลาที่มันเคลื่อนที่ไปมาตามความกว้างของกระดาษ)
ทำให้สเกลในแนวแกน
x
ของกราฟแต่ละเส้นเหลื่อมกันเล็กน้อยได้
(ดูรูปที่
๑๙ ข้างล่างประกอบ)
รูปที่
๑๙ ตัวอย่าง chart
recorder ที่ใช้ในห้องแลป
(ตัวนี้อายุเกือบ
๔๐ ปีแล้ว)
ตัวนี้ติดปากกาเมจิกได้
๓ แท่งสำหรับบันทึกสัญญาณจาก
๓ แหล่ง ปากกา 1
จะอยู่ในสุดและอยู่ต่ำสุด
ถัดมาคือปากกา 2
ที่ยื่นออกมามากกว่าและอยู่สูงกว่าปากกา
1
และอยู่สูง
และปากกา 3
ที่ยื่นออกมามากที่สุดและอยู่บนสุด
ทำให้ปากกาแต่ละตัวเคลื่อนตัวได้อย่างอิสระตามความกว้างของกระดาษ
ดังนั้นที่เวลาเดียวกัน
สเกลแกน x
ของแต่ละกราฟจะเหลื่อมกันเล็กน้อย
ส่วนสเกลแกน y
นั้นสเกล
0%
อยู่ทางด้านซ้ายและสเกล
100%
อยู่ทางด้านขวา
ปุ่มทางด้านขวาจะมีปุ่มปรับ
"zero"
คือจะให้ค่าต่ำสุดของสัญญาณอยู่ที่ตำแหน่งใดของกระดาษ
(เช่นอาจให้อยู่ที่ตำแหน่ง
0%
หรือสูงกว่าก็ได้ที่เรียกว่าให้มี
offset)
และปุ่มปรับช่วง
"range"
ของสัญญาณว่าจะให้สัญญาณแรงเท่าใดปากกาจึงจะเคลื่อนตัวเต็มสเกลกระดาษ
เช่นในกรณีที่สัญญาณไม่แรงนั้นอาจกำหนดให้ช่วง
0-100%
คือช่วง
0-1
mV (เพื่อให้อ่านค่าน้อย
ๆ ได้ง่าย)
แต่ถ้าเป็นสัญญาณที่แรงก็อาจกำหนดให้ช่วง
0-100%
เป็นช่วง
0-50
mV (เพื่อไม่ให้กราฟเกินเลยความกว้างของกระดาษ)
แม้ว่าตัวนี้จะไม่ใช่ของที่ใช้บันทึกข้อมูลสำหรับโรงงาน
แต่หลักการทำงานก็เป็นแบบเดียวกัน
เพียงแต่ปากกาของในโรงงานจะเป็นแบบเติมน้ำหมึกได้
๓๔.
ปรกติน้ำมันหนักก็มีจุดหลอมเหลวสูงอยู่แล้ว
ยิ่งเป็นช่วงที่มีสภาพอากาศเย็นก็ยิ่งมีโอกาสแข็งตัวได้ง่ายอีก
ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการทำ
"steam
tracing" (คือการใช้ท่อเล็ก
ๆ พันไปรอบ ๆ ที่ต้องการให้ความร้อน
และให้ไอน้ำไหลผ่านท่อเล็ก
ๆ นั้น)
ให้กับท่อที่ต่อเข้ากับอุปกรณ์วัดระดับ
แต่ถึงกระนั้นก็ตามท่อเหล่านั้นก็ยังมีโอกาสอุดตัดได้เมื่ออากาศเย็น
โดยเฉพาะท่อขนาดเล็กที่เชื่อมต่อ
float
gauge และ
extra-low
level switch เข้ากับ
bridle
ทำให้โอเปอร์เรเตอร์พบว่า
floate
gauge อ่านค่าผิดบ่อยครั้ง
สิ่งนี้นำมาซึ่งการที่โอเปอเรเตอร์เกิดความไม่ไว้วางใจการทำงานของ
float
gauge และให้ความเชื่อมั่นกับค่าที่
nucleonic
gauge อ่านได้มากกว่า
เพราะโอกาสที่ท่อเชื่อมต่อ
bridle
จะอุดตันหรือของเหลวใน
bridle
เกิดการแข็งตัวนั้นมีน้อยกว่า
และในช่วงเช้าวันที่เกิดเหตุนั้น
อากาศก็เย็นซะด้วย
ตรงนี้ถ้าเรากลับไปดูกราฟรูปที่
๑๘ บน ที่ช่วงแรกทั้ง float
gauge และ
nucleonic
gauge อ่านค่าระดับได้สูง
แต่ต่อมา gauge
ทั้งสองพบว่าระดับใน
V305
ลดลง
โดยค่าที่ necleonic
gauge อ่านได้คือ
"10%"
และคงที่ระดับนี้จนกระทั่งเกิดการระเบิด
ในขณะที่ float
gauge อ่านค่าได้สูงกว่า
ตรงนี้ถ้าโอเปอร์เรเตอร์แปลว่าท่อต่อเข้า
float
gauge เกิดการอุดตัน
ทำให้ระดับของเหลวใน float
gauge ค้างอยู่ที่ระดับสูง
จึงทำให้ไม่สนใจค่าระดับที่
float
gauge วัดได้ที่มีการลดลง
แต่กลับเชื่อค่าที่ necleonic
gauge อ่านได้ว่าระดับยังคงที่อยู่
ก็อาจเป็นได้
และด้วยการที่ระดับต่ำสุดที่
nucleonic
gauge อ่านได้นั้น
สูงกว่าระดับต่ำสุดที่ float
gauge อ่านได้
เมื่อโอเปอร์เรเตอร์เชื่อค่าของ
nucleonic
gauge ที่แสดงบนกระดาษกราฟ
ก็คงจะทำให้เชื่อต่อไปด้วยว่าใน
V305
ยังมีของเหลวอยู่
๓๕.
สิ่งหนึ่งที่โอเปอร์เรเตอร์
"ไม่รู้"
ก็คือ
ตำแหน่งปากกาของ nucleonic
gauge ของ
V305
ถูกตั้งให้มีการ
"offset"
เอาไว้
"10%"
(โดยใครก็ไม่รู้
แถมไม่มีการบอกกล่าวด้วย)
กล่าวคือถ้า
nucleonic
gauge อ่านค่าระดับได้
0%
ตำแหน่งปากกาบนกระดาษจะอยู่ที่
10%
และในทำนองเดียวกัน
การวัดระดับของเหลวใน V306
ก็ใช้ทั้ง
float
gauge และ
nucleonic
gauge (ดูรูปที่
๑๒ ในตอนที่ ๓)
และการบันทึกระดับที่
float
gauge อ่านได้ก็มีการตั้งค่า
offset
ไว้เช่นกัน
กล่าวคือถ้า float
guage ของ
V306
อ่านค่าระดับได้
0%
ตำแหน่งปากกาบนกระดาษจะอยู่ที่ประมาณ
5%
(ดูรูปที่
๑๘ กลาง)
นอกจากนี้ระดับของเหลวที่
float
gauge ของ
V306
อ่านได้ยังแสดงให้เห็นการเพิ่มระดับของเหลวใน
V306
เมื่อระดับของเหลวใน
V305
ลดต่ำลง
(กราฟทางด้านขวา)
ก่อนที่เส้นกราฟจะตกกลับมาที่ระดับ
10%
ซึ่งเป็นผลจากการระบายของเหลวไปยังหน่วยกลั่นแยก
และมีการพบระดับของเหลวเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งก่อนการระเบิด
ซึ่งตรงกับการเปิด LIC
3-22 ครั้งสุดท้ายก่อนการระเบิด
(ว่าแต่ใครเป็นคนเปิดก็ไม่รู้)
๓๖.
น้ำมันจาก
V306
ไหลไปยังหน่วยกลั่นผ่านทางวาล์วควบคุม
FIC
3-21 วาล์วควบคุม
FIC
3-21 นี้เมื่อสั่งปิดจาก
control
room จะปิดได้ไม่สนิท
จะยังมีน้ำมันรั่วไหลผ่านได้อย่างมีนัยสำคัญ
และในการเริ่มต้นเดินเครื่องนั้นจำเป็นต้องมีของเหลวใน
V306
ในระดับที่เพียงพอเพื่อป้องกันไม่ให้มีแก๊สรั่วไหลจาก
V306
ไปยังหน่วยกลั่น
ด้วยเหตุนี้เพื่อรักษาระดับของเหลวใน
V306
หลังจากที่สั่งปิด
FIC
3-21 แล้วโอเปอร์เรเตอร์ก็ต้องเดินไปปิดวาล์ว
FIC
3-21 ให้แน่นที่ตัววาล์ว
ซึ่งก่อนเกิดเหตุก็มีการทำงานดังกล่าว
จากนั้นจึงทำการเติมของเหลวเข้า
V306
ด้วยการปรับ
LIC
3-22 ไปที่ตำแหน่ง
manual
แล้วเปิดวาล์ว
LIC
3-22 เพื่อให้ของเหลวไหลเข้า
V306
ล่วงมา
๔ ตอนแล้วก็ยังไม่จบ ตอนที่
๕ จะจบได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่สำหรับฉบับนี้ลากยาวมา
๖ หน้าแล้วก็คงต้องขอพักก่อน
ตอนต่อไปจะมาดูกันว่าทางทีมสอบสวนนั้นเขาตรวจสอบสมมุติฐานที่เขาตั้งไว้ด้วยวิธีการใดบ้าง
หมายเหตุเพิ่มเติม
:
ปัญหาเรื่องเต้ารับที่เล่าไว้ในข้อ
๒๘.
นั้นเคยเล่าไว้ใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๑๔ วันศุกร์ที่
๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ เรื่อง
"แค่เปลี่ยนเต้ารับก็สิ้นเรื่อง (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๖๐)"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น