เมื่อประมาณต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ผมได้เห็นภาพ Infographic
รูปหนึ่งที่มีคนกด
Share
ต่อ
ๆ กันมา ซึ่งเมื่ออ่านดูแล้วก็เห็นว่าอ่านสนุกและมีสาระดี
แต่ก็มีอยู่จุดหนึ่งที่ผมอ่านแล้วสะกิดใจ
ลองอ่านกันเองดูก่อนไหมครับ
แล้วลงเดาดูว่าผมเองไปสะกิดใจตรงไหน
ตัวคุณเองก็ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนผมหรือเห็นด้วยกับผมก็ได้
(ดูรูปที่
๑ ข้างล่าง)
รูปที่ ๑ Info graphic ที่เห็นจากการกด Share ทาง facebook
รูปที่ ๑ Info graphic ที่เห็นจากการกด Share ทาง facebook
จุดที่สะกิดใจผมก็คือวิธีการนำเสนอตรงวัสดุที่ใช้ทำภาชนะบรรจุครับ
ที่ผมตัดเฉพาะส่วนนี้มาให้ดูในรูปที่
๒ ข้างล่าง
ลองอ่านดูเอาเองก่อนก็แล้วกันว่าหลังจากอ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง
รูปที่ ๒ นำมาเฉพาะส่วนวัสดุที่ใช้ทำถ้วย
รูปที่ ๒ นำมาเฉพาะส่วนวัสดุที่ใช้ทำถ้วย
สิ่งแรกที่ผมสะดุดตาก็คือชื่อชนิดวัสดุ
เริ่มจากช่องซ้ายสุดที่ระบุว่าเป็น
“พลาสติก PP
(Polypropylene)” ช่องกลางที่ระบุว่าเป็น
“โฟม PS
(Polystyrene)” และช่องขวาสุดที่ระบุว่าเป็น
“กระดาษลามิเนต
PE
(Polyethylene)”
คำถามแรกก็คือพอเราเห็นคำภาษาอังกฤษในวงเล็บแล้วเราคิดว่ามันคืออะไร
(ก)
มันเป็นเพียงคำเต็มของคำย่อ
PP
PS และ
PE
ที่อยู่ท้ายชื่อในบรรทัดบน
หรือ
(ข)
มันแทนคำบรรทัดบนทั้งคำ
(คือแทนคำว่า
พลาสติก PP
โฟม
PS
และกระดาษลามิเนต
PE)
ถ้าเรามองมันแบบข้อ
(ก)
ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าเรามองมันแบบข้อ (ข)
ก็ลองพิจารณาดูว่าตอนที่เราเห็นคำว่า
“กระดาษ”
นั้นเรารู้สึกอย่างไรหรือเปล่ากับภาชนะบรรจุที่ทำจากวัสดุดังกล่าวเทียบกับสองตัวแรกที่ระบุชัดเจนว่าเป็นพลาสติกและโฟม
ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นวัสดุทั้ง
๓ ชนิดต่างประกอบด้วยวัสดุพลาสติกทั้งนั้น
ถัดไปคือข้อมูลการเปรียบเทียบ
ในที่นี้สำหรับวัสดุทั้ง
๓ ชนิดนั้นเริ่มด้วยอุณหภูมิใช้งาน
ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องมีการเติมน้ำร้อนก่อนการบริโภค
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ว่าที่ว่าวัสดุทั้ง
๓ ชนิดนั้นจะต้องทนอุณหภูมิได้อย่างต่ำ
100ºC
(อุณหภูมิของน้ำเดือด)
ข้อมูลการเปรียบเทียบในบรรทัดถัดไปผมเห็นว่าน่าสนใจ
ข้อมูลตัวที่สองที่ให้มานั้นสำหรับพลาสติก
PP
และโฟม
PS
บอกถึงข้อดี
แต่พอเป็นกระดาษลามิเนตกลับไม่มีการบอกข้อดี
กล่าวถึงข้อเสียเลย
การนำเสนอเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามได้ว่าถ้าวัสดุดังกล่าวมันไม่มีข้อดีในการนำมาใช้ทำบรรจุภัณฑ์ดังกล่าว
แล้วเขานำเอามาทำบรรจุภัณฑ์ดังกล่าวทำไม
ที่แปลกก็คือในกรณีของโฟม
PS
มีการให้ข้อมูลตัวที่สามที่เป็นข้อเสียของโฟม
PS
คือใช้เวลานานในการย่อยสลาย
แต่จะว่าไปแล้วการใช้เวลานานในการย่อยสลายมันไม่ได้เป็นเฉพาะ
PS
พลาสติก
PE
และ
PP
ก็มีปัญหานี้เช่นเดียวกัน
แต่กลับไม่นำมาแสดงในช่องข้อมูลของพลาสติกอีกสองชนิดนั้น
และจะว่าไปแล้วถ้าสังเกตก็จะเห็นว่าพื้นที่การนำเสนอข้อมูลของวัสดุทั้ง
๓ ชนิดนั้นก็เท่า ๆ กัน
แต่ในกรณีของโฟม PS
กลับมีการลดขนาดตัวหนังสือ
(font)
ให้เล็กลง
เพื่อที่จะได้ใส่ข้อมูลตัวที่สามที่เป็นข้อเสียลงไปได้
(คำถามก็คือทำไมไม่ทำอย่างนี้กับวัสดุอีกสองชนิดที่เหลือด้วย)
โดยปรกติแล้ว
ผมเห็นว่าถ้าจะทำการเปรียบเทียบสิ่งใดก็ควรให้ข้อมูลขั้นต่ำที่ประกอบด้วย
คุณสมบัติ/คุณลักษณะทั่วไป
จุดเด่น และจุดต้อย
เพื่อที่จะได้เป็นการเปรียบเทียบที่เป็นธรรม
ไม่เลือกเฉพาะข้อดีของตัวใดตัวหนึ่ง
(โดยปกปิดข้อเสีย)
และเลือกเฉพาะข้อเสียของอีกตัวหนึ่ง
(โดยปกปิดข้อดี)
มานำเสนอ
เพราะจะทำให้การพิจารณานั้นผิดพลาดไปได้
เวลากล่าวถึงการย่อยสลายบางทีก็ต้องมาคุยนิยามกันว่าแค่ไหนจึงจะเรียกว่าย่อยสลาย
วัสดุพลาสติกบางชนิดนั้นมีการเติมพวก
platicizer
ผสมลงไป
เพื่อให้แตกออกเป็นชิ้นเล็ก
ๆ ได้ง่าย (ที่เห็นได้ชัดคือถุงพลาสติกหูหิ้ว)
ไม่คงรูปอยู่ในสภาพชิ้นส่วนใหญ่
แต่ว่าแต่ละชิ้นส่วนเล็กที่แตกออกมานั้นก็ยังคงเป็นพอลิเมอร์ที่เหมือน/ใกล้เคียงกับพอลิเมอร์ตั้งต้นอยู่
ถ้าพูดถึงการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสีย
ก็มักจะหมายความถึงการเปลี่ยนสารอินทรีย์ที่อยู่ในน้ำนั้นไปเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำจนหมด
หรือหมายถึงการที่โมเลกุลใหญ่แตกออกเป็นโมเลกุลที่เล็กลง
กลายเป็นสารอินทรีย์ที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
หรือจนกลายเป็นสารอินทรีย์ที่จุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ
(หรือระบบบำบัด)
สามารถจัดการเปลี่ยนให้กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำได้
เวลาสอนสัมมนาผมมักจะกล่าวกับนิสิตเสมอว่า
สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ควรต้องได้จากการเรียนวิธีการนำเสนอไม่ได้มีแต่เพียงแค่การพูดอย่างไรให้คนอื่นเชื่อ
แต่ยังมี “การฟังอย่างไรไม่ให้ถูกหลอก”
คือในระหว่างการรับฟังนั้นต้องสามารถคัดเอาสีสรร
เทคนิค และสิ่งยั่วยวนต่าง
ๆ ที่ทำให้การนำเสนอดูดีนั้นออกไปจากข้อมูลที่รับเข้ามา
มองหาในสิ่งที่ผู้นำเสนอหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึง
(เช่นกล่าวแต่ข้อดี
โดยไม่กล่าวถึงข้อเสีย
หรือกล่าวถึงข้อเสีย
ไม่กล่าวถึงข้อดี)
ก่อนหน้านี้เคยมีการโฆษณาน้ำมันพืชชนิดหนึ่งว่า
“แช่เย็นแล้วไม่เป็นไข”
ด้วยการเอาน้ำมันพืชไปใส่ในช่องทำน้ำแข็งในตู้เย็น
ซึ่งมันก็เป็นจริงดังเขาโฆษณา
เพราะในวงการเป็นที่รู้กันทั่วว่าในการผลิตน้ำมันพืชชนิดนั้น
เขาจะนำเอาน้ำมันพืชที่สกัดได้นั้นไป
“แช่เย็น” ก่อนเพื่อคัดเอาส่วนที่เป็นไขออกไป
จากนั้นจึงนำส่วนที่ไม่แข็งตัวนี้มาบรรจุขวดขาย
ดังนั้นถ้านำเอาน้ำมันส่วนนี้มาแช่เย็นใหม่มันก็ไม่แข็งตัวเป็นไข
ซึ่งเป็นเรื่องปรกติ
เรื่องนี้ผมเคยคุยกับวิศวกรที่ทำงานที่โรงงานดังกล่าว
ผมก็ถามเขาตรง ๆ
ว่าทำไมบริษัทคุณถึงโฆษณาอย่างนั้น
มีวัตถุประสงค์อะไร
ซึ่งผมก็ไม่ได้รับคำตอบ
แต่สิ่งสำคัญคือผู้ที่รับข้อมูลไปนั้นคิดอย่างไรกับน้ำมันพืชที่แช่เย็นแล้วเป็นไข
คิดอย่างไรกับน้ำมันพืชที่แช่เย็นแล้วไม่เป็นไข
แล้วเคยตรวจสอบสิ่งที่คิดนั้นหรือไม่ว่าถูกต้องหรือไม่
แต่สำหรับการตลาดแล้ว
สิ่งที่ผู้บริโภคคิดต่อยอดไปนั้นจะถูกหรือผิดไม่สำคัญ
สำคัญตรงที่ว่าขอให้ได้ประโยชน์จากความคิดนั้นเป็นสำคัญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น