ว่าจะเขียนเรื่องนี้หลังจากกลับจากเที่ยวโรงเบียร์แล้ว
แต่กว่าจะได้ลงมือจริงก็ล่วงไปเกือบ
๒ เดือน
ในการทำงานตามปรกตินั้น
เราถือว่าของเหลวนั้นไม่สามารถอัดตัวได้
ดังนั้นเมื่อเราเพิ่มความดันให้กับของเหลว
(เช่นโดยการใช้ปั๊ม)
ปริมาณของเหลวก่อนและหลังเพิ่มความดันจะถือว่าเท่ากัน
ส่วนอุณหภูมิอาจมีการเพิ่มขึ้นบ้าง
ปรกติในการปั๊มของเหลวเราก็ไม่ค่อยสนอุณหภูมิของเหลวด้านขาออกจากปั๊ม
เราสนแต่อุณหภูมิของเหลวด้านขาเข้าของปั๊มมากว่า
เพราะมันเกี่ยวข้องกับการป้องกันไม่ให้ของเหลวเกิดการเดือดกลายเป็นไอภายในปั๊ม
นอกจากนี้สำหรับของเหลวประเภทเดียวกัน
(เช่นน้ำมันปิโตรเลียม)
ความหนาแน่นของของเหลวไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงมากนั้นเมื่อน้ำหนักโมเลกุลเฉลี่ยของของเหลวที่ทำการปั๊มนั้นเปลี่ยนไป
(เช่นไฮโดรคาร์บอนอัลเคน
C12
มีน้ำหนักโมเลกุลเป็น
2
เท่าของอัลเคน
C6
แต่ความหนาแน่นของอัลเคน
C12
ก็ไม่ได้เป็นสองเท่าของอัลเคน
C6)
ดังนั้นแม้ว่าในกระบวนการผลิต
ของเหลวที่ทำการปั๊มจะมีองค์ประกอบที่ไม่แน่นอน
(ส่งผลให้ความหนาแน่นเปลี่ยนแปลงไป)
การทำงานของปั๊มก็ไม่ค่อยจะได้รับผล
กระทบจากความหนาแน่นที่เปลี่ยนไปเท่าใดนัก
ในกรณีของแก๊สนั้นแตกต่างกันไป
แก๊สเป็นของไหลที่สามารถอัดตัวได้
การเพิ่มความดันให้กับแก๊สจะทำให้ปริมาตรแก๊สลดลง
แถมอุณหภูมิยังเพิ่มขึ้นมากอีกด้วย
นอกจากนี้ความหนาแน่นของแก๊สยังแปรผันตามน้ำหนักโมเลกุลเฉลี่ยและอุณหภูมิของแก๊สอีก
ทำให้การเพิ่มความดันให้กับแก๊สมีปัญหามากกว่า
รูปที่
๑ รูปร่างหน้าตา performance
curve ของ
centrifugal
compressor แกนนอนคืออัตราการไหลที่แก๊สไหลเข้าคอมเพรสเซอร์
เส้นสีน้ำเงินคือความเร็วรอบการหมุนของใบพัด
(S1 < S2 < S3) เส้นสีเขียวคือประสิทธิภาพ
(n1
< n2 < n3) เส้นสีแดงคือ
Surge
line หรือขอบเขตที่
compressor
สามารถทำงานได้
(แก๊สไหลเข้าได้แต่ไหลออกไม่ได้)
ส่วนเส้นประสีส้มคือ
Surge
control line คือจุดที่ระบบป้องกันการเกิด
surging
เริ่มทำงาน
ระยะห่างระหว่างเส้นสีส้มและเส้นสีแดง
(เส้นสีม่วง)
คือ
safety
margin
เวลาที่เราทำงานเกี่ยวกับปั๊มเราจำเป็นต้องรู้จักพฤติกรรมของปั๊ม
ซึ่งพฤติกรรมของปั๊มมันรวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า
"Pump
curve" ซึ่งเรื่องนี้ได้เล่าไว้แล้วใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๒๑ วันจันทร์ที่
๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง
"ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๕ Pump curve" ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับปั๊มหอยโข่ง
(centrifugal
pump)
ในทำนองเดียวกันเวลาที่เราทำงานเกี่ยวกับคอมเพรสเซอร์
(compressor)
เราก็จำเป็นต้องรู้จักพฤติกรรมของคอมเพรสเซอร์
ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวก็รวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า
"Compressor
performance curve" สำหรับใน
Memoir
ฉบับนี้จะขอจำกัดอยู่เพียงแค่
centrifugal
compressor ส่วนหน้าตาของ
Compressor
performance curve นั้นแสดงไว้แล้วในรูปที่
๑
centrifugal
compressor ทำงานโดยการเพิ่มพลังงานจลน์
(kinetic
head) ด้วยการเหวี่ยงให้กับแก๊ส
และเมื่อโมเลกุลแก๊สที่ถูกเหวี่ยงออกจากใบพัดด้วยความเร็วสูงพบกับแรงต้าน
พลังงานจลน์ก็จะเปลี่ยนเป็นความดัน
(pressure
head)
อัตราการไหลและความดันด้านขาออกของคอมเพรสเซอร์นั้นจะขึ้นอยู่กับความเร็วรอบการหมุน
ถ้าคอมเพรสเซอร์หมุนเร็วขึ้นก็จะส่งผ่านแก๊สได้ที่อัตราการไหลและความดันที่สูงขึ้น
ที่ความเร็วรอบค่า ๆ หนึ่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการไหลกับความดันด้านขาออกจะเป็นดังเส้นสีน้ำเงิน
สมมุติว่าเริ่มแรกนั้นคอมเพรสเซอร์ทำงานที่ค่าอัตราการไหลและความดันด้านขาออกที่ค่า
ๆ หนึ่ง (จุด
A
ในรูปที่
๑)
ถ้าหากความต้านทานการไหลเพิ่มสูงขึ้นและคอมเพรสเซอร์ยังคงหมุนด้วยความเร็วรอบเท่าเดิม
อัตราการไหลของแก๊สจะลดลง
(วิ่งจากจุด
A
ไปยังจุด
B)
ในขณะนี้แก๊สยังคงสามารถไหลออกไปได้
แต่ถ้าความต้านทานด้านขาออกของแก๊สเพิ่มสูงขึ้นอีกจนอัตราการไหลลดลงถึงจุด
C
อัตราการไหลของแก๊สที่คอมเพรสเซอร์ดึงเข้าจะลดลง
แก๊สที่ถูกเพิ่มความดันจะถูกอัดตัวอยู่ทางด้านขาออกของคอมเพรสเซอร์
แต่ไม่สามารถไหลออกไปได้
จุดนี้เป็นจุดสุดท้ายที่คอมเพรสเซอร์ยังสามารถทำงานได้อยู่
และถ้าความต้านทานด้านขาออกของคอมเพรสเซอร์สูงเกินกว่าจุด
C
แก๊สด้านขาออกที่อัดตัวด้วยความดันสูงนั้นจะไหลย้อนกลับเข้าตัวคอมเพรสเซอร์
ปรากฏการณ์นี้เรียกกว่าเกิดการ
"surge
(หรือ
surging)"
ซึ่งสามารถทำความเสียหายให้กับชิ้นส่วนของคอมเพรสเซอร์ได้
ของเหลวนั้นไม่สามารถอัดตัวได้
ปริมาตรของเหลวที่ไหลเข้าปั๊มจะเท่ากับปริมาตรของเหลวที่ไหลออกจากปั๊ม
แต่แก๊สนั้นสามารถอัดตัวได้
ปริมาตรแก๊สที่ไหลเข้าคอมเพรสเซอร์จะสูงกว่าปริมาตรแก๊สที่ไหลออกจากคอมเพรสเซอร์
ดังนั้นในกรณีของของเหลวนั้นถ้าหากปั๊มไม่สามารถดันให้ของเหลวไหลออกไปได้
ปั๊มก็จะไม่สามารถดูดของเหลวเข้าได้
อัตราการไหลก็จะเป็นศูนย์
(ปริมาตรเข้าเท่ากับปริมาตรออก)
แต่ในกรณีของคอมเพรสเซอร์นั้นแม้ว่าแก๊สด้านขาออกไม่สามารถเคลื่อนตัวออกไปได้
แต่คอมเพรสเซอร์กัยังสามารถดึงแก๊สด้านขาเข้าได้อยู่
เมื่อแก๊สด้านขาออกเกิดการสะสมกันมากขึ้นก็จะเกิดการไหลย้อนสวนทิศทางกับแก๊สที่คอมเพรสเซอร์ดึงเข้ามา
ในระหว่างการเกิด surge
นั้นการไหลย้อนของแก๊สด้านขาออกจะเอาชนะแก๊สที่ถูกคอมเพรสเซอร์ดูดเข้ามาได้
ถ้าสังเกต compressor
performance curve เทียบกับ
pump
curve จะเห็นว่าอัตราการไหลต่ำสุดที่ปั๊มยังสามารถทำงานได้คือศูนย์
แต่ในกรณีของคอมเพรสเซอร์นั้นอัตราการไหลต่ำสุดนั้นจะมากกว่าศูนย์
ในกรณีของปั๊มหอยโข่งนั้น
ถ้าปั๊มไม่สามารถส่งผ่านของเหลวได้
ของเร็วที่ค้างอยู่ในตัวปั๊มจะมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย
ๆ จนเกิดการเดือดและทำความเสียหายให้กับปั๊มเนื่องจากเกิด
cavitation
ได้
วิธีการหนึ่งในการป้องกันปัญหาดังกล่าวก็คือการติดตั้ง
minimum
flow line หรือท่อ
bypass
ทางด้านขาออกเพื่อให้มีของเหลวไหลย้อนกลับไปทางด้านขาเข้าของปั๊มตลอดเวลาที่ปั๊มทำงาน
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ปั๊มไม่สามารถส่งของเหลวเข้าระบบได้
ก็จะยังคงมีของเหลวในปริมาณน้อย
ๆ ไหลผ่านตัวปั๊มและกลับไปยังด้านขาเข้าผ่านทาง
minimum
flow line นี้
ทำให้ของเหลวไม่มีการค้างในตัวปั๊มและปั๊มจะปลอดภัยจากการเกิด
cavitation
แต่การอัดแก๊สนั้นสิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าการอัดของเหลว
และแก๊สที่ถูกอัดตัวแล้วก็ยังมีอุณหภูมิสูงขึ้นอีกด้วย
ดังนั้นวิธีการที่ให้มีของไหลในปริมาณน้อย
ๆ
ไหลวนกลับไปทางด้านขาเข้าตลอดเวลาแบบที่ใช้กับปั๊มนั้นจึงไม่เหมาะสมกับคอมเพรสเซอร์
ในกรณีของคอมเพรสเซอร์นั้นจึงต้องมีการติดตั้งระบบป้องกันการเกิด
surge
ที่เรียกว่า
Anit
surge system หรือ
Surge
control system
รูปที่
๒ ตัวอย่างแผนผังระบบท่อของ
centrifugal
compressor
รูปที่
๒ เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเดินท่อรอบคอมเพรสเซอร์
แก๊สที่จะทำการอัดนั้นจะไหลเข้าสู่
Suction
knock out drum หรือ
compressor
suction drum ก่อน
หน้าที่ของถังนี้คือแยกเอาของเหลว
(ที่อาจมีติดมากับแก๊ส)
ออกจากส่วนที่เป็นแก๊ส
โครงสร้างในถังก็ไม่มีอะไร
เป็นแค่ถังเปล่า ๆ
ติดตั้งวัสดุที่มีรูพรุนที่เรียกวา
mist
eliminator เอาไว้ทางด้านบนเหนือทางแก๊สไหลเข้า
ถ้ามีของเหลวติดมากับแก๊สที่ไหลเข้าถัง
เมื่อแก๊สไหลเข้าถังพื้นที่หน้าตัดการไหลจะเพิ่มมากขึ้น
อัตราการไหลจะลดต่ำลง
ของเหลวส่วนหนึ่งที่ถูกพัดพามากับแก๊สก็จะตกลงสู่เบื้องล่าง
ของเหลวส่วนที่ยังติดไปกับแก๊สที่ไหลออกทางด้านบนนั้นเมื่อไปกระทบกับวัสดุที่ใช้ทำ
mist
eliminator
ก็จะเกาะติดวัสดุนั้นและรวมตัวกันเป็นหยดของเหลวใหญ่ขึ้นและตกลงสู่เบื้องล่าง
ทางด้านขาออกนั้นจะมีท่อสำหรับการไหลย้อนกลับที่ติดตั้งวาล์วควบคุมที่เรียกว่า
Anti
surge valve เอาไว้
วาล์วตัวนี้จะเปิดเมื่ออุปกรณ์ตรวจวัดการเกิด
surge
(ไม่ได้แสดงไว้ในรูป)
ตรวจพบว่ากำลังจะมีการเกิด
surge
ขึ้น
กล่าวคือเมื่อภาวะการทำงานของคอมเพรสเซอร์มาถึงตำแหน่ง
D
(รูปที่
๑)
โดยไม่รอให้ถึงตำแหน่ง
C
ระยะห่างระหว่างเส้นสีส้มที่ระบบ
Anti
surge system เริ่มทำงานกับเส้นสีแดงที่คอมเพรสเซอร์เริ่มเกิดการ
surge
นั้นคือ
safety
margin ของการทำงาน
ถ้าเป็นการอัดอากาศ
ระบบที่ใช้จะไม่ซับซ้อนเหมือนที่แสดงในรูปที่
๒ เพราะอากาศนั้นมีอยู่ทั่วไป
ถ้ามีการเกิด surge
ขึ้น
ระบบ Anti
surge system สามารถที่จะระบายอากาศด้านขาออกทิ้งไปได้เลย
ไม่จำเป็นต้องมีการวนกลับไปยังด้านขาเข้า
และก็ไม่จำเป็นต้องมี
compressor
suction drum ทางด้านขาเข้าด้วย
อาจมีแค่กรองอากาศเท่านั้น
(เพราะปรกติในอากาศก็ไม่มีของเหลวอยู่แล้ว
เว้นแต่จะดูดเอาอากาศที่มีฝนตกเข้ามา
แต่โดยทั่วไปการติดตั้งท่อดูดอากาศเข้าก็ต้องคำนึงถึงปัญหานี้อยู่แล้ว)
ท่อแก๊สวนกลับหรือท่อระบายอากาศทิ้งยังใช้เป็นประโยชน์ได้ในตอนเริ่มเดินเครื่องคอมเพรสเซอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์
เพราะเมื่อเราเริ่มเดินเครื่องมอเตอร์ขณะที่มอเตอร์หยุดนิ่งนั้น
กระแสไฟฟ้าปริมาณมากจะไหลเข้ามอเตอร์
แต่จะลดลงเมื่อมอเตอร์เริ่มหมุน
ดังนั้นเพื่อลดปริมาณกระแสที่ไหลเข้ามอเตอร์ในขณะที่เริ่มเดินเครื่อง
เราจำเป็นต้องทำให้ภาระ
(load)
ของมอเตอร์ในขณะที่เริ่มเดินเครื่องนั้นต่ำที่สุด
ในกรณีของปั๊มนั้นเราทำโดยการปิดวาล์วด้านขาออกให้อัตราการไหลเป็นศูนย์
(พลังงานที่มอเตอร์ใช้จะลดลงตามอัตราการไหล
และต่ำสุดเมื่ออัตราการไหลเป็นศูนย์)
โดยอาจมีการเปิดวาล์ว
minimum
flow line (ถ้ามี)
ร่วมด้วยเพื่อไม่ให้ของเหลวเดือด
(ดู
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๒๒ วันพฤหัสบดีที่
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง
"ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๖ ระบบ piping ของปั๊มหอยโข่งฝึกงานภาคฤดูร้อน
๒๕๕๓ ตอนที่ ๖ ระบบ piping
ของปั๊มหอยโข่ง")
ซึ่งในภาวะเช่นนี้ความดันด้านขาออกของปั๊มจะมีค่ามากที่สุด
แต่ในกรณีของคอมเพรสเซอร์นั้นตรงข้ามกัน
ภาระของคอมเพรสเซอร์จะต่ำสุดเมื่อความดันด้านขาออกเท่ากับความดันด้านขาเข้า
ดังนั้นเพื่อลดปริมาณกระแสเข้ามอเตอร์จึงต้องปิดวาล์วด้านขาออกและเปิดวาล์วเส้นแก๊สไหลย้อนกลับให้เต็มที่เพื่อให้แก๊สไหลกลับไปยังด้านขาเข้าได้สะดวก
ในขณะนี้ความดันด้านขาออกของคอมเพรสเซอร์จะต่ำสุด
ถ้าเป็นการอัดอากาศก็จะเป็นการดูดอากาศเข้าและปล่อยออกสู่บรรยากาศใหม่
และเมื่อความเร็วรอบมอเตอร์ได้ที่แล้วก็จะปิดวาล์วไหลย้อนกลับหรือระบายอากาศทิ้งนี้
และเปิดวาล์วให้แก๊สไหลเข้าระบบต่อไป
ปิดท้าย
Memoir
ฉบับนี้ด้วยรูประบบ
piping
รอบคอมเพรสเซอร์ตัวเล็ก
ๆ ตัวหนึ่งที่ใช้อัตแก๊สชีวภาพ
รายละเอียดต่าง ๆ ดูในรูปที่
๓ เอาเองก็แล้วกัน
รูปที่
๓
คอมเพรสเซอร์ที่ใช้อัดแก๊สชีวภาพจากบ่อบำบัดน้ำเสียของโรงงานผลิตเบียร์เพื่อส่งไปเป็นเชื้อเพลิงให้กับหม้อไอน้ำของโรงงาน
(ต้องขอขอบคุณทางโรงงานที่อนุญาตให้ถ่ายรูป)
ท่อที่อยู่ด้านบนคือท่อสำหรับให้แก๊สไหลวนกลับ
ในกรณีนี้เป็นแก๊สเชื้อเพลิงจึงไม่สามารถปล่อยทิ้งออกสู่บรรยากาศได้
ระบบในรูปนี้เป็นระบบขนาดเล็กที่ไม่มีการติดตั้ง
compressor
suction drum ทางด้านขาเข้าของคอมเพรสเซอร์
ที่เห็นอยู่ในกรอบสีเหลืองเดาว่าคือวาล์วปีกผีเสื้อ
(butterfly
valve) ที่บอกว่าต้องเดาก็เพราะไม่ได้เข้าไปดูใกล้
ๆ รูปที่เห็นเป็นการใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายเอาไว้แล้วขยายดู