โรงเรียนอนุบาลที่ผมเรียนนั้นตั้งอยู่ในซอย
เดินจากถนนสามเสนเข้าไปก็อยู่ทางขวามือ
ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนเป็นป่าช้าฝรั่ง
(ที่ฝังศพผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก)
ประตูทางเข้าป่าช้าก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ฝั่งตรงข้ามใกล้
ๆ กับประตูโรงเรียน
จำได้ว่าตอนเรียนอนุบาล ๒
นั้น พอเลิกเรียนตอนเย็น
พี่ชายของผมที่เรียนประถม
๑ อยู่ที่โรงเรียนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของป่าช้าฝรั่ง
จะเดินมารับผมที่โรงเรียนอนุบาล
พาผมเดินตัดป่าช้าฝรั่ง
และก่อนจะเข้าประตูโรงเรียนที่พี่ชายผมเรียนอยู่นั้น
จะต้องเดินผ่านหลุมฝังศพที่อยู่บนดิน
มีไม้กางเขนปักอยู่ ตอนเด็ก
ๆ ก็เดินอ้อมซ้ายหรือไม่ก็อ้อมขวาไม้กางเขนนั้น
จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ
เคยคิดสงสัยเหมือนกันว่าเขาฝังศพไว้ทางฝั่งไหน
แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร
สิ่งหนึ่งที่คุณแม่ของผมเล่าให้ลูกของผมฟัง
(หรือย่าเล่าเรื่องให้หลานฟัง)
ก็คือตอนเช้าเวลาคุณแม่ไปส่งผมที่โรงเรียนอนุบาล
ผมจะกอดคุณแม่ไว้แน่นไม่ยอมเข้าโรงเรียน
ร้องไห้อยู่หน้าประตู
ต้องให้คุณครูอนุบาลมาแกะเอาตัวผมออกจากตัวคุณแม่
ตอนลูกยังเล็กเวลาไปส่งลูกที่โรงเรียนใหม่
หรือเวลาเดินผ่านหน้าโรงเรียนตอนเปิดเทอม
เห็นเด็กเล็กร้องไห้ไม่ยอมเข้าเรียน
เกาะคุณพ่อคุณแม่ซะแน่น
ก็ทำให้นึกถึงภาพตัวเองตอนเด็ก
ๆ ที่เคยเป็นเช่นนั้น
และนั่นคงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเข้าใจว่า
ทำไมในสายตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้ว
จะเห็นลูก ๆ เป็นเด็กเล็ก
ๆ น่ารักเสมอ
นั่นคือเมื่อราว
ๆ ปีพ.ศ.
๒๕๑๓-๒๕๑๔
หรือเมื่อกว่า ๔๐ ปีที่แล้ว
โรงเรียนอนุบาลที่ผมเคยเรียนนั้นตอนหลังก็มีการตั้งสาขาหลายที่
ส่วนสถานที่แรกที่ผมเคยเรียนอยู่นั้นตอนนี้เป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน
รู้แต่ว่าทางฝั่งธนแถวบ้านผมก็มีโรงเรียนนี้มาเปิดสาขาอยู่
พอขึ้นป.
๑
ก็ได้ย้ายไปอยู่โรงเรียนเดียวกับที่พี่ชายผมเรียนอยู่
ได้อยู่ห้อง ป.
๑
ค หรือนับแบบฝรั่งก็เป็น
ป.
๑
C
(เขามีห้อง
ก ข ค และ ง หรือ A
B C และ
D
จำไม่ได้ว่าตอนนั้นมีห้องมากกว่านี้หรือไม่)
อาคารที่เป็นตึกเรียนของชั้นป.
๑
-
ป.
๔
นั้นเป็นอาคารที่เรียกว่าตึกประถม
เป็นอาคารรูปตัว L
อยู่ทางมุมด้านในของโรงเรียน
ด้านที่เป็นชั้น ป.
๑
และ ป.
๒
มีสองชั้น ป.
๑
อยู่ข้างล่าง ป.
๒
อยู่ข้างบน ด้านที่เป็นชั้น
ป.
๓
และ ป.
๔
มี ๓ ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นลานโล่ง
ๆ ชั้น ๒ เป็นชั้น ป.
๓
และชั้น ๓ เป็นชั้น ป.
๔
ตึกที่ผมเรียกว่าตึกประถมหลังนี้ปัจจุบันก็ไม่เหลือแล้ว
ถูกสร้างใหม่เป็นอาคารสูงแทน
พอเข้าประตูใหญ่โรงเรียนมา
ตรงไปจะเป็นถนนเดินเข้าไปข้างใน
มีตึกเก่า ๆ ที่เรียกว่าตึกแดงอยู่ขวามือ
มีอาคารหอประชุมอยู่ทางด้านซ้าย ด้านระหว่างอาคารหอประชุมกับรั้วริมถนนสามเสนเป็นอาคารสถานพยาบาล
จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ
ก็เคยไปนั่งเล่นที่นั่น
ต่อมาถูกรื้อออก
กลายเป็นลานจอดรถที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง
ถ้าเดินเลยอาคารหอประชุมไปจะเป็นโรงอาคารที่สร้างติดอยู่กับอาคารหอประชุม
ตอนนั้นโรงอาหารยังเป็นเพียงแค่เรือนโล่ง
ๆ ชั้นเดียวมีหลังคาคลุม
โรงเรียนมีสนามฟุตบอลอยู่ตรงกลาง
ทางด้านทิศใต้ของสนามฟุตบอลจะเป็นอัฒจรรย์และมีทางเดินอยู่ข้างใต้สำหรับเดินไปยังตึกประถม
ทางด้านทิศตะวันตกของโรงเรียนเป็นอาคารที่เรียกว่าตึกยิมเนเซียม
เพราะชั้นล่างสุดเป็นสนามบาสเก็ตบอล
เวลาฝนตกก็จะหลบเข้ามาเรียนพละศึกษากันในตึกนี้
ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้าโล่ง
ๆ ให้วิ่งเล่นได้ ตอนเรียน
ป.
๕
-
ป.
๖
ก็มาเรียนอยู่ที่ตึกนี้
ส่วนโรงอาหารเดิมนั้นจำไม่ได้ว่าถูกรื้อไปเมื่อใด
จำได้แต่ว่าพอขึ้นมาเรียนชั้นมัธยม
๑ นั้น (ผมเป็นรุ่นแรกที่เขาเปลี่ยนจากชั้น
ป.
๗
แล้วขึ้นต่อมัธยมศึกษา
(ที่เรียกย่อ
ๆ ว่า ม.ศ.
ที่มีตั้งแต่
ม.ศ.
๑
-
ม.ศ.
๕)
มาเป็นจาก
ป.
๖
ก็ขึ้นเป็นมัธยม ๑ (หรือ
ม.
๑)
จนถึงมัธยม
๖ (หรือ
ม.
๖)
ที่ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้)
ก็ได้ไปเรียนที่อาคารหลังใหม่ที่สร้างขึ้นต่อเนื่องกับอาคารหอประชุม
ตอนเรียนม.
๑
ถึง ม.
๓
ก็เรียนที่ตึกนั้น
พอขึ้น
ม.
๔
ก็ย้ายตึกอีก
คราวนี้มาเรียนที่ตึกที่เรียกว่าตึกวิทยาศาสตร์
ตึกนี้สร้างต่อเนื่องกับตึกแม่พระ
(รวมสองตึกก็เป็นรูปตัวแอลอยู่ที่มุมทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของโรงเรียน)
จากห้องเรียน
ม.
๔
นี้มองข้ามรั้วไปจะเป็นโรงเรียนที่อยู่ติดกันที่รับเฉพาะนักเรียนหญิงล้วน
(โรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนชายล้วน)
ตึกวิทยาศาสตร์นี้มีห้องแลปสำหรับทดลองวิชาฟิสิกส์และเคมี
ผมเองได้สัมผัสกับวิชาเคมีครั้งแรกก็ที่ตึกนี้
พอขึ้น ม.
๕
และม.
๖
ก็ย้ายไปเรียนที่ตึกแม่พระ
สองชั้นบนสุดเป็นห้องพักของบรรดาบราเดอร์ต่าง
ๆ ที่ดูแลโรงเรียน
สมัยที่เรียนอยู่นั้นที่โรงเรียนถูกใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนต์
คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมี
๒ เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือ
"The
Deer Hunter" โรงเรียนถูกใช้เป็นฉากสถานฑูตสหรัฐช่วงไซง่อนแตก
ผมเคยเขียนเรื่องนี้เอาไว้ใน
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๕๖ วันอังคารที่
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง
"ก่อนจะหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๓ TheDeer Hunter" อีกเรื่องหนึ่งจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร
ที่จำได้ก็คือมีเฮลิคอปเตอร์มาบินลงอยู่ในสนามฟุตบอลของโรงเรียน
หนังสือครบรอบ
๕๐ ปีของโรงเรียนได้มาเมื่อใด
ได้มายังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
รู้แต่ว่าเห็นมันตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก
ๆ เรียนชั้นประถม
(ตอนที่ผมเข้าเรียนนั้นทางโรงเรียนเพิ่งจะมีอายุเกิน
๕๐ ปีได้ไม่นาน)
มีขนาดเล็กกว่ากระดาษ
A4
เล็กน้อย
เสียดายที่มันได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี
๒๕๕๔
ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรกับมันดีจึงจะแกะหน้ากระดาษที่ติดกันนั้นให้ออกจากกันได้โดยรูปภาพไม่เสียหาย
ผมเห็นว่าในหนังสือนี้มีภาพที่คงจะถือได้ว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ของโรงเรียน
ไหน ๆ โรงเรียนก็จะมีอายุครบรอบ
๑๐๐ ปีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแล้ว
ก็เลยขอขุดกรุเอาหนังสือเก่ามาสแกนภาพถ่ายเก่า
ๆ เมื่อกว่า ๕๐ ปีที่แล้วมาให้ดูกัน
รายละเอียดของรูปภาพเป็นอย่างไรก็โปรดอ่านคำบรรยายภาพเอาเองก็แล้วกัน
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือในหนังสือไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ที่ผมนำมาแสดงนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่เท่าใด
แต่ผมเดาว่าคงเป็นช่วงก่อนที่โรงเรียนจะมีอายุครบรอบ
๕๐ ปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น