วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ถ้าไม่ได้ศพคืน ก็ต้องเพิ่มศพเข้าไป (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๔๙) MO Memoir : Satruday 2 November 2556

ทางอีสานที่เคยไปไกลสุดก็ขอนแก่น แต่นั่นก็เกือบ ๒๐ ปีมาแล้ว ตอนนั้นขับรถเองจากกรุงเทพ ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๕-๖ ชั่วโมง มาปีนี้มีโอกาสต้องเดินทางไปขอนแก่นอีกครั้ง ก็เลยถือโอกาสไปเที่ยวทางอีสานตอนบนบ้าง แต่ใช้วิธีนั่งเครื่องบินไปลงที่อุดรธานี แล้วเช่ารถขับจากสนามบิน ออกจากสนามบินก็เที่ยงกว่าแล้ว
  
แห่งแรกที่ไปก็คือบ้านเชียง ลูกเปรยว่าอยากไปดูมนุษย์โบราณ ก็เลยใช้โอกาสนี้ไปเที่ยวด้วยซะเลย เพราะตัวเองก็ไม่เคยไป จากตัวจังหวัดอุดรธานีก็ขับรถมุ่งไปทางตะวันออกสู่อำเภอหนองหาน ตรงไปบ้านเชียง ก็ราว ๆ ๕๐ กิโลเมตร เที่ยวอยู่ที่นั่นประมาณ ๒-๓ ชั่วโมง (รวมเวลาที่ไปยืนแทะกินไก่ย่างข้างตลาดในตัวหมู่บ้านด้วย) ก็ขับรถออกจากบ้านเชียงเพื่อไปหาที่พักแรมที่จังหวัดหนองคาย
  
ไปถึงหนองคายก็เย็นแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือหาที่พัก ขับรถวนไปวนมาสักพักก็ไปได้ที่พักที่อยู่ปากทางเข้าตลาดท่าเสด็จ แถมมีที่จอดรถให้ด้วย ก็เลยกะว่าจะพักที่นั่นสักคืนก่อน เดินเล่นริมแม่น้ำโขงพร้อมกับถ่ายรูปที่ตลาดท่าเสด็จสักพักก็ได้เวลาหาข้าวเย็นกิน ตัวอำเภอหนองคายก็อยู่กันเงียบ ๆ พอตกค่ำก็ดูสงบกันไปทั้งตัวอำเภอ
  
รูปที่ ๑ แผนที่จังหวัดหนองคายจากหนังสือ "แผนที่ ๗๑ จังหวัดประเทศไทย" เรียบเรียงโดย ยรรยง จรียภาส สำนักพิมพ์ไมตรีจิต ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๑๕ พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๑๕ ที่เลือกรูปนี้มาเพราะเห็นว่าเป็นฉบับที่อยู่ในเวลาที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดมากที่สุด (เท่าที่หาได้) อำเภอท่าบ่ออยู่ในกรอบสีเหลือง
  
ช่วงเวลาที่เดินทางไปถึงก็เป็นช่วงก่อนออกพรรษาไม่กี่วัน คนก็เลยยังไม่เดินทางมาเที่ยวหนองคาย แถมยังต้องลุ้นด้วยว่าฝนที่จะมากับพายุวิภานั้นจะรุนแรงแค่ไหน โชคดีที่พายุลงต่ำ หนองคายที่อยู่ทางเหนือกว่าก็เลยโดนแค่ขอบ ๆ ของพายุ ไม่ได้มีฝนตกหนักต่อเนื่องสักเท่าใดนัก คืนแรกในหนองคายก็เลยถือโอกาสใช้เวลาว่างก่อนนอนค้นหาว่าวันรุ่งขึ้นจะไปเที่ยวที่ไหนดี ตอนนั้นสิ่งที่นึกได้เกี่ยวกับแม่น้ำโขงคือบั้งไฟพญานาค (เพราะเป็นช่วงกำลังจะออกพรรษา) และจะขอไปดูเมืองเวียนจันทน์ที่อยู่อีกฟากของฝั่งโขง ตรงข้ามกับอำเภอศรีเชียงใหม่ และถ้ามีโอกาสก็จะขอแวะชม "ดอนแตง" สักหน่อย
  
อำเภอโพนพิสัยที่คนเขาแห่กันไปดูบั้งไฟพญานาคนั้นต้องเดินทางเลียบแม่น้ำโขงไปทางตะวันออกของตัวเมืองหนองคายอีกประมาณ ๕๐ กิโลเมตร ก็เลยใช้โอกาสนี้ขับรถเที่ยวชมภูมิประเทศและแวะดูวิวแม่น้ำโขงเป็นแห่ง ๆ ไป ถึงอำเภอโพนพิสัยก็เห็นวัดหลาย ๆ แห่งเตรียมการจัดงานประเพณีออกพรรษากันและเตรียมรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือน ทางผมไม่ได้คิดจะไปดูบั้งไฟอยู่แล้ว แค่อยากชมทัศนียภาพประเทศไทยและแม่น้ำโขง แวะถ่ายรูปตามที่ต่าง ๆ เสร็จก็ขับรถกลับมาที่พัก ช่วงเช้านี่ยังดีหน่อย ยังไม่มีฝนตก
  
ช่วงบ่ายหลังจากพักผ่อนยังที่พักสักครู่ ก็เริ่มเดินทางไปยัง อ. ศรีเชียงใหม่ คราวนี้มีฝนตกพร่ำ ๆ สลับกับตกแรงเป็นบางช่วง แทบไม่มีจังหวะขาดสาย ขับรถเที่ยวชมภูมิประเทศช่วงฝนตกที่ก็แปลกไปอีกแบบ เสียตรงที่ว่าไม่สามารถหยุดรถเพื่อแวะถ่ายรูปได้ เส้นทางจากตัวจังหวัดหนองคายไปยัง อ. ศรีเชียงใหม่ นั้นมีสองเส้นทาง เส้นทางแรกเป็นเส้นทางหลักคือต้องขับรถย้อนลงใต้มาตามถนนมิตรภาพ (สาย ๒) ก่อน จากนั้นก็เลี้ยวขวาเข้าถนนสาย ๒๑๑ มุ่งไปยัง อ. ท่าบ่อ ก่อนจะเลียบฝั่งโขงไปยัง อ. ศรีเชียงใหม่ อีกเส้นหนึ่งเป็นเส้นเลียบแม่น้ำโขงจากตัวจังหวัดไปยัง อ. ท่าบ่อ ชื่อสาย ๒๑๑ เหมือนกัน ผมเลือกขับตามเส้นทางเลียบลำน้ำโขงนี้ เพื่อจะแวะดูว่า "บ้านโพนสา" (หรือ "บ้านพูนสา") อยู่แถวไหน และมองเล็งหามุมที่จะแวะถ่ายรูป "ดอนแตง" ในเที่ยวกลับด้วย
  
เที่ยวขับไปศรีเชียงใหม่กว่าจะเจอบ้านโพนสาก็เข้าเขตตัวอำเภอท่าบ่อแล้ว ก็เลยแวะจอดรถถ่ายรูปป้ายเอาไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อยว่ามาถึงแล้ว แต่ต้องถ่ายจากในรถ เพราะข้างนอกรถมีทั้งในตกและลมกรรโชกแรงเป็นช่วง ๆ
  
รูปที่ ๒ บนเส้นทางขับรถสาย ๒๑๑ เลียบลำน้ำโขงจากอำเภอเมืองไปยังอำเภอท่าบ่อ พอเข้าเขตตัวอำเภอท่าบ่อจะมีป้ายบอกว่าถึงบ้าน "โพนสา" แล้ว
  
ถ่ายรูปที่ศรีเชียงใหม่เสร็จก็เดินทางกลับ โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือแวะถ่ายรูปดอนแตงที่เป็นเกาะอยู่กลางแม่น้ำโขง
  
แนวเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับลาวช่วงแม่น้ำโขงเป็นแนวเส้นเขตแดนที่มันแปลก ๆ อยู่ ปัญหามันเกิดตั้งแต่ตอนที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดลาวแล้ว ปรกติถ้าเป็นแนวภูเขาก็จะใช้ "สันปันน้ำ" เป็นเขตแดน บ้านเราที่มีปัญหาเห็นจะเป็นตรง "เขาพระวิหาร" และถ้าเป็นแม่น้ำก็มักจะใช้ "ร่องน้ำ" เป็นแนวเขต แต่สำหรับแม่น้ำโขงแล้วดูเหมือนมันจะมั่วไปหมด เกาะแก่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะกลายเป็นของประเทศลาวไปหมด จะมียกเว้นอยู่ก็คงเป็นที่ "ดอนแตง" ที่แหละที่เป็นของไทย
  
รูปที่ ๓ เกาะกลางแม่น้ำโขงในกรอบสี่เหลี่ยมเป็นของประเทศไทย ผมเข้าใจว่านั่นคือ "ดอนแตง"

ปีพ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นปีที่เหตุการณ์ทางการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการที่พรรคคอมมิวนิสต์มีชัยชนะในการรบและเข้าเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศกัมพูชา (๑๗ เมษายน)เวียดนาม (๓๐ เมษายน) และลาว พรมแดนประเทศไทยตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำทางภาคเหนือมาถึงอ่าวไทยทางภาคตะวันออกจึงกลายเป็นสิ่งที่ใครต่อใครลุ้นกันว่าจะเป็นแนวรบแนวใหม่หรือไม่ และ "ทฤษฎีโดมิโน (Domino theory)" จะเป็นจริงหรือไม่ 
   
"ทฤษฎีโดมิโน" เป็นทฤษฎีด้านการต่างประเทศ เกี่ยวข้องกับการล้มระบอบการปกครองของประเทศหนึ่งและประเทศที่อยู่ข้างเคียง ในช่วงสงคราวมเวียดนามนั้นเชื่อกันว่าถ้า เวียดนาม ลาว กัมพูชา กลายเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศไทยก็จะเป็นรายถัดไป ตามด้วย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ ต่อไปได้ เมื่อ ๓ ประเทศล้มไปแล้ว

ในช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘ ระหว่างที่เรือตรวจการตามลำน้ำหมายเลข ๑๒๓ หรือเรือ ล. ๑๒๓ ของหน่วยปฏิบัติการตามลำแม่น้ำโขง (เรียกย่อว่า นปข.) แล่นตรวจการณ์อยู่ในลำแม่น้ำโขงในเขตฝั่งไทยนั้น ได้ถูกระดมยิงจากฝั่งประเทศลาว กระสุนนัดหนึ่งทำให้พันจ่าตรีปรัศน์ พงษ์สุวรรณ ที่เป็นผู้ถือท้ายเรืออยู่ในขณะนั้นเสียชีวิต เรือ ล. ๑๒๓ จึงพุ่งขึ้นเกยตื้นที่ดอนแตง
  
เหตุการณ์นี้มีผู้ให้รายละเอียดเอาไว้หลายแห่งแล้ว ถ้าอยากอ่านโดยละเอียดก็ใช้ google หาได้โดยใช้คำว่า "วีรกรรมดอนแตง" ก็จะเจอ ในที่นี้จึงขอสรุปคร่าว ๆ ก็คือในวันแรกนั้นทางฝ่ายไทยทำได้เพียงแค่คุ้มกันนำเอาผู้บาดเจ็บและยังมีชีวิตอยู่ของเรือ ล. ๑๒๓ ออกมาจากเรือได้ ส่วนศพของพันจ่าตรีปรัศน์ นั้นยังต้องทิ้งไว้ที่เรือ ล. ๑๒๓ ก่อน
  
ในวันเดียวกันนั้น พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารเรือและผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น สั่งการให้นำเอาศพพันจ่าตรีปรัศน์ ออกมาจากเรือให้ได้ ในเช้าวันรุ่งขึ้นทางฝ่ายไทยจึงได้มีการปฏิบัติการทางทหารอีกครั้งเพื่อนำเอาศพพันจ่าตรีปรัศน์ กลับออกมา แต่ก็ได้รับการขัดขวางจากทางฝั่งลาวอย่างหนัก ทำให้การกู้ศพพันจ่าตรีปรัศน์ นั้นไม่ประสบความสำเร็จ ต้องถอนกำลังกลับออกมาก่อน
ถึงตอนนั้นทางพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ จึงได้สั่งการอีกครั้ง ด้วยประโยคที่ได้กลายเป็นประโยคประวัติศาสตร์ของทหารเรือคือ "ถ้าไม่ได้ศพคืน ก็ต้องเพิ่มศพเข้าไป"
  
และในคืนนั้นเอง ทีมนักทำลายใต้น้ำจู่โจมของกองทัพเรือก็สามารถเข้าไปนำศพของพันจ่าตรีปรัศน์ กลับออกมาได้ ส่วนฝ่ายลาวนั้นได้ถอนกำลังกลับออกไป ทำให้ทางฝ่ายไทยสามารถกู้เรือ ล. ๑๒๓ ออกมาจากดอนแตงได้ในวันรุ่งขึ้น

อีกไม่กี่วันก็จะครบรอบ ๓๘ ปีวีรกรรมดอนแตงของทหารเรือแล้ว เลยขอเขียนเรื่องนี้เล่าสู่กันฟังสักหน่อย

เที่ยวขับรถขากลับจากศรีเชียงใหม่ ฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมลมกรรโชกแรงเป็นระยะ หาที่แวะถ่ายรูปริมน้ำโขงไม่ได้เลย ออกจาก อ. ท่าบ่อ มุ่งหน้ามายังหนองคายได้สักพักเห็นมีร้านกาแฟอยู่ร้านหนึ่งชื่อร้าน "Coffee @ Love" ตั้งอยู่โดยเดี่ยวริมแม่น้ำโขงกลางที่ว่าง ก็เลยแวะเข้าไปพักกินกาแฟกับขนมเค้ก ที่ร้านมีแม่ค้าขายของอยู่ที่ร้านเพียงคนเดียว เลยนั่งพักผ่อนและคุยเรื่องต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ สักประมาณชั่วโมงก็เดินทางกลับที่พัก โอกาสนี้ก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปแม่น้ำโขงแถวบ้านโพนสาที่เป็นบริเวณที่เกิดเหตุมาให้ชมกัน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าฝั่งตรงข้ามที่เห็นนั้นคือดอนแตงหรือไม่ ถามแม่ค้าเขาก็ไม่ทราบเพราะเขาไปโตที่อื่นตั้งแต่เด็ก เพิ่งจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่
 
ถนนสาย ๒๑๑ ช่วงเลียบแม่น้ำโขงจากหนองคายมายังท่อบ่อนี้ตอนที่ขับรถผ่านก็รู้สึกว่ามันแปลก ๆ คือเป็นถนนเล็ก (ลาดยางขนาดสองช่องทางจราจร ไม่มีไหล่ทาง) ที่ค่อนข้างสูงจากระดับพื้นรอบข้างมาก (ประมาณ ๓-๔ เมตร) สอบถามแม่ค้าที่ร้านกาแฟดูก็ทราบความว่าคุณแม่ของเขาเล่าให้ฟังว่าถนนเส้นนี้เดิมเป็นคันกั้นน้ำ ชลประทานสร้างเอาไว้เพื่อป้องกันน้ำจากแม่น้ำโขงไหลเข้าท่วมเวลาน้ำหลาก ตัวเขาเองเพิ่มจะมาซื้อที่ตรงนี้เพื่อเปิดเป็นร้านกาแฟได้สักประมาณปีเศษ ริมฝั่งน้ำโขงก็มีทางเดินสาธารณะสำหรับชมวิว ผมถือโอกาสในจังหวะที่ฝนซาออกไปถ่ายรูปวิวแม่น้ำโขงที่ระเบียงร้านได้มาสองรูป แค่นั้นขากางเกงก็เปียกโชกแล้ว
 
รูปที่ ๔ ร้านกาแฟ Coffee @ Love ที่ไปแวะกินช่วงขับรถจากท่าบ่อกลับมายังหนองคายเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคมที่ผ่านมา



รูปที่ ๕ ทั้งบนและล่างคือวิวแม่น้ำโขงในวันฝนตก ถ่ายจากระเบียงร้าน Coffee @ Love ที่บ้านโพนสา อ. ท่าบ่อ

ร้านนี้ถ้าไปนั่งตรงระเบียงฝั่งแม่น้ำโขงจะมีกอต้นกล้วยบังวิวทิวทัศน์เอาไว้บางมุม กอกล้วยนี้แม่ค้าเล่าให้ฟังว่าลูกค้าหลายรายบอกว่าควรจะตัดทิ้ง จะได้ไม่บังวิว แต่เขาก็ไม่ตัดเพราะต้องใช้ในการบังลม ลมริมแม่น้ำโขงบางช่วงเวลาจะแรงมาก ช่วงที่น้ำโขงแห้งลมจะพัดเอาทรายจากฝั่งตรงข้ามเข้ามาในร้าน การมีต้นไม้บังลมจะช่วยป้องกันฝุ่นทรายเหล่านั้นเอาไว้ วันที่ไปกินกาแฟนั้นขนาดชายคาลึกเข้ามาร่วมห้าเมตรฝนยังสาดเข้าถึง

เราเริ่มเดือนใหม่อุ่นเครื่องกันด้วยเรื่องเบา ๆ กันก่อนก็แล้วกัน เพราะเรื่องหนัก ๆ มันยังมีรออยู่เพียบเลย ทั้งการสอบโครงร่างและการแก้ปัญหา GC

ไม่มีความคิดเห็น: