วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2567

สถานีรถไฟเปรง MO Memoir : Sunday 17 March 2567

ถนนเลียบคลองประเวศบุรีรมย์ได้มีโอกาสเข้าไปครั้งแรกก็น่าจะตอนที่มอเตอร์เวย์ไปชลบุรีสร้างเสร็จใหม่ ๆ ที่เข้าไปก็เพราะเห็นมีป้ายบอกไปตลาดคลองสวน ๑๐๐ ปีก็เลยอยากรู้ว่าตลาดนี้มันเป็นอย่างไร ถนนตอนนั้นเป็นถนนลาดยางสองช่องทางจราจร ไม่มีไหล่ทาง บางช่วงตรงบริเวณคอสะพานจะมีกระสอบทรายวางกั้นน้ำเวลาน้ำในคลองขึ้นสูง บางช่วงของปีจะมีร้ายขายหนูนาและงูเห่า (สำหรับทำอาหาร) อยู่ริมถนน ช่วงฤดูทำนายังเห็นนาข้าวขึ้นเขียวขจีสองข้างทางในบางช่วง ตลาดคลองสวนตอนนั้นยังเป็นตลาดเงียบ ๆ แบบของชุมชนเล็ก ๆ ยังไม่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบในปัจจุบัน ยังมีร้านขายอาหารตามสั่งแบบธรรมดา ๆ นั่งกินได้ริมคลองแบบเงียบ ๆ รับลมเย็นแบบสบาย

เมื่อตอนต้นเดือนอยากจะลองเปลี่ยนเส้นทางขับรถก็เลยขับเข้าเส้นนี้ใหม่ วันนี้ถนนเส้นนี้กลายเป็นถนนคอนกรีตฝั่งละสามช่องจราจร บรรยากาศร่มรื่นแบบเดิมหายไปหมดแล้ว (แบบเดียวกับถนนเลียบทางรถไฟสายใต้ช่วงจากพุทธมณฑลสาย ๒ ไปยังศาลายา) แต่ครั้งนี้ตั้งใจจะไปหาโอกาสถ่ายรูปสถานีรถไฟสายตะวันออกย่านชานเมืองเก็บสะสมเอาไว้ว่าขณะนี้มีบรรยากาศอย่างไร เผื่อในอนาคตชานเมือนมันจะเปลี่ยนแปลงแบบไม่เหลือเค้าเดิมเพราะกลายเป็นเมืองไปหมดแล้วเช่นตามทางรถไฟสายใต้ ดูจากเวลาที่มีแล้วก็คิดว่าคงแวะได้สักสองที่ และที่เลือกไว้ก็คือสถานีเปรงและคลองแขวงกลั่น สำหรับวันนี้ก็จะเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปของสถานีเปรง ส่วนอีกสถานีขอเอาไว้คราวต่อไป

รูปที่ ๑ รูปจากแผนที่ทหารรหัส L509 จัดทำโดยกองทัพสหรัฐ ฉบับจัดพิมพ์ครั้งแรกที่ใช้ข้อมูลตั้งแต่ปีค.. ๑๙๕๒ (.. ๒๔๙๕) และนำมาประมวลผลในปีค.. ๑๙๕๘ (.. ๒๕๐๑) จะเห็นว่าสถานีเปรง (2) อยู่ระหว่างสถานีคลองหลวงแพ่ง (1) ด้านตะวันตก และสถานีคลองบางพระ (3) ด้านตะวันออก

รูปที่ ๒ ป้ายเก่าบอกชื่อสถานีข้างเคียง ยังบอกว่าอยู่ระหว่างคลองหลวงแพ่งกับคลองบางพระ

รูปที่ ๓ แต่ตอนนี้มีสถานีเพิ่มคือสถานีคลองอุดมชลจรกับคลองแขวงกลั่น

รูปที่ ๔ ป้ายชื่อเก่าประจำอาคารสถานี

รูปที่ ๕ มองไปยังด้านทิศตะวันตก (สถานีคลองอุดมชลจร)

รูปที่ ๖ ตัวอาคารที่ทำการสถานีปัจจุบัน

รูปที่ ๗ มองไปทางทิศตะวันออก (สถานีคลองแขวงกลั่น)

รูปที่ ๘ สุดปลายชานชลาด้านตะวันตก 

รูปที่ ๙ บรรยากาศบริเวณด้านหน้าของอาคารสถานี

รูปที่ ๑๐ ขึ้นมาถ่ายรูปบนสะพานลอยข้ามทางรถไฟ มองไปยังทิศตะวันออก สถานีนี้มี ๖ รางด้วยกัน

รูปที่ ๑๑ จากสะพานลอยมองไปยังด้านทิศตะวันตก

รูปที่ ๑๒ บรรยากาศชุมชนบริเวณรอบตัวสถานีด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

รูปที่ ๑๓ บรรยากาศชุมชนบริเวณรอบตัวสถานีด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ 

 

รูปที่ ๑๔ รูปข่าวจากเว็บหนังสือพิมพ์บ้านเมือง สถานีนี้เคยมีรถไฟบรรทุกปูนซิเมนต์วิ่งเลยสุดราง

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2567

การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๒๐ เรซินแลกเปลี่ยนไอออน (Ion-exchange resin) MO Memoir : Monday 4 March 2567

เมื่อต้นเดือนที่แล้วได้รับเชิญจากตัวแทนจากมหาวิทยาลัย Albany ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้เข้าร่วมฟังการบรรยายการสรุป workshop เกี่ยวกับสินค้าสองทางเป็นเวลาครึ่งวัน (คือเขามีการจัดกันสองวัน โดยในช่วงแรกจัดให้กับหน่วยงานอื่น แล้วมาสรุปรวมกับผู้ที่ได้รับเชิญในบ่ายวันที่สอง) ในบรรดาผู้ที่ได้รับเชิญไปนั้นมีตัวแทนจากบริษัทแห่งหนึ่งที่จัดจำหน่าย "เรซิน" และได้มีการยกประเด็น "เรซิน" นี้ขึ้นมาว่าเป็นสินค้าสองทางในส่วนไหน แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักคำว่า "เรซิน (Resin)" กันก่อนดีกว่าว่ามันคืออะไร

"เรซิน" พวกแรกเป็นของเหลวที่แข็งตัวได้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ (เช่น สัมผัสความชื้นหรืออากาศ, ได้รับความร้อน, ได้รับรังสียูวี, การเติมตัวกระตุ้น (initiator)) ตัวอย่างงานที่ใช้เรซินเหล่านี้ได้แก่ งานเคลือบผิว, เคลือบเส้นใย, ขึ้นรูปวัสดุเส้นใยให้เป็นชิ้นงานของแข็ง (เช่นเรซินไฟเบอร์กลาส) ในรายการ EU List นั้นมีคำว่า "เรซิน" นี้ใช้ควบคู่กับสินค้าควบคุมที่เป็นเส้นใย คือตัวที่เป็นสินค้าควบคุมคือเส้นใย ไม่ใช่เรซินที่ใช้เคลือบเส้นใย

"เรซิน" พวกที่สองเป็นอนุภาคของแข็งที่เราใช้กันในกระบวนการดูดซับหรือแลกเปลี่ยนไอออน (เช่นที่ใช้กันในเครื่องกรองน้ำ) หน้าที่หลักของเรซินเหล่านี้ที่เราพบเห็นกันในชีวิตประจำวันคือการกำจัดสิ่งปนเปื้อนที่ไม่ต้องการออกจากของเหลวหรือแก๊สที่ไหลผ่านมัน และ "เรซิน" กลุ่มนี้เองที่เป็นสินค้าควบคุมโดยอยู่ในหมวด 0B001.f.1 ที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ โดยใช้ในกระบวนการแลกเปลี่ยนไอออน

รูปที่ ๑ "เรซิน" ที่เป็นสินค้าที่ใช้ได้สองทาง อยู่ในหมวด 0B001.f.1 ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแลกเปลี่ยนไอออน

ยูเรเนียมที่เป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์คือ U-235 ในขณะที่ยูเรเนียมส่วนใหญ่ในธรรมชาติคือ U-238 ดังนั้นจึงต้องหาทางทำให้ U-235 มีความเข้มข้นที่สูงมากพอจึงจะนำมาใช้ทำเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ได้ โดยธรรมชาติของธาตุนั้นธาตุตัวเดียวกันไม่ว่าจะเป็นไอโซโทปตัวไหนก็ตาม จะมีพฤติกรรมการทำปฏิกิริยากับสารอื่นที่เหมือนกัน แต่แตกต่างกันอยู่เพียงเล็กน้อยตรงที่ความเร็วในการทำปฏิกิริยา ซึ่งไอโซโทปที่มีมวลมากกว่าจะมีการเคลื่อนที่ที่ช้ากว่า สำหรับธาตุเบา (เช่นไฮโดรเจน) มวลอะตอมที่แตกต่างกันเพียงแค่ 1 หรือ 2 หน่วยก็จัดว่าเป็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจึงสามารถใช้ประโยชน์จากความเร็วในการทำปฏิกิริยาที่แตกต่างกันนี้ในการแยกไอโซโทปสองชนิดออกจากกัน เช่นอาศัยความเร็วในการแพร่เข้า-ออกรูพรุนของแข็งที่แตกต่างกันในการทำปฏิกิริยากับพื้นผิวของแข็งหรือของไหลที่ไหลผ่านภายนอก

รูปที่ ๒ บทความการทำให้ U-235 เข้มข้นขึ้นด้วยการใช้เรซินแลกเปลี่ยนไอออน

รูปที่ ๓ ตัวอย่างสิทธิบัตรการแยกไอโซโทปยูเรเนียมด้วยการใช้การแลกเปลี่ยนไอออน

ในกรณีของธาตุหนักเช่นยูเรเนียมนั้น อัตราส่วนความแตกต่างนั้นมีไม่มาก และสำหรับการผลิตอย่างต่อเนื่องในปริมาณมาก เทคนิคที่ใช้ความแตกต่างของมวลในการแยก (เช่น การแพร่ และ gas centrifuge) ก็ได้รับการพัฒนาจนสามารถทำการผลิตได้ดี แต่ปัญหาของเทคนิคเหล่านี้คือต้องเปลี่ยนยูเรเนียมให้กลายเป็นสารประกอบ UF6 ที่ทำให้เป็นแก๊สได้ง่ายก่อน และขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการใช้กรดกัดแก้ว (Hydrofluoric acid - HF) และแก๊สฟลูออรีนที่ต่างก็มีฤทธิ์กัดกร่อนสูง และตัวแก๊ส UF6 เองก็มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงเช่นกัน

การใช้ความแตกต่างของการแพร่ในการเข้าทำปฏิกิริยาเพื่อทำการแยกไอโซโทปมีการพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในการแยกดิวทีเรียม (duterium) และธาตุเบาต่าง ๆ รวมทั้งการแยกธาตุ rare earth ออกจากกัน ในกรณีของธาตุหนักเช่นยูเรเนียมนั้น แม้ว่าในทางปฏิบัติความสามารถในการแยกจะไม่ทัดเทียมกับเทคนิคการใช้การแพร่ของแก๊สหรือแรงเหวี่ยง แต่ก็มีข้อดีคือไม่ต้องไปยุ่งกับการใช้แก๊สฟลูออรีนและกรดไฮโดรฟลูออริกที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูง (ทั้งในกรณีของการแยกด้วยการแพร่และการใช้แรงเหวี่ยง) และไม่ต้องการอุปกรณ์ขั้นสูง (ทั้งตัววัสดุและอุปกรณ์ควบคุม) ที่ใช้ในการเดินเครื่อง centrifuge ความเร็วรอบสูง (ระดับประมาณ 100,000 รอบต่อนาที)

รูปที่ ๔ อีกตัวอย่างของการทำให้ U-235 เข้มข้นขึ้นด้วยการใช้การแลกเปลี่ยนไอออน

เท่าที่สืบค้นดูพบว่าแนวทางการแยก U-235 ออกจาก U-238 นั้นมีมานานแล้ว และจำนวนมากเป็นงานวิจัยของทางประเทศญี่ปุ่น (ดังตัวอย่างที่นำมาแสดงในรูปที่ ๒-๕) โดยหลักการก็คือให้เรซินที่บรรจุอยู่ในคอลัมน์ทำการดูดซับไอออนสารประกอบยูเรเนียมชนิดหนึ่งเอาไว้ก่อน (ดังเช่นตัวอย่างในรูปที่ ๒ ที่ให้เรซินทำการดูดซับสารประกอบ U6+ เอาไว้ก่อน) จากนั้นจึงเติมสารละลายตัวที่สองเข้าไปเพื่อไปทำปฏิกิริยากับสารประกอบยูเรเนียมที่เรซินดูดซับอยู่นั้น ให้กลายเป็นสารประกอบตัวใหม่และหลุดออกมาจากพื้นผิวเรซิน (ตัวอย่างในรูปที่ ๒ ใช้สารละลายที่มีกรดเกลือ (Hydrochloric acid - HCl) เข้มข้นเป็นองค์ประกอบ และเป็นตัวชะล้างเอาสารประกอบยูเรเนียมบนเรซินออกมา) โดยสารละลายตัวที่สองที่ไหลพ้นคอลัมน์ออกมานั้นจะมีสัดส่วน U-235 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสารละลายตัวแรกที่ให้เรซินดูดซับเอาไว้

ประเทศที่สนใจในเทคโนโลยีนี้และได้ทำการพัฒนาจนสร้างเป็นโรงงานทดสอบต้นแบบเห็นจะได้แก่ประเทศญี่ปุ่นแต่สุดท้ายก็ได้หยุดการพัฒนาไป (รายละเอียดตรงนี้อ่านได้ในเอกสารในรูปที่ ๖ ที่มีการอ้างอิงเอกสาร 14 ฉบับ โดยเป็นเอกสารที่เขียนโดยชาวญี่ปุ่น 12 ฉบับ) แต่แนวความคิดของการพัฒนาในทางทฤษฎีก็ยังมีอยู่ ดังเห็นได้จากการออกแบบโรงงานสำหรับการแยกไอโซโทปของยูเรเนียมด้วยวิธีการนี้ (รูปที่ ๖) ที่ใช้พื้นที่ขนาดประมาณสองเท่าของสนามฟุตบอล (กว้าง 120 เมตร ยาว 120 และสูง 26 เมตร)

รูปที่ ๕ อีกตัวอย่างของการทำให้ U-235 เข้มข้นขึ้นด้วยการใช้การแลกเปลี่ยนไอออน

รูปที่ ๖ บทความนี้พัฒนาไปถึงขั้นการออกแบบโรงงานแล้ว

ในกระบวนการแยกด้วยการแลกเปลี่ยนไอออนนี้ ทั้งสารละลายสารประกอบยูเรเนียมที่ให้เรซินดูดซับเอาไว้ และสารละลายที่เติมเข้าไปเพื่อเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารประกอบที่เรซินดูดซับเอาไว้ให้หลุดออกมา ต่างเป็นสารละลายกรดที่มีกรดเกลือความเข้มข้นสูงเป็นองค์ประกอบ และนี่เอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมการควบคุมของหมวด 0B001.f.1 จึงมีการระบุชัดเจนลงไปเลยว่าเรซินนั้นต้องทนต่อกรดเกลือเข้มข้น (concentrated hydrochloric acid)