"มันเป็นความเจ็บปวดของโรงกลั่น"
เมื่อต้นสัปดาห์ คนที่เขาโทรมาคุยกับผมบอกผมด้วยประโยคที่เขารับฟังมาจากผู้อื่นอีกที
สารประกอบพาราฟิน
C5
เป็นสารที่มีจุดเดือดอยู่ประมาณอุณหภูมิปรกติของบ้านเรา
ในช่วงที่อากาศเย็น
อุณหภูมิอากาศอาจต่ำกว่าจุดเดือดของสารเหล่านี้
แต่ในช่วงที่อากาศร้อน
อุณหภูมิอากาศก็อาจสูงกว่าจุดเดือดของสารเหล่านี้
ด้วยเหตุนี้จะนำมันไปใช้เป็นแก๊สหุงต้มก็ไม่ได้
แต่จะนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงก็มีปัญหาในการเก็บ
ใน
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๐๕ วันเสารที่ ๑๕
กันยายน ๒๕๕๕ เรื่อง "เอา pentane ไปทำอะไรดี"
ผมก็ได้ลองเสนอแนวความคิดคร่าว
ๆ เกี่ยวกับการหาทางนำเอา
n-pentane
ไปใช้ประโยชน์
มาคราวนี้เขาฝากโจทย์มาให้ผมคิดเล่น
ๆ อีกโดยส่งข้อมูลองค์ประกอบของสาร
(เดาว่าเป็นพวก
light
naphtha) มาให้ผม
2
หน้า
A4
เผื่อให้ผมลองคิดดูว่าน่าจะทำอะไรกันดี
ผมดูข้อมูลของเขาแล้วก็ลองหยิบเอา
isopentane
มาคิดดูก่อนว่าน่าจะเอามาทำอะไรดี
เพราะเขามีสารตัวนี้ในปริมาณที่พอ
ๆ กับ pentane
isopentane
หรือ
2-methyl
butane (รูปที่
๑)
เป็นสารที่มีจุดเดือดต่ำกว่า
n-pentane
อีก
คือมีจุดเดือด 27.7ºC
ในขณะที่
n-pentane
มีจุดเดือดที่
36.0ºC
การที่
isopentane
มีจุดเดือดที่ต่ำกว่าเพราะหมู่
-CH3
ที่เป็นกิ่งนั้นทำให้โมเลกุลของ
isopentane
ไม่สามารถเข้าใกล้กันได้มาก
แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลก็เลยลดลง
จุดเดือดก็เลยลดต่ำลง
เวลาที่สอนเคมีอินทรีย์นั้นผมจะบอกนิสิตเสมอว่า
สารตัวไหนจะทำปฏิกิริยาใดได้นั้นขึ้นอยู่กับว่ามันมีหมู่ฟังก์ชันอะไร
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามันชื่อว่าอะไร
รูปที่
๑ โมเลกุล isopentane
ในวงสีน้ำเงินคือพันธะ
C-H
ของ
tertiary
carbon atom ส่วนในวงสีม่วงคือหมู่
-CH2-
ดังนั้นถ้าทำการออกซิไดซ์
ถ้าการออกซิไดซ์เกิดที่ตำแหน่ง
C-H
ของ
tertiary
carbon atom ก็น่าจะได้
2-methyl-2-butanol
แต่ถ้าการออกซิไดซ์เกิดที่ตำแหน่งหมู่
-CH2-
ก็น่าจะได้
methyl
isopropyl ketone แต่ถ้านำไปทำปฏิกิริยา
dehydrogenation
หรือ
oxidative
dehydrogenation อะตอมไฮโดรเจนที่หลุดออกมาควรจะมาจากตำแหน่ง
tertiary
carbon atom และจากหมู่
-CH2-
ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้น่าจะเป็น
2-methyl-2-butene
(หรือ
isoamylene)
ในกรณีของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวนั้น
มันประกอบด้วยพันธะ C-C
และ
C-H
แต่ความแข็งแรงของพันธะ
C-H
นั้นก็ใช่ว่าจะเหมือนกัน
มันแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่ามันเป็นพันธะ
C-H
ของอะตอมคาร์บอนแบบไหน
ถ้าเป็นโมเลกุล CH4
ก็จะมีความแข็งแรงมากที่สุด
(เกิดปฏิกิริยาได้ยากสุด)
รองลงมาก็จะเป็นของหมู่
methy
-CH3 ตามด้วยหมู่
methylene
-CH2- และพันธะ
C-H
ที่อ่อนแอสุด
(แตกพันธะได้ง่ายสุด)
คือพันธะ
C-H
ของ
tertiary
carbon atom ดังนั้นถ้าคุณลองพิจารณาโครงสร้างโมเลกุล
isopentane
ในรูปที่
๑ คุณก็น่าจะมองเห็นได้ว่าถ้าจะเอา
isopentane
ไปทำปฏิกิริยา
ควรจะเล่นที่ตำแหน่งใดของโมเลกุล
(ดู
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๖๑ วันพุธที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๕๒ เรื่อง
"การเกิดปฏิกิริยาเคมี"
ประกอบ)
โมเลกุล
isopentane
นั้นประกอบด้วยหมู่
-CH3
ถึง
3หมู่
-CH2-
โดยมีหมู่
1
หมู่
และมีพันธะ C-H
ของ
tertiary
carbon atom อีก
1
พันธะ
ดังนั้นถ้าคิดจะนำเอา
isopentane
ไปทำปฏิกิริยา
ก็ควรที่จะพิจารณาที่ตำแหน่งพันธะ
C-H
ของ
tertiary
carbon atom ตัวนี้ก่อน
เพราะมันมีพลังงานพันธะอ่อนสุด
paraffin
(หรือ
alkane)
นั้นสามารถเกิดปฏิกิริยา
free
radical substitution อะตอม
H
ได้
เช่นในปฏิกิริยา halogenation
ด้วย
Cl2
หรือ
Br2
โมเลกุล
Cl2
หรือ
Br2
จะแตกตัวเป็นอะตอม
Cl·
หรือ
Br·
ก่อน
จากนั้นจึงเข้าไปแทนที่อะตอม
H
ร่วมกับการเกิด
HCl
หรือ
HBr
เวลาที่ใช้สารพวกนี้การแทนที่จะเกิดได้ที่ตำแหน่งอะตอม
H
ทุกตำแหน่ง
แต่ที่ตำแหน่ง C-H
ของ
tertiary
carbon atom จะเกิดได้ง่ายที่สุด
ดังนั้นถ้าหากเราใช้อนุมูลอิสระไฮดรอกซิล
(hydroxyl
free radical) HO·
ภายใต้ภาวะการทำปฏิกิริยาและ/หรือมีตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสมเราก็น่าจะได้สารประกอบ
2-methyl-2-butanol
(หรือ
t-amyl
alcolhol) ที่สามารถเกิดปฏิกิริยา
dehydration
ไปเป็น
2-methyl-2-butene
ได้
หรือไม่ก็ทำการออกซิไดซ์ด้วยสารออกซิไดซ์
(oxidising
agent) ที่มีความแรงที่พอเหมาะ
ถ้าการออกซิไดซ์เกิดที่ตำแหน่ง
C-H
ของ
tertiary
carbon atom ก็ควรจะได้
2-methyl-2-butanol
แต่ถ้าเกิดที่หมู่
-CH2-
ก็จะได้
methyl
isopropyl ketone
แต่ถ้าแรงเกินไปก็น่าจะเกิดการตัดสายโซ่คาร์บอนที่ตำแหน่ง
tertiary
carbon atom กับหมู่
-CH2-
หรืออีกแนวทางหนึ่งนั้นนำไปทำปฏิกิริยา
dehydrogenation
หรือ
oxidative
dehydrogenation (แต่ผมเห็นว่าปฏิกิริยา
dehydrogenation
จะเหมาะสมกว่า)
จะทำให้ได้
2-methyl-2-butene
2-methyl-2-butene
ตัวนี้จะเอาไปทำอะไรดี
ทางเลือกหนึ่งคือนำไปผลิตเป็นสารประกอบอีเทอร์ด้วยการทำปฏิกิริยากับเมทานอล
(CH3-OH)
หรือเอทานอล
(C2H5-OH)
จะได้สารประกอบ
tertiary
amyl methyl ether (TAME) หรือ
tertiary
amyl ethyl ether (TAEE)
ที่สามารถใช้เป็นสารเพิ่มเลขออกเทนในน้ำมันเบนซินได้
(รูปที่
๒)
รูปที่
๒ ปฏิกิริยาระหว่าง
2-methyl-2-butene
กับเมทานอลเพื่อสังเคราะห์
t-amyl
methyl ether (TAME) และกับเอทานอลเพื่อสังเคราะห์
t-amyl
ethyl ether (TAEE)
ตารางที่
๑ ข้างล่างเป็นการเปรียบเทียบคุณสมบัติของสารเพิ่มเลขออกเทนตระกูล
oxygenate
บางชนิด
จะเห็นว่าสารประกอบพวกอีเทอร์นั้นเมื่อโมเลกุลใหญ่ขึ้น
การละลายน้ำและค่าความดันไอจะลดลง
แต่ก็จะมีความหนาแน่นพลังงาน
(พลังงานต่อหน่วยน้ำหนัก)
สูงกว่าพวกที่มีโมเลกุลเล็กกว่า
ส่วนตัวอย่างกระบวนการผลิต
TAEE
ก็สามารถอ่านได้จากสิทธิบัตร
US7553995
Method of producing tertiary amyl ethyl ether
ตารางที่
๑ คุณสมบัติของสารเพิ่มเลขออกเทนตระกูล
oxygenate
บางชนิด
(จาก
Timu
Dogu and Dilek Varisli, "Alcohols as alternatives to petroleum
for environmentally clean fuels and petrochemicals", Turk J.
Chem., 31(2007), 551-567)
METOH
- methanol, ETOH - ethanol, MTBE - methyl t-butyl ether, ETBE
- ethyl t-butyl ether,
TAME
- t-amyl methyl ether, TAEE - t-amyl ethyl ether, DEE -
diethyl ether
ปฏิกิริยาการสังเคราะห์
TAME
หรือ
TAEE
นี้ควรจะใช้
2-methyl-2-butene
เป็นสารตั้งต้นแทนการใช้
2-methyl-2-butanol
เพราะการสังเคราะห์อีเทอร์จากแอลกอฮอล์สองชนิดที่แตกต่างกัน
(R1-OH
กับ
R2-OH)
จะเกิดสารประกอบอีเทอร์ได้
3
ชนิดคือ
R1-O-R1
R2-O-R2 และ
R1-O-R2
ปฏิกิริยาการสังเคราะห์อีเทอร์และปฏิกิริยาการทำให้โมเลกุลอีเทอร์แตกหัก
(clevage)
นั้นต่างก็ใช้กรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปฏิกิริยาจะถูกควบคุมโดยค่าคงที่สมดุลเสมอไป
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าสารตั้งต้นกับผลิตภัณฑ์นั้นตัวไหนถูกกระตุ้นด้วยกรดได้ง่ายกว่ากัน
ถ้าสารตั้งต้นถูกกระตุ้นด้วยกรดได้ง่ายกว่า
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ถูกกระตุ้นได้ยากกว่ามาก
ดังนั้นการเกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้กรดที่มีความแรง
(strength)
ที่สูงมาก
และกรดดังกล่าวก็จะไม่แรงพอที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์สลายตัวกลับไปเป็นสารตั้งต้นได้
ในกรณีของการสังเคราะห์อีเทอร์จากแอลกอฮอล์นั้น
ปฏิกิริยาการเกิดอีเทอร์ต้องการกรดที่มีความแรงที่ต่ำกว่าปฏิกิริยาการทำให้อีเทอร์ที่ได้จากการสังเคราะห์สลายตัวกลับมาเป็นแอลกอฮอล์
การสังเคราะห์อีเทอร์จากแอลกอฮอล์นั้นใช้
H2SO4
(มี
pKa
ประมาณ
-3)
ได้ในขณะที่การทำให้โมเลกุลอีเทอร์แตกออกนั้นต้องใช้
HI
(มี
pKa
ประมาณ
-10)
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นว่าในทางปฏิบัติปฏิกิริยาการสังเคราะห์อีเทอร์จะถูกควบคุมด้วยสมดุลเคมี