วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

Electrical safety for chemical processes MO Memoir : Wednesday 31 March 2553

Memoir ฉบับนี้เป็นการนำเอาเอกสารประกอบการสอนวิชา 01227311 Advanced Petrochemical Engineering ในภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา ๒๕๔๒ (เมื่อ ๑๑ ปีที่แล้ว สมัยที่ไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนที่อื่น เนื่องจากที่นั่นขาดอาจารย์) มาแก้ไขเพิ่มเติมและเรียบเรียงใหม่

ตอนที่ผมกลับมาทำงานใหม่ ๆ นั้นได้ไปเห็นห้องปฏิบัติการแห่งหนึ่งที่นักวิจัยที่ทำงานในห้องปฏิบัติการดังกล่าวมีส่วนร่วมในการออกแบบ โดยนักวิจัยในห้องปฏิบัติการดังกล่าวที่ไปมีส่วนร่วมในการออกแบบคุยนักคุยหนาว่าเขาได้ระบุให้ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า (พวกเต้ารับและไฟแสงสว่าง) ที่เป็นชนิด Explosion proof และมีผนังห้องกันระเบิด ถ้านั่งอยู่ในห้องควบคุมและเกิดระเบิดในห้องปฏิบัติการ คนในห้องควบคุมเพียงแค่ก้มหลบก็จะไม่เป็นอะไร (คิดได้ยังไงเนี่ย เพราะพอเห็นสถานที่จริงก็บอกได้เลยว่า พอระเบิดปุ๊บ กระจกหน้าต่างที่กั้นระหว่างห้องควบคุมกับห้องปฏิบัติการก็คงจะปลิวมาตัดคอคนนั่งในห้องควบคุมก่อนที่จะรู้ว่าจะเกิดอะไรเสียอีก) เท่าที่ผมเดินดูห้องปฏิบัติการแล้วพอจะเข้าใจแล้วว่าคนกำหนดสเป็คของอุปกรณ์ไฟฟ้านั้นคงไม่รู้ว่าความหมายของ Explosion proof ที่ถูกต้องนั้นคืออะไร

เนื้อหาเรื่องนี้เกี่ยวกับการแบ่งบริเวณของอุปกรณ์ไฟฟ้าในอุตสาหกรรมที่มีสารไวไฟเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จะใช้ได้ในบริเวณอันตราย (Hazardous location) นั้นจะมีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้กันในอาคารบ้านเรือนทั่วไป โดยอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จะใช้ได้ในบริเวณอันตรายนั้นจะต้องเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ และมีเทคนิคการติดตั้งพิเศษ ที่สามารถป้องกันการเกิดอันตรายจากการระเบิดหรือเพลิงไหม้ของสารเคมีต่างๆ ในบริเวณที่นำอุปกรณ์ไฟฟ้าชิ้นนั้นไปใช้งาน

กระบวนการต่างๆในอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมัน แก๊สธรรมชาติ และปิโตรเคมีจะเกี่ยวข้องกับการจัดการและการกักเก็บวัสดุไวไฟต่างๆ ดังนั้นเพื่อป้องกันอันตรายจากการระเบิด จึงต้องทำการเก็บวัสดุไวไฟเหล่านี้ไว้ในระบบที่ไม่มีอากาศ (ซึ่งเป็นตัวออกซิไดซ์ที่มีอยู่ทั่วไป) อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีการป้องกันไม่ให้วัสดุไวไฟเหล่านี้ผสมกับอากาศ แต่การผสมกันก็ยังเกิดขึ้นได้เนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การรั่วไหล, การระบายความดัน, การเกิดความเสียหายของอุปกรณ์, การถอดชิ้นส่วนเพื่อทำการซ่อมบำรุง ฯลฯ เมื่อมีการรั่วไหลเกิดขึ้นแล้ว วิธีการป้องกันที่ดีคือพยายามทำให้สารที่รั่วออกมาฟุ้งกระจายให้เร็วที่สุด (เช่นในการออกแบบให้ติดตั้งอุปกรณ์ในบริเวณที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือไม่ก็ใช้ไอน้ำเป่าไล่ให้ระเหยฟุ้งออกไป) เพื่อมิให้มีความเข้มข้นสูงพอที่จะจุดระเบิดได้ อย่างไรก็ตามโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้จะมีผู้ปฏิบัติงานอยู่ในเขตกระบวนการผลิตไม่มาก ดังนั้นโอกาสที่จะพบเห็นการรั่วไหลในขณะที่กำลังเริ่มเกิดจึงมีน้อย แต่ก็อาจชดเชยได้บางส่วนโดยการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัด

ขั้นตอนถัดมาที่ใช้ในการป้องกันไม่ให้เกิดการระเบิดถ้าหากเกิดการรั่วไหลคือการกำจัดแหล่งที่สามารถจุดระเบิดได้ เช่น พื้นผิวที่ร้อนจัด, เปลวไฟ, ประกายไฟ ฯลฯ ออกจากเขตกระบวนการผลิต อุปกรณ์ที่สามารถจุดระเบิดได้ที่มีกระจายอยู่ทั่วไปในโรงงานคืออุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ และระบบไฟฟ้า เช่นสวิตช์ปิด-เปิด, หลอดไฟ ฯลฯ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีมากที่สุดเห็นจะได้แก่มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อน ปั๊ม, คอมเพรสเซอร์, พัดลม, ใบพัดกวน ฯลฯ ซึ่งในระหว่างการทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้จะมีประกายไฟและความร้อนเกิดขึ้นในปริมาณหนึ่งอยู่แล้ว และในขณะปิด-เปิดหรือในกรณีที่เครื่องบกพร่องจะมีประกายไฟและความร้อนเกิดขึ้นมากกว่าปรกติ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่นำมาใช้ในงานเหล่านี้จึงต้องมีคุณสมบัติพิเศษนอกเหนือไปจากอุปกรณ์ไฟฟ้าใช้ในอาคาร สำนักงานทั่วไป และต้องมีการเลือกชนิดให้เหมาะสมกับสภาพการทำงานด้วย

การเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าให้เหมาะสมนั้นจำเป็นต้องมีการระบุสภาพแวดล้อมของการใช้งาน การใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงมาก เช่นทำงานในระบบที่มีการใช้แก๊สที่ระเบิดรุนแรง ติดไฟง่าย จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความปลอดภัยสูงกว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ใน memoir นี้เราจะกล่าวถึงการระบุบริเวณพื้นที่ทำงานและความเสี่ยงในการทำงาน เพื่อที่จะได้เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าให้เหมาะสมต่อไป


1. ภาวะของกระบวนการที่ส่งผลต่อความปลอดภัย

สารต่าง ๆ ที่อยู่ในกระบวนการผลิตเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดว่ากระบวนการผลิตนั้นมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตอื่น ๆ การพิจารณานั้นต้องกระทำเป็นขั้นตอนและพิจารณาทุกกระบวนการของการทำงาน ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างการเดินเครื่องตามปรกติหรือระหว่างมีเหตุขัดข้อง สารต่าง ๆ ที่กล่าวมาได้แก่วัตถุดิบ สารตั้งต้น ผลิตภันฑ์ สารตัวกลาง ของเสีย และตัวเร่งปฏิกิริยา นอกจากนี้กระบวนการผลิตใดที่มีการใช้แก๊สคลอรีนและไฮโดรเจนจะต้องมีการระมัดระวังเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ

การคำนวณอันตรายจากไฟไหม้หรือการระเบิดสามารถทำได้โดยการใช้วิธีการที่เรียกว่า Dow guide ซึ่งทำการคำนวณโดยการพิจารณาจาก


- อุณหภูมิของกระบวนการผลิตที่สูงกว่าจุดวาบไฟ (Flash point) ของสาร

- อุณหภูมิของกระบวนการผลิตที่สูงกว่าอุณหภูมิจุดเดือดของสาร

- อุณหภูมิของกระบวนการผลิตที่สูงกว่าอุณหภูมิจุดระเบิดด้วยตนเอง (Autoignition temperature) ของสาร

- การทำงานที่ส่วนผสมอยู่ในช่วงหรือใกล้เคียงกับช่วงติดไฟได้ของสาร


การวิเคราะห์เหล่านี้จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติอันตรายจากเพลิงไหม้ของสารแต่ละชนิดที่ใช้ ในกรณีที่สารที่อยู่ระหว่างกระบวนการผลิตเป็นสารผสม จะต้องมีการนำเอาคุณสมบัติของสารผสมมาพิจารณาด้วย ตัวอย่างเช่นจุดวาบไฟและขอบเขตการติดไฟของสารที่ละลายน้ำได้จะขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นของน้ำที่ผสมอยู่กับสารนั้น

คุณสมบัติต่างๆเกี่ยวกับความสามารถในการติดไฟของแก๊ส ไอ ของเหลว ที่ควรต้องนำมาพิจารณามี


- จุดวาบไฟ (Flash point)

- อุณหภูมิจุดระเบิดด้วยตนเอง (Autoignition temperature)

- ช่วงขอบเขตของการติดไฟ (Flamability limits)

- จุดเดือด (Boiling point)

- ความถ่วงจำเพาะ (Specific gravity)

- NEC explosion group A, B, C หรือ D


ในกรณีของของเหลวควรจำเป็นที่จะต้องทราบค่าการนำไฟฟ้า (Electrical conductivity) และค่าคงที่ไดอิเล็กทริก (Dielectric constant) สำหรับนำมาคำนวณหาค่าศักย์ไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นจากไฟฟ้าสถิตย์ เมื่อมีการใช้สารที่มีฤทธิ์ในการกัดกร่อนต้องพิจารณาถึงโอกาสที่อุปกรณ์และระบบท่อต่าง ๆ จะเกิดความเสียหายเพิ่มอีกเป็นพิเศษ ดังนั้นระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องควรต้องได้รับการป้องกันการกัดกร่อนเป็นพิเศษ

รายละเอียดอันตรายและข้อควรระวังของสารต่าง ๆ นั้นสามารถหาได้จาก Material Safety Data Sheets (MSDS) ซึ่ง MSDS ที่สมบูรณ์ควรประกอบด้วยข้อมูลอย่างน้อยต่อไปนี้


Flammability limits Flash point : closed cup : open cup

Autoignition temperature Boiling point Coefficient of expansion

Corrosivity Critical pressure Critical temperature

Density Heat of combustion Heat of fusion

Hygroscropicity Melting point Odor

Reactivity Solubility Specific gravity

Specific heat Vapour density Vapour pressure

Viscosity Threshold limit in air Health hazards

Fire and explosion hazards Building design Ventilation

Static safety Employee safety Personal protective equipment

Fire fighting Handling and storage Waste disposal

Tank and equipment cleaning and repairs


2. Explosion proof apparatus

อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในงานทั่วไปสามารถก่อให้เกิดการระเบิดและเพลิงไหม้ได้ถ้านำมาใช้ในบริเวณที่มี ไอ, แก๊ส, ของเหลว หรือฝุ่นผงต่าง ๆ ที่สามารถติดไฟได้ ในบริเวณเหล่านี้จึงต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดพิเศษที่เรียกกันว่า Explosion proof นอกจากนี้ก็ยังมีอุปกรณ์พิเศษชนิดอื่นที่เรียกว่า non-sparking tools เช่น ค้อน, ประแจ ฯลฯ ที่ทำจากโลหะที่เมื่อเกิดการกระทบกระแทก (เช่นจากการใช้งานหรือการตกหล่น) จะไม่มีประกายไฟเกิดขึ้น

อุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปมักจะมีบางชิ้นส่วนที่อาจเกิดประกายไฟหรือเกิดความร้อนสูงในระหว่างการทำงานตามปรกติ ตัวอย่างเช่นสวิตช์ไฟฟ้าจะมีประกายไฟเกิดขึ้นในขณะปิด-เปิด มอเตอร์ไฟฟ้าก็จะมีความร้อนเกิดขึ้นซึ่งต้องการการระบายออก อุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่างต่างๆที่ให้ความร้อนออกมา ฯลฯ โดยทั่วไปแล้วไม่ควรทำการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในบริเวณที่มีการรั่วไหลของสารเชื้อเพลิงต่าง ๆ ยกเว้นแต่ในกรณีจำเป็น ซึ่งต้องมีการป้องกันประกายไฟและความร้อนเหล่านี้

โดยปรกติเมื่อมีการรั่วไหลของแก๊สหรือไอเข้าไปในอุปกรณ์ไฟฟ้านั้น เมื่อแก๊สหรือไอเหล่านั้นสัมผัสกับพื้นผิวที่ร้อนหรือเจอประกายไฟที่เกิดขึ้น (เช่นในระหว่างการปิด-เปิด) แก๊สหรือไอนั้นก็จะเกิดการจุดระเบิด แรงระเบิดจะทำให้ความดันภายในอุปกรณ์ไฟฟ้าสูงขึ้น ถ้าหากอุปกรณ์นั้นไม่สามารถรับความดันที่เกิดขึ้นได้ อุปกรณ์ก็จะแตกกระจาย ทำให้เปลวไฟที่เกิดจากการเผาไหม้ภายในอุปกรณ์ลามออกมาภายนอก และจุดติดไอเชื้อเพลิงที่อยู่ภายนอกได้ (ดังรูปที่ 1) แต่ถึงแม้ว่าอุปกรณ์นั้นสามารถรองรับความดันไว้ได้ แต่ถ้ารอยต่อระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ ของตัวอุปกรณ์ (ซึ่งเป็นช่องทางที่ให้ไอเชื้อเพลิงแพร่เข้าไปในตัวอุปกรณ์) มีขนาดกว้างเกินไป เปลวไฟที่เกิดขึ้นภายในก็จะลามออกมาทางรอยต่อต่าง ๆ ที่เป็นช่องทางให้แก๊สหรือไอเชื้อเพลิงรั่วซึมเข้าไปได้ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการระเบิดของแก๊สหรือไอที่อยู่ภายนอกอุปกรณ์ไฟฟ้าได้เช่นเดียวกัน

โดยปรกติแล้วเมื่อเปลวไฟเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างที่มีผนังเป็นโลหะ โลหะจะดึงความร้อนออกจากเปลวไฟทำให้เปลวไฟเย็นลง ถ้าหากเปลวไฟสูญเสียความร้อนออกไปมาก เปลวไฟก็จะดับก่อนที่จะวิ่งผ่านพ้นช่องว่างนั้นออกมา (ดูรูปที่ 2) ยิ่งช่องว่างนั้นมีขนาดแคบลงเท่าใด โอกาสที่เปลวไฟจะผ่านพ้นออกมาก็จะน้อยลง ขนาดความกว้างของช่องว่างที่กว้างที่สุดที่ยอมให้ได้เรียกว่า Maximum Experimental Safe Gap (MESG) ขนาดของช่องว่างและความสามารถในการรับแรงระเบิดของอุปกรณ์ไฟฟ้า จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ตั้งอุปกรณ์และวัตถุไวไฟที่เกี่ยวข้อง (ดูตัวอย่างได้ในตารางที่ 1 ในหัวข้อถัดไป)


รูปที่ 1 อุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปเมื่อเกิดการระเบิดขึ้นในตัวอุปกรณ์ ตัวอุปกรณ์จะเกิดความเสียหายและจุดระเบิดไอเชื้อเพลิงที่อยู่ภายนอกได้


รูปที่ 2 (ซ้าย) ช่องว่างที่ใหญ่ทำให้เปลวไฟวิ่งจากห้องที่ 1 ด้านซ้ายไปยังห้องที่ 2 ทางด้านขวาได้ (ขวา) ช่องว่างที่แคบจะทำให้เปลวไฟสูญเสียความร้อนให้กับผนังโลหะ (เส้นสีน้ำเงิน) ในขณะที่เคลื่อนที่ผ่าน ทำให้เปลวไฟเย็นลงและดับก่อนที่จะวิ่งไปถึงห้องที่ 2 ทำให้ไม่เกิดการระเบิดในห้องที่ 2


อุปกรณ์ไฟฟ้าประเภท explosion proof นั้นไม่เพียงแต่จะต้องสามารถรองรับความดันที่เกิดจากแรงระเบิดนั้นเอาไว้ได้โดยตัวอุปกรณ์ไม่เกิดความเสียหาย แต่ยังต้องสามารถป้องกันไม่ให้เปลวไฟที่เกิดขึ้นภายในแพร่ออกมาจุดระเบิดไอเชื้อเพลิงที่อยู่ภายนอกได้ ด้วยเหตุนี้โครงสร้างของอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิด explosion proof จึงต้องมีความแข็งแรงมากกว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป ทั้งนี้เพราะต้องสามารถรับความดันที่เกิดขึ้นจากการระเบิดได้โดยที่ตัวเองไม่พัง และช่องว่างตรงรอยต่อต่าง ๆ (เช่นบริเวณเกลียว) จะมีขนาดเล็กเป็นพิเศษเพื่อให้เปลวไฟที่เกิดขึ้นจากการระเบิดภายในดับลงก่อนที่จะผ่านพ้นออกมาภายนอก (ดูรูปที่ 3)


รูปที่ 3 อุปกรณ์ไฟฟ้าที่เป็นชนิด explosion proof ไม่เพียงแต่จะต้องสามารถรองรับแรงระเบิดที่เกิดขึ้นภายในตัวอุปกรณ์ได้โดยตัวอุปกรณ์ต้องไม่เกิดความเสียหาย แต่ยังต้องไม่ทำให้เปลวไฟการระเบิดที่เกิดขึ้นในตัวอุปกรณ์หลุดรอดออกมาจุดติดไอเชื้อเพลิงที่อยู่ภายนอกได้ ซึ่งวิธีการดังกล่าวกระทำได้โดยการที่ช่องว่างที่เปลวไฟเดินทางผ่านได้จะต้องแคบและช่องว่างนั้นต้องยาวเพียงพอที่จะให้เปลวไฟเย็นตัวลงจนดับก่อนจะออกสู่ภายนอก


แต่เนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าจำเป็นต้องมีจุดเชื่อมต่อสำหรับสายไฟฟ้า ดังนั้นจึงต้องมีการอุดช่องว่างตรงตำแหน่งรอยต่อของสายไฟฟ้ากับตัวอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วย โดยปรกติแล้วสายไฟจะเดินอยู่ในท่อโลหะ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เปลวไฟที่เกิดจากการระเบิดภายในตัวอุปกรณ์วิ่งไปตามท่อร้อยสายไฟ โดยต้องมีการติดตั้งข้อต่อพิเศษ (รูปตัว Y) อยู่ในแนวท่อร้อยสายไฟ โดยต้องให้ข้อต่อนั้นอยู่ใกล้กับตัวอุปกรณ์ให้มากที่สุด (ดูรูปที่ 4 ประกอบ) จากนั้นจึงเติมวัสดุอุดประสานเข้าไปในข้อต่อดังกล่าว เพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่างสายไฟกับผนังด้านในของท่อร้อยสายไฟ (ดูรูปที่ 5 ประกอบ) ซึ่งจะเป็นการป้องกันไม่ให้เปลวไฟที่เกิดขึ้นในตัวอุปกรณ์วิ่งไปตามท่อร้อยสายไฟได้


รูปที่ 4 อุปกรณ์ไฟฟ้าที่เป็นชนิด explosion proof ต้องมีการป้องกันไม่ให้เปลวไฟจากการระเบิดวิ่งไปตามช่องว่างภายในท่อร้อยสายไฟ

รูปที่ 5 การป้องกันไม่ให้เปลวไฟวิ่งไปตามแนวท่อร้อยสายไฟทำโดยการติดตั้งข้อต่อพิเศษ และเติมวัสดุอุดประสานเข้าไปในข้อต่อดังกล่าว

รูปที่ 6 ภาพถ่ายระยะใกล้ของข้อต่อรูปตัว Y (ในวงแดง) ที่ติดตั้งอยู่กับท่อร้อยสายไฟของเต้ารับ

รูปที่ 7 ตัวอย่างข้อต่อรูปตัว Y (ในวงแดง) ติดตั้งอยู่ในแนวท่อร้อยสายไฟของสวิตช์ปิด-เปิดโคมไฟแสงสว่าง


3. การจำแนกพื้นที่อันตราย (Hazadous area classification)

การจำแนกพื้นที่อันตรายในที่นี้เป็นการจำแนกเพื่อการเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าให้เหมาะสม การจำแนกนั้นจะอาศัยประเภทของเชื้อเพลิง (สภาพแวดล้อม) โอกาสที่อุปกรณ์ไฟฟ้าจะสัมผัสกับเชื้อเพลิง (ความเสี่ยงในระหว่างการใช้งาน) และความรุนแรงของการระเบิดที่เกิดจากเชื้อเพลิงแต่ละชนิด


3.1 Class

หน่วยงาน National Electrical Code (NEC) ของสหรัฐอเมริกาได้ทำการแบ่งประเภทพื้นที่ทำงานออกเป็น 3 Class ตามชนิดของวัสดุไวไฟดังนี้

Class I ได้แก่บริเวณที่มีแก๊สหรือไอที่สามารถติดไฟได้

Class II ได้แก่บริเวณที่มีฝุ่นผงที่ติดไฟได้

Class III ได้แก่บริเวณที่มีเส้นใยหรือเศษชิ้นส่วนที่ติดไฟได้


กระบวนการต่างๆในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นแก๊สและ/หรือของเหลวและ/หรือของเหลวภายใต้ความดันที่อุณหภูมิสูง ดังนั้นบริเวณส่วนใหญ่ของเขตกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจึงจัดให้อยู่ใน Class I


3.2 Division

พื้นที่ Class นี้ยังแบ่งออกเป็น 2 Division ตามความน่าจะเป็นที่จะมีแก๊สหรือไอปรากฏดังนี้

Division I ได้แก่บริเวณที่สามารถมีแก๊สหรือไอในความเข้มข้นที่สามารถติดไฟได้ ปรากฎอยู่ในระหว่างกระบวนการผลิตตามปรกติ หรือมีปรากฎบ่อยครั้งเนื่องจากการซ่อมบำรุงหรือการรั่วไหล หรือในบริเวณที่มีโอกาสที่จะเกิดการรั่วไหลและอุปกรณ์ไฟฟ้าเกิดการขัดข้องพร้อม ๆ กัน ตัวอย่างของบริเวณ Division I ได้แก่

- บริเวณที่มีการถ่ายวัสดุไวไฟจากภาชนะหนึ่งลงสู่อีกภาชนะหนึ่ง

- ช่องระบายอากาศของถังเก็บวัสดุไวไฟ

- บริเวณอากาคติดตั้งปั๊มหรือคอมเพรสเซอร์ ที่ไม่มีการระบายอากาศเพียงพอ

- บริเวณพื้นที่นอกอาคารที่ไม่มีการระบายอากาศเพียงพอ

ส่วนบริเวณ Division II ได้แก่บริเวณดังต่อไปนี้

- บริเวณที่สารที่ไวไฟได้ถูกกักเก็บไว้ในระบบท่อหรือภาชนะปิด ซึ่งการรั่วไหลจะเกิดขึ้นเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น, เกิดการพัง, หรือเกิดความผิดปรกติในกระบวนการผลิต

- บริเวณที่ป้องกันไม่ให้สารไวไฟรวมตัวได้จนมีความเข้มข้นสูง โดยใช้ระบบการระบายอากาศโดยการรักษาความดันให้สูงกว่าภายนอก (positive pressure) แต่จะมีโอกาสที่สารไวไฟจะรวมตัวได้จนมีความเข้มข้นสูงเมื่อระบบระบายอากาศเหล่านี้ไม่ทำงาน

- บริเวณที่อยู่ถัดออกมาจาก Division I ซึ่งการส่งผ่านของแก๊สหรือไอสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ป้องกันได้โดยการควบคุมให้บริเวณนี้มีความดันสูงกว่าบริเวณ Division I


3.3 Group

นอกจากจะทำการแบ่งเป็น Class และ Division แล้ว อุปกรณ์ไฟฟ้ายังถูกแบ่งออกตามสารไวไฟที่เกี่ยวข้องโดยมี Group และ T number กำกับอีกตามประเภทของสารที่ติดไฟได้ ทั้งนี้เพราะสารแต่ละชนิดให้เปลวไฟที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาจึงต้องมีความสามารถในการรับแรงดันเนื่องจากการระเบิดและ MESG ที่แตกต่างกัน ในกรณีของ Class I นั้นจะแบ่งย่อยออกเป็น 4 Groups ตามประเภทของสารดังนี้


Group A ได้แก่บรรยากาศของ อะเซทิลีน

Group B ได้แก่บรรยากาศของ ไฮโดรเจน, แก๊สที่ติดไฟได้ที่มีไฮโดรเจนเกินกว่าร้อยละ 30 โดยปริมาตร, บิวทาไดอีน, เอททิลีนออกไซด์, โพรพิลีนออกไซด์, acrolein และแก๊สต่างๆที่มีลักษณะการระเบิดในทำนองเดียวกัน

Group C ได้แก่บรรยากาศของ ไซโครโพรเพน, เอททิลอีเทอร์, เอททิลีน, ไฮโดรเจนไซยาไนด์, ไฮโดรเจนซัลไฟด์, อะเซทัลดีไฮด์ ฯลฯ

Group D ได้แก่บรรยากาศของ อะซีโทน, แอมโมเนีย, เบนซีน, บิวเทน, เอทานอล, มีเทน, แก๊สโซลีน, เฮกเซน, เมทานอล, ไวนิลคลอไรด์, ไซลีน, โทลูอีน, สไตรีน, โพรเพน, โพรพิลีน ฯลฯ


รายละเอียดเพิ่มเติมของสารต่างๆที่ติดไฟได้กว่า 200 ชนิดได้ถูกรวบรวมไว้ในมาตรฐาน NFPA 497M (1986b) (National Fire Protection Association) บางส่วนได้นำมาแสดงไว้ในตารางที่ 1 ส่วนค่าความดันสูงสุดเนื่องจากการระเบิดและค่า MESG ของอุปกรณ์ไฟฟ้าในแต่ละ Group ได้แสดงไว้ในตารางที่ 2

ส่วน T number นั้นใช้ระบุอุณหภูมิสูงสุดบนพื้นผิวของอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่สูงขึ้นเนื่องจากการทำงานของอุปกรณ์ไฟ ฟ้า โดยให้ T1 สูงสุดคือ 460 องศาเซลเซียส และ T6 ต่ำสุดคือ 85 องศาเซลเซียส

สำหรับพื้นที่ใน Class II นั้น มีการแบ่งย่อยออกเป็น 3 Groups คือ E, F และ G ดังแสดงในตารางที่ 3 ข้อควรระวังคืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ออกแบบมาสำหรับ Class I ไม่สามารถนำมาใช้งานใน Class II ได้ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือฝุ่นผงต่างๆมักจะมีอุณหภูมิการจุดระเบิดต่ำกว่าไอ ดังนั้นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ออกแบบมาสำหรับ Class I จึงอาจมีอุณหภูมิพื้นผิวของอุปกรณ์ที่สูงกว่าอุณหภูมิการจุดระเบิดของฝุ่นผงได้ แต่อุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับ Class II นั้น มักจะสามารถนำไปใช้งานใน Class III ได้ ทั้งนี้เพราะแนวความคิดในการออกแบบคล้ายคลึงกัน การจัดแบ่ง Group ของ Class II นั้นแสดงไว้ในตารางที่ 3 ส่วนอุณหภูมิสูงสุดของพื้นผิวอุปกรณ์ที่ยอมให้เกิดขึ้นได้ในระหว่างการทำงานได้แสดงไว้ในตารางที่ 4


ตารางที่ 1 การแบ่งสารเคมีออกเป็น Group ต่างๆ สำหรับพื้นที่ที่ระบุว่าเป็น Class I

Group

Atmosphere

A

Acetylene

B

Acrolein (inhibited), Arsine, Butadiene, Ethylene, oxide, Hydrogen, Manufactured gases containing more than 30% hydrogen (by volume), propylene oxide, propylnitrate

C

Acetaldehyde, Allyl alcohol, n-Butyraldehyde, Carbon monoxide, Crotonaldehyde, Cyclopropane, Diethyl ether, Dethyl amine, Epichlorohydrine, Ethtylene, Ethylenimine, Ethyl mercaptan,

Ethyl sulfide, Hydrogen cynanide, Hydrogen sulfide, Morpholine, 2-Nitropropane, Tetrahydrofuran, Unsymetrical dimethyl hydrazine (UDMH 1, 1-Dimethyl hydrazine)

D

Acetic acid (glacial), Acetone, Acrylonitrile, Ammonia, Benzene, Butane, 1-Butanol (Butyl alcohol), 2-Butanol (Secondary butyl alcohol), n-Butyl acetate (Isobutyl acetate), di-Isobutylene, Ethane, Ethanol (Ethyl alcohol), Ethyl acetate, Ethyl acrylate (Inhibited), Ethylene diamine (Anhydrous), Ethylene dichloride, Ethylene glycol monoethyl ether, Gasoline, Heptanes, Hexanes, Isoprene, Isopropyl ether, Mesityl oxide, Methane (Natural gas), Methanol (Methyl alcohol),

3-Methyl-1-butanol (Isoamyl alcohol), Methyl ethyl ketone, Methyl isobutyl ketone,

2-Methyl-1-propanol (Isobutyl alcohol), 2-Methyl-2-propanol (Tertiary butyl alcohol),

Petroleum naphtha, Pyridine, Octanes, Pentanes, 1-Pentanol (Amyl alcohol), Propane, 1-Propanol (Propyl alcohol), 2-Propanol (Isopropyl alcohol), Propylene, Styrene, Toluene, Vinyl acetate, Vinyl chloride, Xylenes


ตารางที่ 2 ความดันสูงสุดของการระเบิดและขนาดช่องว่างที่กว้างที่สุดที่ยอมให้ได้ (MESG)

Group

ขนาดช่องว่าง (นิ้ว)

ความดันสูงสุด (PSIG)

A

0.003

11140

B

0.003

845

C

0.027

200

D

0.029

160


ตารางที่ 3 การแบ่งสารเคมีออกเป็น Group ต่างๆ สำหรับพื้นที่ที่ระบุว่าเป็น Class II

Group

Atmosphere

E

Metal dust, including aluminium, magnesium and their commercial alloys, and other metals of similarly hazardous characteristics having resistivity of 102 ohm-centimeter or less

F

Carbon black, Charcoal, Coal or coke dust

G

Flour, Starch, Grain dust, or combustible plastic or chemical dusts having resistivity greater than 108 ohm-centimeter


ตารางที่ 4 อุณหภูมิพื้นผิวสูงสุดของอุปกรณ์ที่ติดตั้งในพื้นที่ Class II


อุปกรณ์ที่คาดว่าจะไม่เกิดปัญหาภาระงานเกิดพิกัด (overlaod)

อุปกรณ์ที่คาดว่าอาจจะเกิดปัญหาภาระงานเกิดพิกัด

(เช่นมอเตอร์และหม้อแปลงไฟฟ้า)

การทำงานในสภาวะปรกติ

การทำงานในสภาวะผิดปรกติ

Group

°C

°F

°C

°F

°C

°F

E

200

392

200

392

200

392

F

200

392

150

302

200

392

G

165

329

120

248

165

329


4. Electrical calssification : special cases

4.1 High flash point liquids

National fire codes กำหนดไว้ว่าของเหลวที่มีอุณหภูมิจุดวาบไฟสูงเกินกว่า 100°F จัดว่าเป็นสาร combustible และของเหลวที่มีอุณหภูมิจุดวาบไฟสูงเกินกว่า 200°F จัดว่าเป็น Class III B combustible liquid ส่วน NFPA 497M ไม่ได้รวมเอาของเหลวใน Class III B เข้าไว้ในการจำแนกประเภทของแก๊สและของเหลว แม้ว่าความเป็นไปได้ที่สารที่มีจุดวาบไฟสูงจะเกิดการจุดระเบิดได้ค่อนข้างต่ำมาก แต่ในบางกรณีของเหลวที่มีอุณหภูมิจุดวาบไฟสูงเหล่านี้อาจต้องได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่นน้ำมันที่ใช้ในการถ่ายเทความร้อนที่มีอุณหภูมิจุดวาบไฟสูงเกินกว่า 250°F ในระหว่างใช้งาน เมื่อเกิดการรั่วไหลออกมาอาจก่อให้เกิดละอองหยดน้ำมันเล็กๆที่สามารถแพร่เข้าไปในตัวอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆได้ พฤติกรรมของละอองน้ำมันเล็กๆนี้คล้ายคลึงกับพฤติกรรมของฝุ่นอนุภาค ดังนั้นในบริเวณที่อาจเกิดละอองน้ำมันนี้ขึ้นได้อาจต้องพิจารณาให้บริเวณดังกล่าวเป็น Division 3


4.2 Battery installations

ในบางส่วนของโรงงานจะมีการติดตั้งหรือใช้งานแบตเตอรี่จำนวนมาก หน่วยไฟฟ้าสำรองและหน่วยอัดประจุให้กับแบตเตอรี่ของรถยก ในบริเวณเหล่านี้จะมีแก๊สไฮโดรเจนรั่วออกมา แต่ก็ในปริมาณเล็กน้ย ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบไฟฟ้าพิเศษในบริเวณ อย่างไรก็ตามจะต้องมีการถ่ายเทอากาศที่ดีในบริเวณดังกล่าว มิฉะนั้นจะเกิดการสะสมของแก๊สไฮโดรเจนจนมีความเข้มข้นมากเพียงพอที่จะก่อให้เกิดเป็น explosive mixture ขึ้นได้


4.3 Process control buildings

ในบริเวณอาคารควบคุมมักจะได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กโทรนิคหลายอย่าง เช่น อุปกรณ์ควบคุม คอมพิวเตอร์ สัญญาณเตือนภัย อุปกรณ์บันทึกข้อมูลและแสดงผล ฯลฯ อาคารเหล่านี้ควรได้รับการติดตั้งให้อยู่ภายนอกบริเวณที่ต้องทำการจำแนกประเภท

เนื่องจากอุปกรณ์ควบคุมต่างๆที่อยู่ในอาคารควบคุมไม่สามารถทำให้เป็นชนิด explosion proof ได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันอันตรายเนื่องจากแก๊สไวไฟที่อยู่ภายนอกอาคารรั่วไหลเข้ามาในอาคารและเกิดการจุดระเบิดขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการอัดความดันและระบายแก๊สออกจากตัวอาคาร NFPA 496 "Standard for purged and pressurized enclosed for electrical equipment, 1986" ได้ให้ข้อกำหนดสำหรับอาคารที่ต้องมีการอัดความดันและมีการระบายแก๊สไว้ดังนี้

1. ตัวห้องหรือตัวอาคารจะต้องได้รับการออกแบบให้สามารถป้องกันการรั่วไหลของแก๊ส ไอ หรือของเหลวไวไฟ

2. แหล่งทำหน้าที่ดึงอากาศภายนอกเข้ามาเพิ่มความดันและระบายออกไปจะต้องไม่ติดตั้งอยู่ในบริเวณที่มีแก๊สหรือไอที่ติดไฟได้, ปราศจากฝุ่นผง, แก๊สพิษ ฯลฯ

3. ระบบระบายอากาศต้องสร้างขึ้นจากวัสดุที่ไม่ติดไฟ สามารถป้องกันการรั่วของไอหรือแก๊สไวไฟ มีความแข็งแรงและทนต่อการกัดกร่อน

4. ความดันภายในอาคารควรสูงกว่าความดันภายนอกอาคารประมาณ 0.1 นิ้วน้ำเมื่อวัดในขณะที่ทำการปิดช่องเปิดต่าง ๆ ทุกช่อง และควรมีอากาศไหลระบายออกไปด้วยความเร็วประมาณ 60 ft/min ผ่านทางช่องระบายต่างๆ ความดันภายในอาคารไม่ควรจะสูงเกินไปนักเพราะจะทำให้เปิดประตูได้ยาก โดยทั่วไปจะใช้ค่าความดันประมาณ 0.4 นิ้วน้ำในการออกแบบอาคาร


การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าประเภท explosion proof จะเกิดประโยชน์ก็ต่อเมื่ออุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชิ้นที่อยู่ในบริเวณ Hazardous area เดียวกันนั้นเป็นอุปกรณ์ explosion proof ระดับเดียวกัน ประเภทที่กำหนดความต้องการให้ติดตั้งระบบไฟแสงสว่างกับเต้ารับเป็นชนิด explosion proof แต่ถ้าตัวอุปกรณ์ไฟฟ้าตัวอื่นที่ใช้ในบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่อง GC เตาเผา hot plate magnetic stirrer ฯลฯ หรือแม้กระทั่งชุดสายเต้ารับที่ใช้ต่อพ่วงออกมานั้น ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ชนิด explosion proof ด้วยแล้ว การไปกำหนดให้ระบบไฟแสงสว่างกับเต้ารับเป็นชนิด explosion proof ก็ไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรเลย กลับทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างมากเกิดจำเป็นด้วยอีกต่างหาก และเมื่อไม่มีการดูแลอย่างถูกต้อง เมื่อเวลาผ่านไปอุปกรณ์ explosion proof เหล่านั้นก็จะไร้ความสามารถในการป้องกันการระเบิด


หนังสือประกอบการเขียน

เนื้อหา รูปประกอบ (ยกเว้นส่วนที่เป็นรูปถ่าย) และข้อความในตาราง นำมาจากหนังสือที่เขียนโดย

Richard J. Buschart, "Electrical and instrumentation safety for chemical processes", van Norstrand Reinhold, New York, 1991.

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทำให้เรียบร้อย (ตอนที่ ๒) MO Memoir : Sunday 28 March 2553

เมื่อวานพึ่งจะอ่านวิทยานิพนธ์ปริญญาโทที่จะสอบในวันจันทร์ที่ ๒๙ มีนาคมนี้จบไปทั้ง ๔ เล่ม พบว่าใน ๔ เล่มนั้นคุณภาพงานเขียนวิทยานิพนธ์ ๓ เล่มนั้นเป็นได้อย่างมากเพียงแค่ฉบับ "ร่างครั้งแรก" ไม่คู่ควรกับการเป็นฉบับส่งให้กรรมการสอบอ่านเลย ดูเหมือนผู้เขียนทำแบบขอไปที ขอให้มีส่ง หวังว่ากรรมการคงจะไม่อ่านกัน คงเป็นเพียงแค่มาฟังการนำเสนอในห้องสอบแล้วก็ให้คะแนนไปตามที่ได้ยินได้ฟัง นี่ก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าตัวอาจารย์ที่ปรึกษาเองมีโอกาสได้อ่านมาก่อนหรือเปล่า หรือรอฟังแต่ผลที่นิสิตนำมาเสนอ พอได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้วก็ปล่อยให้ไปเขียนกันเองโดยไม่สนเลยว่านิสิตจะเขียนอะไรลงไป บ่อยครั้งที่พบว่าอาจารย์ที่ปรึกษาทำเพียงแค่ "ได้เห็น" คือตาเห็น แต่ไม่ได้อ่านสิ่งที่นิสิตในที่ปรึกษาเขียน งานนี้กะว่าจะขอส่งวิทยานิพนธ์ทั้ง ๓ เล่มคืนนิสิตให้กลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยนัดสอบใหม่จะดีกว่า

บางคนคงเคยได้ยินแล้วว่ากรรมการสอบวัดคุณสมบัตินิสิตปริญญาเอกชุดที่ผมเป็นกรรมการร่วมอยู่นั้น เคยให้นิสิตปริญญาเอกผู้หนึ่งสอบวัดคุณสมบัติไม่ผ่านถึง ๒ ครั้ง ซึ่งเป็นผลให้นิสิตผู้นั้นต้องพ้นสภาพนิสิตไปตามระเบียบของมหาวิทยาลัย งานนี้กรรมการชุดนั้นทุกคนโดยหัวหน้าหน่วยงานเรียกตัวไปถามเป็นรายคนว่าทำไมถึงให้ตก ปรากฏว่ากรรมการทุกคนตอบตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายว่างานที่นิสิตคนดังกล่าวทำส่งมานั้น "ชุ่ย" กล่าวคือสิ่งที่เขาส่งมาในรายงานกับสิ่งที่เขานำเสนอในการสอบครั้งแรกนั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน พอโดนซักก็บอกว่าเขาเปลี่ยนแนวทาง (เหตุผลฟังไม่ขึ้น) เพราะถ้าจะเปลี่ยนเรื่องไปเลยก็ต้องแจ้งกรรมการสอบว่าขอยกเลิกเอกสารเก่า และส่งเอกสารใหม่มาให้ และนัดวันสอบใหม่ ไม่ใช่มาบอกกันในห้องสอบ ทำให้รู้ได้เลยว่ากะว่ากรรมการคงไม่อ่านเอกสาร เลยเอาอะไรต่อมิอะไรมายัดไส้ต่อเข้าด้วยกัน ดูเผิน ๆ เป็นเหมือนเอกสารสมบูรณ์ แต่พออ่านดูจะรู้ว่าเรื่องราวมันไม่เกี่ยวข้องกันเลย พอสอบใหม่ครั้งที่สองก็ยังทำแบบเดิมอีก (คงกะว่ากรรมการสอบคงนึกไม่ถึงว่าจะทำซ้ำเดิมอีก) งานนี้ก็เลยเจอดีเข้าไป

อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เมื่อกว่า ๑๐ ปีที่แล้วผมเคยให้นิสิตปริญญาโทที่เรียนมา ๔ ปีแล้วสอบวิทยานิพนธ์ตก กล่าวคือนิสิตคนดังกล่าวพอสอบโครงร่างเสร็จก็หายหน้าไปเลย พอเทอมสุดท้ายปี ๔ ก็โผล่หน้ามาให้อาจารย์ที่ปรึกษาเห็น ตอนสอบก็บอกว่าได้ทำไอ้นั่น ได้ทำไอ้นี้ ผลที่ได้ออกมาเป็นอย่างนี้ พอขอดูงานที่ทำจริงก็ปรากฏว่าไม่มี วิทยานิพนธ์ของเขาเป็นเพียงแค่นำเอาข้อความในคู่มือการใช้ซอร์ฟแวร์มาตัดต่อเข้าด้วยกันแค่นั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย งานนั้นดูเหมือนว่าจะมีผมกับกรรมการสอบอีกท่านที่ได้อ่านวิทยานิพนธ์ฉบับนั้นมาทั้งเล่มก่อนสอบ ที่น่าแปลกก็คือตัวประธานสอบกับอาจารย์ที่ปรึกษาขอให้นิสิตสอบผ่าน ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่าเขาเรียนมา ๔ ปีแล้ว (โดยที่ไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์เป็นชิ้นเป็นอันเลยหรือ) งานนี้กรรมการสอบก็เลยตอบกลับไปว่าถ้าเช่นนั้นก็ไปหากรรมการสอบชุดใหม่เองก็แล้วกัน

สำหรับผู้ที่พึ่งจะมาเห็นบันทึกฉบับนี้ (อาจจะโดยเปิดเข้าดูเอง หรือมาตามที่ผมแจ้งไว้ในวิทยานิพนธ์ที่ส่งกลับคืนไปว่าให้มาอ่าน) ก็ขอแจ้งให้ทราบว่าก่อนหน้านี้ได้เคยกล่าวถึงเรื่องทั่วไปในการเขียนเอาไว้บ้างแล้วใน


MO Memoir 2551 Saturday 20 September 2551 การเขียนเอกสารอ้างอิง

MO Memoir 2552 Friday 6 February 2552 การเขียนวิทยานิพนธ์

MO Memoir 2552 Friday 3 April 2552 ทำให้เรียบร้อย


ซึ่งผู้ที่ต้องการให้ผมเป็นกรรมการสอบ (สำคัญมากเพราะจะไม่ทำให้กรรมการสอบอารมณ์เสียก่อนเข้าห้องสอบ) หรือผู้ที่ต้องมาแก้ไขเพื่อให้ผมตรวจใหม่นั้น กรุณาอ่านและทำตามด้วย จะเป็นประโยชน์แก่กันทั้งสองฝ่าย


ที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่ใช่รูปแบบที่ "ต้องทำ" แต่เป็นรูปแบบที่ "ควรทำ" หรือเป็นสิ่งที่ "ต้อง" ตรวจทาน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกว่าผู้เขียนวิทยานิพนธ์นั้นมีความพิถีพิถันและความตั้งใจในการทำงาน ไม่ได้ทำแบบขอไปทีโดยนึกว่ากรรมการสอบนั้นเป็นเพียงแค่ตรายาง คือคิดว่ายังไงก็ต้องผ่านเพราะว่าได้เป็น (แค่) ลูกมือทำผลแลปให้อาจารย์เอาไปเขียน paper แล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาก็ต้องให้จบอยู่ดี (ทำนองว่ายื่นหมูยื่นแมวนั่นแหละ) โดยที่ตัวเองไม่ต้องไปสนหรือรู้ว่าได้ทำอะไรลงไป เรื่องแบบนี้ผมเจอบ่อยจนถึงกับปฏิเสธไม่ขอเป็นกรรมการสอบของนิสิตของอาจารย์หลายราย


. การเว้นบรรทัดระหว่างหัวข้อกับย่อหน้าแรกใต้หัวข้อ และการเว้นวรรคระหว่างเลขหัวข้อกับชื่อหัวข้อ


ในวิทยานิพนธ์นั้นมักจะมีหัวข้อต่าง ๆ อยู่หลายหัวข้อ ภายใต้หัวข้อเหล่านั้นก็จะเป็นคำบรรยาย สิ่งที่ต้องทำคือตรวจสอบว่ารูปแบบที่คุณใช้นั้น พอขึ้นหัวข้อใหม่แล้ว ก่อนที่จะขึ้นย่อหน้าแรกคุณมีการเว้นบรรทัดหรือไม่ ถ้าคิดจะเว้น ๑ บรรทัดก็ทำให้ตลอดทั้งเล่ม ถ้าจะไม่เว้นก็ทำให้เหมือนกันทั้งเล่ม และทุกบทก็เหมือนกันด้วย ตัวอย่างเช่น


.๒ ชื่อหัวข้อเรื่อง ........


เนื้อหาในเรื่องนี้มีอยู่ว่า ...........


ซึ่งตรงนี้มีการเว้นบรรทัด แต่พออ่านไปกลับไปเจอ


.๑ ชื่อหัวข้อเรื่อง ...........

เนื้อหาในเรื่องนี้มีอยู่ว่า ............


กลับกลายเป็นว่าไม่เว้นบรรทัดระหว่างหัวข้อกับย่อหน้าแรก

นอกจากนี้ยังเคาะวรรคไม่เท่ากันอีก กล่าวคือระหว่างเลข . กับชื่อหัวข้อมีการเคาะวรรค ๒ วรรค แต่ระหว่างเลข . กับชื่อหัวข้อมีการเคาะวรรคแค่วรรคเดียว จะทำแบบใดก็เลือกเอาแบบหนึ่งให้เหมือนกันทั้งเล่ม


. ไม่ยอมตรวจหาคำที่พิมพ์ผิด


ที่แปลกใจก็คือวิทยานิพนธ์ที่ผมกำลังจะสอบในวันจันทร์พรุ่งนี้มีที่พิมพ์ผิดเยอะมาก ทั้ง ๆ ที่คำที่พิมพ์ผิดเหล่านี้ตัวโปรแกรมที่ใช้พิมพ์ (ซึ่งเชื่อว่าเกือบทุกคนคงใช้ Microsoft Office และมีส่วนน้อยที่ใช้ Latex) นั้นสามารถตรวจพบได้ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมใช้มันตรวจ หรือว่าไม่ได้สนใจว่ามันบอกว่าพิมพ์ผิด ที่ผมยังสงสัยคือทำไมโปรแกรม Open Office ที่ผมใช้พิมพ์ Memoir นี้มันไม่แสดงคำที่พิมพ์ผิด ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งค่าเอาไว้ให้มันตรวจหาคำพิมพ์ผิดระหว่างพิมพ์เอาไว้ด้วย

สักสิบกว่าปีที่แล้วผมก็เคยเจอแบบนี้ พอถามนิสิตกลับไปว่าทำไมถึงไม่ใช้โปรแกรมแก้ไขคำที่พิมพ์ผิด เขาก็ตอบกลับมาว่ามันมีเยอะมากและเสียเวลาแก้ไขมาก ผมก็เลยถามกลับไปว่าแล้วคุณคิดว่าเวลาของกรรมการสอบนั้นมันไม่มีค่าหรือไง ในการที่ต้องมานั่งอ่านและตรวจแก้ไขคำที่พิมพ์ผิดให้คุณ ทั้ง ๆ ที่คุณใช้โปรแกรมตรวจหาในไฟล์ของคุณจะง่ายกว่าและเสียเวลาน้อยกว่ามาก

อีกรายหนึ่ง (แลปเดียวกับพวกเรา แต่อยู่คนละกลุ่มกัน) ที่อยู่ในรุ่นเดียวกับคนในย่อหน้าข้างบนก็มาอีกแบบหนึ่ง คือเขาไม่ยอมไปตรวจหาเอง ใช้วิธีการแก้ไขเฉพาะที่กรรมการตรวจเจอเท่านั้น (แต่กรรมการบอกไว้ชัดเจนว่าให้ไปตรวจดูทั้งเล่มใหม่หมดด้วย ไม่ใช่ตรวจแก้เฉพาะตรงที่กรรมการวงแดงเอาไว้) โดยคิดว่ากรรมการคงไม่ตรวจเพิ่มอีก งานนี้ผมก็เลยยังไม่ยอมลงชื่อในฉบับสมบูรณ์ ส่งกลับไปให้แก้ไขจนกระทั่งวันสุดท้ายของการส่ง ก็ยังพบว่ามีที่ผิดที่เขายังไม่ไปแก้ไขอีก ตอนที่เขามาหาผมที่ห้องทำงานพร้อมกับเพื่อนของเขอเพื่อขอให้ผมลงชื่อนั้น เขาก็สัญญาว่าขอให้อาจารย์ลงชื่อให้เขาส่งงานให้ได้ก่อน เพราะวันนี้วันสุดท้ายแล้ว แล้วเขาจะแก้ไขให้ พอผมลงชื่อในเอกสารและยื่นส่งคืนให้เขา พอเขารับเอกสารไปเรียบร้อยเขาก็พูดต่อหน้าผมและเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่า "แล้วอาจารย์คิดหรือว่าหนูจะกลับมาให้เห็นอีก" ผมฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปและไม่ได้เล่าให้อาจารย์ท่านใดฟัง

ปรากฏว่าเขาไปได้งานเป็นอาจารย์ที่สถาบันแห่งหนึ่ง บังเอิญว่าทางสถาบันนั้นมีทุนให้อาจารย์ที่ยังไม่จบระดับปริญญาเอกให้เรียนต่อปริญญาเอกในประเทศ เขาก็สมัครมาเรียนที่เดิมโดยขอกลับมาเรียนกับอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดิมของเขา บังเอิญว่าอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเพื่อวางตัวอาจารย์ผู้สอนและผู้ดูแล งานนี้ผมเลยขอปฏิเสธพร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟัง ส่วนท่านอื่นจะตัดสินใจอย่างไรนั้นผมไม่มีความเห็นและไม่ขอออกความเห็นใด ๆ ทั้งสิ้น

สุดท้ายได้ยินมาว่าเขาได้ทุนไปเรียนต่อเอกต่างประเทศ และในขณะนี้จบการศึกษาและกลับมาทำงานเป็นอาจารย์ได้หลายปีแล้ว


. เคาะวรรคไม่สม่ำเสมอ


อันนี้เจอเป็นประจำกับพวกที่เขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ คือแต่ละคำในแต่ละประโยคนั้นเคาะวรรคไม่สม่ำเสมอ บางทีก็เคาะวรรค ๑ วรรค บางทีก็ ๒ วรรค ตอนที่ผมเรียนพิมพ์ดีดนั้น ครูผู้สอนก็ย้ำเสมอว่าเพื่อให้งานออกมาดูสวยงาม ระยะระหว่างคำในแต่ละประโยคให้เว้น 1 วรรค ส่วนระยะระหว่างประโยค (หลังจุด full stop จนถึงอักษรตัวแรกของประโยคถัดไป) ให้เว้น ๒ วรรค

แต่พอมาใช้คอมพิวเตอร์นั้น ผมก็ยังใช้เกณฑ์นี้อยู่ อาจมียกเว้นบ้างในกรณีที่ใช้การกั้นหน้าสม่ำเสมอซ้าย-ขวา ถ้าพบว่าการเว้นวรรค ๒ วรรคระหว่างประโยคนั้นทำให้การตัดประโยคขึ้นบรรทัดใหม่นั้นดูไม่สวยงาม ก็อาจมีการเปลี่ยนเป็น ๑ วรรคหรือเป็น ๓ วรรคระหว่างประโยค แต่ก็เป็นการกระทำเพียงบางจุดเท่านั้น ไม่ใช่เอาแน่เอานอนไม่ได้


คำที่อยู่หน้าเครื่องหมาย "," บางทีก็ไม่เคาะวรรค เช่น


....... for example, .....


แต่บางทีก็เคาะวรรค เช่น


....... for example , .....


โดยส่วนตัวแล้วผมชอบแบบแรก (ที่ไม่เคาะวรรค) มากกว่า


เล็กบ้าง-ใหญ่บ้าง เต็มบ้าง-ย่อบ้าง


ที่พบเป็นประจำคือคำว่า table และ figure ที่อยู่ในประโยคและไม่ได้เป็นคำแรกของประโยค

กล่าวคือจะเขียนแบบ ..... as shown in figure ...... (ตัวเล็ก) หรือ ..... as shown in Figure ..... (ตัวใหญ่) ก็เลือกเอาแบบใดแบบหนึ่ง

อีกแบบคือ ..... as shown in figure ..... (แบบไม่ย่อ) หรือ ..... as shown in fig. ..... (แบบย่อ แต่อย่างลืมใส่จุด (.) ด้วยนะ) ก็เลือกเอาแบบใดแบบหนึ่ง

อีกอันหนึ่งที่เจอก็คือไม่เติม "s" เมื่อมีมากกว่า 1 กล่าวคือ

ถ้าเป็นรูปเดียวเช่น ..... as shown in figure 4.4 .... ก็ไม่ต้องเติม s

แต่ถ้ามีสองรูปเช่น ..... as shown in figures 4.4 and 4.5 ต้องเติม s ท้ายคำ figure

และถ้ามีมากกว่าสองรูปเช่น ..... as shown in figures 4.4 - 4.7 ก็ต้องมี s และใช้เครื่องหมาย hyphen (-) คั่นระหว่างรูปแรกและรูปสุดท้ายได้เลย ไม่ใช่เขียนเป็น ..... as shown in figure 4.4, 4.5, 4.6, and 4.7 ...

คำว่า Figure x.x ที่กำกับรูปหรือคำว่า Table x.x ที่กำกับตาราง ควรใช้ตัวพิมพ์เข้ม เพื่อเน้นให้เด่นจากข้อความปรกติและตัวคำบรรยายรูปภาพหรือตาราง เช่น


Figure 4.4 Flow diagram of ....


Table 4.1 Parameters ....


และควรมีการเว้น ๑ บรรทัดระหว่างข้อความกับรูปภาพหรือตารางด้วย โดยชื่อรูปควรอยู่ใต้รูป และชื่อตารางควรอยู่เหนือตาราง


. ย่อหน้าไม่สม่ำเสมอ


บางคนนั้นเวลาที่มีหัวข้อย่อย ก็จะทำการย่อหน้าลึกเข้าไปทางขวาเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น


xxxxx5.1 Effects of .....


xxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1


xxxxxxxxxx5.1.1 Effects of .....


xxxxxxxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1.1 .....


แต่บางคนก็จะคงระยะย่อหน้าไว้คงที่เสมอ เช่น


xxxxx5.1 Effects of .....


xxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1


xxxxx5.1.1 Effects of .....


xxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1.1 .....


เรื่องการย่อหน้าเข้ามานี้ บางที่ก็มีระเบียบบังคับไว้เลยว่าถ้าเป็นหัวข้อย่อยก็ให้ถอยลึกเข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้บางรายที่มีหัวข้อย่อหลายหัวข้อต้องย่อหน้าเข้ามากว่าครึ่งหน้า (เห็นแล้วดูไม่ได้เลย ไม่รู้คนคิดระเบียบนั้นคิดได้อย่างไร) ถ้าไม่มีระเบียบการเขียนกำหนดไว้ ก็ให้เลือกเอาแบบใดแบบหนึ่งให้เหมือนกันทั้งเล่ม


. มีจุด full stop ปิดท้ายด้วย


เป็นเรื่องประจำที่พบว่าผู้ที่เขียนวิทยานิพนธ์นั้นลืมใส่จุด full stop (.) ไว้ที่ท้ายประโยค จุดหนึ่งที่เห็นลืมกันมากที่สุดคือในส่วนเอกสารอ้างอิงที่เป็นฉบับภาษาอังกฤษ ที่ต้องมีจุด full stop ปิดท้ายด้วย และที่ชื่อรูปภาพและชื่อตารางด้วย


. ไม่ยอมเคาะวรรค


ระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ระหว่างคำกับตัวเลข ระหว่าง คำ/ตัวเลขกับเครื่องหมายเปิดวงเล็บ หรือระหว่างเครื่องหมายปิดวงเล็บกับคำ/ตัวเลข ควรมีการเว้นวรรค 1 วรรคเพื่อให้ข้อความดูสวยงามและอ่านง่าย เช่น

รูปที่๓.๒แสดงให้เห็นว่า ..... ให้เขียนเป็น รูปที่ ๓.๒ แสดงให้เห็นว่า ..... (มีวรรค 1 วรรคอยู่หน้าเลข ๓ และหลังเลข ๒)

Figure4.1 shows that ...... ให้เขียนเป็น Figure 4.1 shows that ..... (มีวรรค 1 วรรคอยู่หน้าเลข 4)

ข้อมูล(ซึ่งได้มา ...... นั้น)แสดงให้เห็นว่า..... ให้เขียนเป็น ข้อมูล (ซึ่งได้มา ...... นั้น) แสดงให้เห็นว่า..... (มีวรรค 1 วรรคอยู่หน้าเครื่องหมายเปิดวงเล็บและหลังเครื่องหมายปิดวงเล็บ)


. คำอธิบายสัญลักษณ์


สำหรับงานที่มีสมการคณิตศาสตร์มากนั้น ควรมีการรวบรวมสัญลักษณะต่าง ๆ มาอธิบายไว้ข้างหน้า โดยต้องเรียงลำดับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ตามตัวอักษรจาก A-Z ต่อจากนั้นจึงเป็นคำอธิบาย superscript และ subscript และตามด้วยคำอธิบายอักษร Greek ไม่ใช่ใส่เอาแบบตามใจชอบแล้วให้คนอ่านไปหาเอาเองว่าซ่อนไว้ตรงไหน

และควรระบุด้วยว่าตัวแปรแต่ละตัวมีหน่วยเป็นอะไรหรือเป็นตัวแปรที่ไม่มีหน่วย หน่วยบางหน่วยนั้นสามารถเขียนแบบกลาง ๆ ได้ เช่นพื้นที่ผิวภายนอกต่อหน่วยปริมาตร อาจเขียนเป็น m2/m3 หรือ l2/l3 (ความยาวกำลัง 2 ต่อความยาวกำลัง 3 เมื่อ l คือความยาว) ก็ได้


. ตกลงว่าจะพิมพ์สีหรือขาวดำ


ปัญหานี้พบประจำเวลาที่ทำรูปกราฟต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ชอบที่จะทำเป็นรูปสี แต่ตอนพิมพ์วิทยานิพนธ์กลับใช้เครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ได้แต่สีดำ ผลที่ตามมาคือไม่สามารถอ่านภาพได้ เส้นที่เป็นสีอ่อนจะหายไป เส้นที่เป็นสีเข้มจะดูเหมือนกันหมด หรือรูปที่เป็นการแรเงาไล่สีจะดูออกมาดำไปหมด

ดังนั้นถ้าคิดจะใช้เครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ได้แต่สีดำ การสร้างกราฟหรือรูปภาพต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ก็ควรจะทำให้เป็นสีดำ (หรือภาพขาว-ดำ) ซึ่งจะทำให้เห็นก่อนว่าถ้าพิมพ์ออกมาแล้วจะอ่านได้หรือเปล่า


อนึ่งพึงระลึกว่าข้อความเรื่องการจัดรูปแบบใน memoir นี้เขียนโดยใช้โปรแกรม OpenOffice แต่เมื่อนำไปลงใน blog แล้วอาจมีรูปแบบที่เพี้ยนไปได้ (เนื่องจากตัว blog เองไม่ได้มีฟังก์ชันให้จัดรูปแบบได้เหมือนโปรแกรมพิมพ์งานทั่วไป)