เมื่อช่วงบ่ายสามโมงวันวาน
มีวิศวกรจากโรงกลั่นแห่งหนึ่งแวะมานั่งคุยที่ห้องทำงาน
เรื่องหนึ่งที่เขาถามขอความเห็นจากผมก็คือ
"จะเอาเพนเทนไปทำอะไรดี"
ซึ่งผมก็ได้ให้ความเห็นจากมุมมองของผมไปแล้ว
ส่วนจะเหมาะสมกับเขาหรือไม่ก็คงต้องให้เขาไปลองพิจารณาดูเอาเอง
ระหว่างขับรถกลับบ้านพอจะมีเวลาจัดระเบียบความคิด
(เย็นวานฝนตกรถติดน่าดู)
รวมกับข้อมูลที่ค้นได้เพิ่มเติม
ก็เลยขอเอาความคิดนั้นมาบันทึกเอาไว้ให้พวกคุณอ่านเล่นกัน
(เผลอ
ๆ อาจได้ทำจริงด้วยนะ)
เพนเทน
(pentane
- C5H12)
เป็นไฮโดรคาร์บอนตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการ
Fluidised-bed
catalytic cracking (FCC)
ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ในการเปลี่ยนให้น้ำมันหนักเป็นน้ำมันเบา
สำหรับอุณหภูมิอากาศในบ้านเราแล้ว
เพนเทนเป็นไฮโดรคาร์บอนที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างแก๊สกับของเหลว
กล่าวคือจุดเดือดของเพนเทนคือ
36ºC
ซึ่งสูงกว่าอุณหภูมิห้องไม่มากนัก
จึงทำให้ระเหยกลายเป็นไอได้อย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิห้อง
นอกจากนี้การมีเพนเทนในน้ำมันเบนซินก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเพราะไม่เพียงแต่จะทำให้น้ำมันเบนซินมีความดันไอสูง
แต่ตัวเพนเทนเองยังมีเลขออกเทนที่ไม่สูงด้วย
(Research
Octane Number - RON) เพียงแค่
62
เท่านั้น)
ความเห็นที่ผมได้ให้เขาไปมีดังนี้
๑.
ผสมเข้าไปในแก๊สหุงต้ม
(LPG)
ตลาดแก๊สหุงต้มหรือแอลพีจีในบ้านเรานั้นมีอยู่สองตลาด
คือตลาดแก๊สหุงต้มในครัวเรือนกับตลาดแก๊สหุงต้มสำหรับรถยนต์
ปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันคือเราต้องมีการนำแอลพีจีเข้าจากต่างประเทศในราคาตลาดโลก
(ซึ่งผมคิดว่ามันสูงกว่าราคาต้นทุนของการผลิตในประเทศที่เราได้จากบ่อแก๊สในอ่าวไทย)
เนื่องจากมีรถยนต์หันมาใช้แอลพีจีเพิ่มมากขึ้น
ทำให้ต้องมีการอุดหนุนราคาแอลพีจี
การที่จะแยกแอลพีจีออกเป็นสองตลาดโดยขายคนละราคา
โดยให้แก๊สหุงต้มสำหรับครัวเรือนขายถูกกว่าแก๊สแอลพีจีเติมรถยนต์คงจะเป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติ
เว้นแต่ว่าจะหาทางทำให้แก๊สหุงต้มสำหรับครัวเรือนนั้นไม่สามารถนำมาใช้กับรถยนต์ได้
แนวความคิดที่ผมลองเสนอเขาไปเล่น
ๆ คือให้ผสมเพนเทนเข้าไปกับแก๊สหุงต้มสำหรับครัวเรือน
การผสมเพนเทนในปริมาณต่ำเข้าไปกับแก๊สหุงต้มสำหรับครัวเรือนนั้นไม่น่าที่จะก่อปัญหาใด
ๆ ให้กับการใช้งานกับเตาแก๊สทั่วไป
เพราะเพนเทนเองก็ระเหยได้ง่ายที่อุณหภูมิห้องอยู่แล้ว
แต่การที่เพนเทนมีเลขออกเทนที่ต่ำก็จะไปดึงให้แก๊สผสมระหว่างแอลพีจีและเพนเทนนั้นมีเลขออกเทนที่ต่ำลง
ซึ่งอาจส่งผลทำให้ผู้ใช้รถที่ใช้แอลพีจีเป็นเชื้อเพลิงไม่กล้าที่จะนำเอาแก๊สหุงต้มสำหรับครัวเรือนมาใช้กับรถยนต์ของตนเอง
ตรงนี้ผมไม่มีข้อมูลว่ากำลังการผลิตเพนเทนของประเทศเรามีเท่าใด
และต้องผสมในปริมาณเท่าใดจึงจะทำให้เลขออกเทนของแก๊สหุงต้มผสมเพนเทนต่ำกว่า
91
ซึ่งเป็นเลขออกเทนต่ำสุดของน้ำมันเบนซินที่ขายอยู่ในบ้านเราในปัจจุบัน
แม้ว่ารถยนต์ปัจจุบันที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการจุดระเบิดนั้นจะสามารถป้องกันการน๊อคได้เมื่อใช้น้ำมันที่มีเลขออกเทนต่ำกว่าที่ควรเป็น
(ด้วยการเปลี่ยนองศาการจุดระเบิด)
แต่ก็จะทำให้เครื่องยนต์กำลังตก
และทางผู้ผลิตรถเองก็ไม่แนะนำให้ทำอย่างนั้นเป็นประจำ
ที่สำคัญคือเลขออกเทนของโพรเพนและบิวเทนที่อยู่ในแก๊สหุงต้มก็จัดว่าสูงเสียด้วย
คือ RON
ของโพรเพนคือ
112
และ
RON
ของบิวเทนคือ
93
(แต่
blending
octane number ของบิวเทนคือ
113)
และถ้าคิดค่า
RON
ของเพนเทนที่
62
ดังนั้นถ้าจะให้ค่าเลขออกเทนของแก๊สหุงต้มต่ำกว่า
90
คงต้องผสมเพนเทนเข้าไปไม่น้อยกว่า
40%
ซึ่งคงทำให้สารผสมที่ได้หมดสภาพเป็นแก๊สหุงต้มไปแล้ว
ดังนั้นวิธีการนี้ผลทางเทคนิค
(ในการลดเลขออกเทนจนใช้กับรถไม่ได้)
อาจจะใช้ไม่ได้จริง
แต่อาจจะให้ผลทางด้านจิตวิทยาได้บ้าง
๒.
เริ่มต้นจากไซโคลเพนเทน
เพนเทนนั้นสามารถเปลี่ยนไปเป็นไซโคลเพนเทน
(cyclopentane
- C5H10) ได้
ตัวอย่างวิธีการหนึ่งได้แก่สิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
5,283,385
ลงวันที่
1
กุมภาพันธ์
1994
ในหัวข้อ
"Upgrading
of normal pentane to cyclopentane" (ตามไฟล์ที่ผมแนบมาให้ดู)
ที่สำคัญคือสิทธิบัตรฉบับนี้กำลังจะหมดอายุในเวลาอันใกล้แล้ว
๒.๑
ใช้เพิ่มเลขออกเทนของน้ำมันเบนซิน
ไซโคลเพนเทนนั้นมีจุดเดือดสูงกว่าเพนเทน
(49ºC
สำหรับไซโคลเพนเทน)
มีเลขออกเทนที่สูงกว่า
(RON
101.3 แต่
blending
octane number สูงถึง
141)
และมีค่าความดันไอ
(Reid
Vapour Pressure หรือ
RVP)
ที่ต่ำกว่า
ดังนั้นไซโคลเพนเทนจึงเป็นตัวที่เหมาะสมกว่าเพนเทนในการนำมาผสมกับน้ำมันเบนซิน
๒.๒
ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเส้นใย
อันที่จริงทางโรงกลั่นที่เขามาถาม
ผมเดาว่าเขาไม่อยากจะขายมันในรูปของเชื้อเพลิงเท่าไรนัก
เพราะราคามันถูกเมื่อเทียบกับการนำไปแปลงสภาพเป็นสารอื่นที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในปิโตรเคมีได้
อีกแนวทางหนึ่งของการใช้ไซโคลเพนเทนที่ผมคุยกับเขาคือเป็นไปได้ไหมที่จะนำมาทำปฏิกิริยาเลียนแบบไซโคลเฮกเซน
(cyclohexane
- C6H12)
ไซโคลเฮกเซนนั้นเป็นสารตั้งต้นสำหรับใช้ในการผลิตไซโคลเฮกซานอล
(cyclohexanol
- C6H11-OH) กับไซโคลเฮกซาโนน
(cyclohexanone
- C6H10=O)
ซึ่งสารสองตัวนี้จะถูกเปลี่ยนต่อไปเป็น
adipic
acid, 6-aminohexanoic acid หรือ
hexamethylenediamine
(ผ่านทาง
caprolatam)
ซึ่งสารเหล่านี้เป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตเส้นใยไนลอน
(Nylon
6 และ
Nylon
6,6)
ผมลองคิดเล่น
ๆ ดูว่าถ้าเราเริ่มจากไซโคลเพนเทนเราก็น่าจะได้ไซโคลเพนทานอล
(cyclopentanol
- C5H10-OH) กับไซโคลเพนทาโนน
(cyclopentanone
- C5H8=O)
ซึ่งสารสองตัวหลังนี้อาจถูกเปลี่ยนต่อไปเป็น
glutaric
acid, 5-amino-pentanoic acid หรือ
pentamethylenediamine
(ทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ
แค่ลองคิดตามสมการอินทรีย์เคมีเล่น
ๆ ก่อน)
เท่าที่ลองค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตดูคร่าว
ๆ ก็พบว่ามีการนำสารบางตัวในย่อหน้าข้างต้นเช่น
glutaric
acid ไปเปลี่ยนเป็น
1,5-pentanediol
(ด้วยการรีดิวซ์หมู่
-COOH
ที่ปลายโซ่ทั้งสองข้าง)
เพื่อไปใช้ผลิตเป็นพลาสติกไซเซอร์
หรือนำ glutaric
acid เองไปใช้ในการผลิตเส้นใยพอลิเอสเทอร์อยู่เหมือนกัน
โดยบอกว่าจำนวนอะตอมที่เป็นเลข
"คี่"
มีส่วนไปช่วยลดความยืดหยุ่นของเส้นใย
ซึ่งทำให้ผมแปลกใจ
(เพราะไม่ได้เรียนทางด้านพอลิเมอร์ซะด้วย)
ว่าทำไม
"จำนวนอะตอมที่เป็นเลขคู่หรือเลขคี่"
จึงมีผลต่อคุณสมบัติเส้นใย
แทนที่จะเป็น "ความยาวสายโซ่"
จำนวนอะตอมในที่นี้หมายถึงจำนวนอะตอม
C
ที่อยู่ในสายโซ่
(ดู
http://en.wikipedia.org/wiki/Glutaric_acid)
ส่วนสารตัวไหนหน้าตาเป็นอย่างไรนั้นก็ดูเองในรูปข้างล่างก็แล้วกัน
และสิ่งสำคัญสำหรับพวกปี
๑ คือสัปดาห์หน้าต้องมาติดต่อผมโดยด่วน
เพราะจะมีงานให้เตรียมตัวทำแล้ว
ใครจะเลือกทำวิจัยกับบริษัทไหนจะได้วางตัวกันสักที