วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

ดอกไม้ที่เราเห็นในวันนั้น (สำหรับนิสิตป.ตรี รหัส ๕๒) MO Memoir : Monday 11 March 2556

"We still don't know the name of the flower we saw that day" 
   
ถ้าแปลเป็นไทยก็คงจะได้ว่า "เรายังไม่รู้ชื่อ ดอกไม้ที่เราเห็นในวันนั้น"

การ์ตูนเรื่องนี้มีทั้งสิ้น ๑๑ ตอน แต่เป็นตอนจบที่ผมได้ดูครบตั้งแต่ต้นจนจบเป็นตอนแรก ประโยคบนสุดนั้น เข้าใจว่าเป็นชื่อเรื่องที่แปลตรงจากภาษาญี่ปุ่นมาเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งคิดว่าคงจะไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไรนัก แต่ชื่อที่น่าจะมีคนรู้จักกันมากกว่าคือ "Anohana (อาโนะฮานะ)" 
   
การ์ตูนดังกล่าวเป็นเรื่องราวของเด็ก ๖ คน ประกอบด้วยเด็กผู้ชาย ๓ คนคือ จินตัง ยุกิอะสึ และป๊อปโปะ และเด็กผู้หญิง ๓ คนคือ อานารุ สึรุมิ และเมนมะ

และแล้ววันหนึ่ง "เมนมะ" ก็เสียชีวิต โดยที่ยังไม่ได้ทำให้ "ความปราถนาหนึ่ง" ของเธอเป็นจริง


--------------------------------------------------------------------------------


"แล้วคุณชอบอะไรล่ะ" ผมถามเขา
  
"ผมก็ไม่รู้" เขาตอบผม
  
เช้าวันนั้น วันแรกของการสอบกลางภาค เขามารอพบผม เพื่อจะบอกว่าจะขอลาออกจากการเรียน โดยให้เหตุผลว่า เขาไม่ชอบที่นี่ ไม่ชอบสิ่งที่เรียนอยู่ ทำให้เขาไม่สามารถตั้งสมาธิในการเรียนได้
  
"สิ่งที่คุณบอกว่าจะทำ อันที่จริงแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่แท้จริงของคุณไหม" ระหว่างที่เดินไปด้วยกัน ผมถามเขา
  
"หรือว่าอันที่จริง คุณมีเหตุผลอื่น แต่ใช้การลาออกนี้เป็นข้ออ้าง" ผมถามต่อ
  
ผมไม่ได้รับคำตอบ จากคำถามนั้น และผมก็ไม่คิดว่า ผมต้องได้รับคำตอบ แต่สิ่งสำคัญที่ผมอยากได้ จากคำถามนั้นคือ คนที่ผมถามเขา เขาได้คำตอบของคำถามนี้ไหม

"คำพูด" ไม่ได้บ่งบอกสิ่งที่ผู้พูดคิดเสมอไป บ่อยครั้งที่ต้องใช้ "ความรู้สึก" แปลความหมายคำพูดนั้นอีกครั้ง

ผมเชื่อว่าเด็ก ๆ แต่ละคน ต่างมีความฝัน ฝันว่าโตขึ้น อยากเป็นอะไร แต่สภาพแวดล้อมทางครอบครัว ในโรงเรียน หรือทางสังคมนั้น ทำให้เด็ก ๆ เหล่านั้น ลืมไปว่า ตัวเองเคยฝันอะไรไว้ 
   
บางคนนั้น เมื่อลืมไปแล้ว ก็ลืมไปเลย 
   
บางคนอาจนึกได้ ว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองเคยวาดฝันเอาไว้ แต่ก็นึกไม่ออกว่า เคยวาดฝันอะไรเอาไว้
  
แต่สำหรับคนที่หวนระลึกได้ ว่าสิ่งที่ตัวเองเคยฝันไว้ตั้งแต่เด็ก ๆ นั้น ตอนนี้ยังไม่สมปราถนา เขาควรทำอย่างไร

"ผมมาส่งได้แค่นี้" ผมบอกกับเขา เมื่อเราเดินมาถึงจุดที่ต้องแยกจากกัน
 
เขาเดินตรงต่อไป ผมหันหลังเดินกลับ 
   
วันนั้น ผมสงสัยว่าจะได้เห็นเขาอีกหรือไม่
  
วันนี้ ผมทราบคำตอบแล้ว

--------------------------------------------------------------------------------

หลายปีผ่านไป จากเด็กเล็กกลายเป็นวัยรุ่น แล้วในวันหนึ่ง วิญญาณของเมนมะก็กลับมาปรากฏให้จินตังเห็น เพื่อที่จะบอกว่า เธอเองยังไม่สามารถไปสู่สุคติหรือเกิดใหม่ได้ เนื่องจากความปราถนาข้อหนึ่งก่อนที่จะเสียชีวิตนั้น ยังไม่เป็นจริง 
   
แต่เมนมะจำไม่ได้ว่า ความปราถนาดังกล่าวคืออะไร จึงต้องมาขอร้องให้จินตังช่วย
  
จินตังที่ไม่ยอมไปโรงเรียนมาเป็นเวลานาน เลยต้องกลับไปโรงเรียนใหม่อีกครั้ง เพื่อรวบรวมเพื่อนฝูงเดิมให้ช่วยกันทำให้ความฝันของเมนมะเป็นจริง
  
แต่สิ่งแรกที่จินตังต้องทำคือ ต้องให้เพื่อนฝูง "ยอมรับ" ให้ได้ว่าวิญญาณของเมนมะนั้นยังอยู่ โดยมีเขาคนเดียวเท่านั้นที่มองเห็นและพูดคุยด้วยได้

--------------------------------------------------------------------------------


"คิดดีแล้วเหรอ ที่จะรับคน ๆ นี้"
  
๑๕ ปีที่แล้วอาจารย์หลายท่านถามผมด้วยคำถามนี้ เมื่อเขาทราบว่า มีนิสิตของภาควิชาผู้หนึ่งสนใจจะสมัครเรียนต่อปริญญาโทกับผม และผมก็ยินดีที่จะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ให้เขา
  
"เด็กคนนี้ เป็นเด็กมีปัญหานะ" เขาบอกกับผม
  
"เขามีปัญหาอะไรหรือ" ผมถามกลับ 
   
"ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นเพื่อน ๆ เขาพูด ๆ กันว่า เป็นคนที่มีปัญหา เข้ากับเพื่อน ๆ ไม่ได้" อาจารย์ท่านนั้นตอบกลับมา 
   
"ผมสอนเขามา ๒ ปี ๕ วิชา ก็ไม่เห็นเขาจะมีปัญหาอะไร" ผมตอบกลับไป

ในใจผมคิดว่า คนเป็นอาจารย์นั้นไม่ควรตัดสินพฤติกรรมนิสิตด้วยการฟังความข้างเดียว

ปัญหาที่เพื่อนฝูงในภาควิชา กล่าวถึงเขาคือ "ไม่สามารถเข้ากับเพื่อนฝูงได้" 
   
ก่อนหน้านี้เขาเคยมาปรึกษากับผมเรื่องนี้ และหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาเล่าให้ฟังแล้ว ผมก็ตอบเขากลับไปว่า "ผมไม่เห็นว่าคุณจะมีปัญหาอะไรนี่ ไอ้ที่มีปัญหาคือเพื่อนคุณทั้งชั้น ที่มันไม่สามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ ผมเห็นเพื่อนรุ่นคุณมันเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว"
  
คณะของเราตอนนั้น นิสิตที่เข้าใหม่ส่วนหนึ่ง จะประสบกับปัญหาการปรับตัวเข้ากับเพื่อนฝูงใหม่ในคณะหรือในภาควิชา ปัญหานี้มักเกิดขึ้นกับนิสิตที่มาจากโรงเรียนที่สอบเข้าคณะเราได้เพียงคนเดียว และมักจะเป็นคนที่มาจากต่างจังหวัด เพราะบางทีนักเรียนจากโรงเรียนนั้นมาเรียนที่มหาวิทยาลัยของเราเพียงไม่กี่คนแค่นั้นเอง
  
ในรุ่นนั้น นิสิตที่มาจากโรงเรียนในกรุงเทพ หรือโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในต่างจังหวัด จะมาเรียนในคณะของเราด้วยกลุ่มที่ใหญ่ โตขึ้นมาในสังคมคนเมือง และเมื่อเข้ามาเรียนแล้ว ก็จะเกาะกลุ่มกันอยู่เหมือนเดิม ตอนอยู่โรงเรียนเคยสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใด ก็ยังคงเกาะอยู่กับกลุ่มนั้น เคยคุยเคยสนใจแต่เรื่องอะไร ก็ยังคงคุยคงสนใจแต่เรื่องเหล่านั้น และก็ไม่ค่อยเปิดรับคนอื่นให้เข้ากลุ่มด้วย 
  
ความรู้สึกของผมในฐานะอาจารย์ผู้สอน เป็นเหมือนกับว่า ไม่ได้สอนหนังสือใน "ภาควิชา" แต่เป็นการสอนหนังสือใน "โรงเรียนกวดวิชา" เพราะตอนมาเรียนนั้น ผู้มาเรียนก็เกาะกลุ่มเฉพาะกับเพื่อนกลุ่มเดิม เลิกเรียนเสร็จก็ไปไหนต่อไหนกับเพื่อนกลุ่มเดิม อาจจะมีการทักทายกันระหว่างกลุ่มบ้าง แต่ดูเหมือนว่า จะเป็นโดย "มารยาท" ซะมากกว่าที่จะอยากจะทำความรู้จักกันจริง ๆ
  
นิสิตคนที่เพื่อนฝูง และอาจารย์บอกว่า เป็นเด็กมีปัญหานั้น ในรุ่นเขา เขาเป็นนักเรียนคนเดียวจากจังหวัดของเขาที่ได้เข้ามาเรียนในคณะของเรา เขาสามารถเข้าร่วมกลุ่มทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้โดยไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นของหอพักนิสิตจุฬา หรือของชมรมของจุฬาเอง จะมีปัญหาก็เรื่องปรับตัวเข้ากับเพื่อนในภาคแค่นั้น 
   
ผมบอกเขาไปว่า เมื่อคุณจบออกไป คุณต้องไปพบปะกับผู้คนใหม่ ๆ ที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อน ดังนั้น ความสามารถในปรับตัว เพื่อทำความรู้จัก และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้นั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งคุณก็มีสิ่งนี้อยู่แล้ว ดังนั้นคุณจะกังวลไปทำไม ที่น่าเป็นห่วง น่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นของคุณมากกว่า ถ้าหากจบไปทำงานแล้ว เขาต้องแยกย้ายกระจายออกไป แล้วเขาจะปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น เขาไม่เคยคิดจะยอมรับคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนกลุ่มโรงเรียนเดิม

การปรับตัวนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำตัวให้เหมือนคนอื่นเสมอไป แต่ยังรวมถึงการต้องให้คนอื่นยอมรับในบางสิ่งที่ตัวเราเองเป็นด้วย เราอาจต้องปรับตัวเองในบางสิ่ง เพื่อที่จะให้งานส่วนรวมดำเนินไปข้างหน้าได้ แต่สิ่งนั้น ไม่ควรที่จะก้าวล่วงเข้ามาในชีวิตความเป็นส่วนตัวของเรา

--------------------------------------------------------------------------------

ในบันทึกของเมนมะก่อนเสียชีวิตนั้น มีข้อความที่เขียนไว้ว่า "กลุ่มเพื่อนต้องการสร้างดอกไม้ไฟ เพื่อส่งข้อความถึงเทพเข้าบนท้องฟ้าเพื่อขอพร" ข้อความนี้ของเมนมะ ทำให้เพื่อน ๆ คิดว่า ความปราถนาของเมนมะคือ การได้เห็นดอกไม้ไฟชุดใหญ่บนท้องฟ้า ซึ่งถ้าเมนมะได้เห็น เธอก็คงจะสมปราถนา และไปสู่สุคติได้ 
   
แต่เนื่องจากดอกไม้ไฟขนาดนั้น ต้องจ้างทำเป็นพิเศษ และมีราคาแพง ทำให้ต้องทั้งห้าคนต้องหาทางรวบรวมเงิน จนในที่สุดก็สามารถรวบรวมเงินได้พอ และจ้างทำดอกไม้ไฟได้สำเร็จ
  
แต่เมื่อดอกไม้ไฟ ถูกจุดขึ้นท้องฟ้า และเมนมะได้เห็น วิญญาณของเมนนะก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม นั่นแสดงว่า การการได้เห็นดอกไม้ไฟนั้น ไม่ได้เป็นความปราถนาที่แท้จริงของเมนนะ แต่เป็นสิ่งที่คนรอบข้าง "คิดว่า" เมนมะปราถนา

--------------------------------------------------------------------------------

ในบ่ายวันหนึ่ง ที่ห้องแลปตึก ๕ ขณะที่ผมกำลังทำการทดลองอยู่กับนิสิตปริญญาโท นิสิตผู้หนึ่งก็แวะมายืนดูผมทำงาน นิสิตปริญญาโทที่ทำงานอยู่กับผม ก็ค่อย ๆ หลบฉากออกไป เหลือผมกับเขาอยู่เพียงสองคน 
   
หลังจากที่เขานั่งเงียบ ๆ มองหน้าผม ฟังผมพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยอยู่ฝ่ายเดียวมาร่วมชั่วโมง ผมก็ถามเขาว่า
  
"คุณมีคำถาม ที่อยากจะถามผมใช่ไหม แต่ไม่รู้ว่าจะถามอะไร"
  
"มันไม่ใช่" เขาพูดตอบผมมาเบา ๆ "ชีวิตมันไม่ใช่แบบนี้" เขาพูดต่อ และก็จบลงแค่นั้น

ผมใช้ "คำพูด" สื่อสารกับเขา 
   
เขาใช้ "แววตา" สื่อสารกับผม

เดี๋ยวนี้เห็นเป็นเรื่องปรกติที่หน้าโรงเรียนจะมีรูปเด็กนักเรียนของโรงเรียนนั้นไปได้รางวัลอะไรต่าง ๆ
ผู้ปกครองสามารถเอาไปคุยกับใครต่อใครได้ว่า "นั่นลูกฉัน"
  
ครูอาจารย์ก็สามารถเอาไปคุยกับใครต่อใครได้ว่า "นั่นลูกศิษย์ฉัน"
  
ผู้บริหารโรงเรียนก็สามารถเอาไปคุยกับใครต่อใครได้ว่า "นั่นคือผลงานของโรงเรียนฉัน"
  
แต่มีใครถามเด็กนักเรียนคนนั้นหรือไม่ ว่ากระบวนการ และขั้นตอนต่าง ๆ ที่ทำให้เขาได้มีรูปมาโชว์อยู่หน้าโรงเรียนได้นั้น เป็นสิ่งที่เขาต้องการไหม ความสำเร็จนั้น เป็นความสำเร็จที่เขาต้องการเป็นเอง หรือเป็นความสำเร็จที่คนอื่นต้องการให้เขาเป็น

ในสังคมปัจจุบันที่ใช้ "จำนวน" แทนที่จะใช้ "กระบวนการและความถูกต้อง" วัดความสำเร็จของ "ผู้ใหญ่" นั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กจะกลายเป็นเครื่องมือของผู้ใหญ่ เพื่อให้บรรลุถึง "จำนวน" ดังกล่าว


บางครั้ง เราก็อาจจำเป็น ต้องเป็นในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เราเป็น
  
แต่สิ่งสำคัญก็คือ "อย่าลืม" ว่าตัวเรานั้นอยากเป็นอะไร
  
สำหรับบางคนนั้น จะเรียกว่า "ลืม" ก็ไม่ได้ เพราะไม่เคย "คิด" ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร รอแต่ให้คนอื่น "บอก" ว่าควรเป็นอะไร
  
แต่การที่เขาไม่เคยคิดนั้น ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่มีความคิด แต่สังคมรอบข้าง อาจกดดันเขา หรือไม่เปิดโอกาสให้เขา ได้มีโอกาสคิดว่า เขา "อยากเป็น" อะไร แต่ใช้การยัดเยียด ความต้องการของสังคมลงไปว่า เขา "ต้องเป็น" อะไร
  
วันนี้ วันที่คุณกำลังจะสำเร็จการศึกษา มีข้อเสนอต่าง ๆ มาให้พวกคุณเลือก พร้อมกับภาพอนาคตที่บอกว่า คุณจะได้เป็นอะไร ถ้าคุณดำเนินรอยตามทางที่เขาบอก

ถ้าคุณได้เป็นตามที่เขาบอก มีกี่คนที่จะได้ประโยชน์จากสิ่งที่คุณได้เป็น และใครเป็น "ผู้ได้ประโยชน์สูงสุด"

"แววตา" คู่นั้น ที่ผมเห็นในวันนี้ มันแตกต่างจาก "แววตา" คู่เดียวกันนั้น ที่จ้องมองผมในวันนั้น

--------------------------------------------------------------------------------

แท้จริงนั้น ความปราถนาอันแท้จริงนั้นคืออะไร
  
อานารุนั้นแม้ จะดูเหมือนว่าคบกับยูกิอะสึ แต่ในใจจริงนั้นชอบจินตัง จึงอยากต้องการให้เมนมะจากไปโดยเร็ว จินตังจะได้มองมาที่ตนบ้าง 
   
ยุกิอะสึนั้นแม้ จะดูเหมือนว่าคบกับอานารุ แต่ในใจจริงนั้นชอบเมนมะ จึงอิจฉาจินตัง ที่เป็นผู้เดียวที่มองเห็นเมนมะได้ จึงอยากให้เมนมะจากไปโดยเร็ว
  
สึรุมินั้น ชอบยูกิอัตสึ จึงอยากให้เมนมะจากไป เพื่อที่อานารุจะได้ไปคบกับจินตัง ยูกิอัตสึจะได้หันมามองตัวเองบ้าง
  
ส่วนป๊อปโปะนั้นอยู่ในเหตุการณ์ที่เมนมะเสียชีวิต แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ จึงมีความรู้สึกผิดฝังใจอยู่
ขณะที่จินตังเองนั้น ใจจริงก็อยากให้เมนมะอยู่กับเขาตลอดไป เพราะเขามีความสุข ที่เป็นคนเดียวที่ได้เห็น และได้พูดคุยกับเมนมะ
  
สิ่งที่แต่ละคนบอกว่าทำเพื่อเมนมะนั้น แท้จริงทำเพื่อสนองความต้องการของตนเอง โดยใช้เมนมะเป็นข้ออ้าง
  
สิ่งที่เมนมะอยากให้เพื่อน ๆ ช่วยก็คือ ทำให้สิ่งที่ตัวเองปราถนาเอาไว้ก่อนเสียชีวิต เป็นจริงขึ้นมา วิญญาณจะได้ไปเกิดใหม่ เพื่อที่จะได้กลับมาเล่น และกลับมาพูดคุยกับเพื่อน ๆ ทุกคนได้
  
สิ่งที่เมนมะปราถนาก็คือ ......

--------------------------------------------------------------------------------


ผมอยากจะเปรียบเทียบ "ดอกไม้ที่เห็นในวันนั้น" กับ "ความปราถนาของพวกคุณในตอนนั้น"
  
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ พวกคุณบางคน ได้เป็นในสิ่งที่ตัวเองฝัน ไว้ว่าอยากเป็น ในขณะที่บางคน ได้เป็นในสิ่งที่คนอื่นฝัน ไว้ว่าอยากให้คุณเป็น 
   
ในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป คุณจะเลือกเป็น สิ่งที่คุณอยากเป็น หรือเลือกเป็น ในสิ่งที่คนอื่นอยากให้คุณเป็น ซึ่งคงต้องอยู่ในการพิจารณาของพวกคุณเอง ซึ่งในขณะนี้ คุณมีโอกาสนั้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
  
สำหรับคนที่มีความปราถนาหลาย ๆ อย่างนั้น ในบางครั้ง เราเลือกที่จะทำให้ความปราถนาหนึ่งเป็นจริงได้ ก่อนที่จะทำให้ความปราถนาอีกอันหนึ่งเป็นจริง
  
แต่ในบางครั้ง เราอาจเลือกได้เพียงอันใดอันหนึ่งโดยที่ต้องยอมสละสิ่งที่เหลือไป

ขอปิดท้ายด้วยข้อความที่คัดมาจากตอนจบของการ์ตูนเรื่องนี้ ที่มีคนใจดี (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร) แปลความหมายเอาไว้ให้

ดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูนั้น มันชื่ออะไรกันนะ
  
ที่ค่อย ๆ พริ้วไหว
  
ถ้าจับมัน ก็จะรู้สึกได้ ถึงหนามเล็ก ๆ
  
หากนำดอกไม้นั้นมาใกล้จมูก ก็จะรู้สึกถึง กลิ่นสีเขียว และกลิ่นแสงแดดอ่อน ๆ
  
กลิ่นหอมนั้น ที่ค่อย ๆ จางหายไป
  
เพราะพวกเรา กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ 
   
แต่ถึงอย่างนั้น
  
ดอกไม้นั่น ต้องกำลังเบ่งบานอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่นอน


--------------------------------------------------------------------------------