ถ้าต่อไปนี้เห็นผมเขียนเรื่องราวอะไรแปลก
ๆ ทำนองนี้ออกมาเป็นพัก ๆ
ก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ
เนื่องด้วยได้รับมอบหมายหน้าที่ราชการบางอย่างมา
ทำให้ต้องไปศึกษาทำความรู้จักกับสารเคมีหลายต่อหลายตัวในแง่ที่ว่ามันผลิตขึ้นมาได้อย่างไร
และนำไปใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง
ก็เลยถือโอกาสใช้ Memoir
นี้เป็นบันทึกสรุปสิ่งต่าง
ๆ ที่ได้ไปค้นคว้ามา
อย่างเช่นกรณีของฟอสฟอรัสออกซีคลอไรด์
(Phosphorus
oxychloride หรือ
POCl3)
ที่นำมาเป็นหัวข้อบทความในวันนี้
Phosphorus
oxychloride หรือ
POCl3
มีชื่อเรียกอื่นอีกหลายชื่อเช่น
Phosphoryl
chloride, Phosphonyl trichloride, Phosphoric chloride, Phosphoric
trichloride เป็นต้น
ในอินทรีย์เคมีมีการใช้สารนี้ในการทำปฏิกิริยาหลากหลาย
ปฏิกิริยาที่สำคัญปฏิกิริยาหนึ่งเห็นจะได้แก่การสังเคราะห์สารพวกออแกโนฟอสเฟต
(organophosphate
หรือบางทีก็เรียกว่า
phosphate
ester)
สารออแกโนฟอสเฟตจำนวนไม่น้อยเป็นยากำจัดศัตรูพืชในกลุ่มยาฆ่าแมลง
โดยสารในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อการทำงานของระบบประสาท
อะตอม
P
นั้นมีอะตอม
O
มาเกาะด้วยพันธะคู่
และอะตอม Cl
มาเกาะด้วยพันธะเดี่ยว
ทั้ง O
และ
Cl
ต่างมีค่า
electronegativity
สูงกว่า
P
ทำให้อะตอม
P
มีความเป็นบวก
ดังนั้นอะตอมที่มีอิเล็กตรอนอยู่หนาแน่นหรือมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
(เช่นอะตอม
O
ของหมู่
-OH)
ของโมเลกุลอื่นจึงสามารถเข้ามาทำปฏิกิริยากับอะตอม
P
ของ
POCl3
ได้
และเนื่องจากพันธะคู่ P=O
นั้นแข็งแรงกว่าพันธะเดี่ยว
P-Cl
การเกิดปฏิกิริยาจึงเป็นลักษณะที่หมู่ที่เข้ามาใหม่นั้นเข้ามาสร้างพันธะกับอะตอม
P
โดยมีหมู่
Cl
หลุดออกมาในรูป
Cl-
(คล้าย
ๆ กับการทำปฏิกิริยาของ acyl
halide ในเรื่องกรดอินทรีย์
ที่หมู่เฮไลด์จะหลุดออกมา
โดยที่อะตอม O
ของหมู่คาร์บอนิล
C=O
นั้นไม่หลุดออก)
ตัวอย่างเช่นในกรณีของสารที่มีหมู่
-OH
ที่เมื่อเข้าทำปฏิกิริยากับ
POCl3
อะตอม
H
ของหมู่
-OH
จะหลุดออกในรูปของ
H
โดยอะตอม
Cl
ของ
POCl3
จะหลุดออกในรูปของ
Cl-
หรือจะเรียกว่าเกิด
HCl
เป็นผลิตร่วมก็ได้
ดังนั้นถ้าในระบบนั้นมีเบสที่ทำหน้าที่จัดการกับ
HCl
ที่เกิดขึ้น
ปฏิกิริยาก็จะดำเนินไปข้างหน้าได้ดีขึ้น
ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นสารประกอบฟอสเฟตเอสเทอร์
(อยู่ในกลุ่มออแกโนฟอสเฟต
-
organophosphate)
รูปที่
๓
ตัวอย่างสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาอีกฉบับหนึ่งที่กล่าวถึงการผลิตการทำให้ฟอสฟอรัสออกซีคลอไรด์ที่ได้มีความบริสุทธิ์
ฟอสฟอรัสออกซีคลอไรด์เป็นสารเคมีที่ปรากฏอยู่ในรายการสารเคมีควบคุมของ
Australia
group (อยู่ในรายการ
1C350.2
ของ
EU
List) ในฐานะที่เป็นสารตั้งต้นตัวหนึ่งในการผลิตอาวุธเคมีที่มีชื่อว่า
Tabun
ที่เป็นสารออกฤทธิ์ต่อการทำงานของระบบประสาทหรือ
nerve
agent ตัวหนึ่ง
การผลิต Tabun
ทำได้ด้วยการแทนที่อะตอม
Cl
ทั้ง
3
อะตอมของ
POCl3
ด้วยการทำปฏิกิริยากับ
ไดเมทิลเอมีน (dimethylamine
H3C-N(H)-CH3) โซเดียมไซยาไนด์
(sodium
cyanide NaCN) และเอทานอล
(ethanol
C2H5OH) ดังเช่นเว็บhttps://en.wikipedia.org/wiki/Tabun_(nerve_agent)
ได้ให้รายละเอียดลำดับวิธีการสังเคราะห์
Tabun
ไว้คร่าว
ๆ ดังนี้
(ก)
การทำปฏิกิริยาระหว่างฟอสฟอรัสออกซีคลอไรด์ในปริมาณที่มากเกินพอ
(ตัวนี้เป็นของเหลววที่อุณหภูมิห้อง)
กับไดเมทิลเอมีน
(ตัวนี้เป็นแก๊สที่อุณหภูมิห้อง)
ผลิตภัณฑ์ที่ได้คือไดเมทิลอะมิโดฟอสฟอริกไดคลอไรด์
(dimethylamidophosphoric
dichloride) ร่วมกับไดเมทิลแอมโมเนียมคลอไรด์
(dimethylammonium
chloride)
การที่ต้องใช้ฟอสฟอรัสออกซีคลอไรด์ในปริมาณที่มากกว่าไดเมทิลเอมีนก็เพราะต้องการให้เกิดการแทนที่อะตอม
Cl
เพียงอะตอมเดียวของโมเลกุล
POCl3
ส่วนการทำปฏิกิริยาสงสัยว่าคงจะให้ฟองแก๊สไดเมทิลเอมีนสัมผัสกับฟอสฟอรัสออกซีคลอไรด์แบบเดียวกับการให้ออกซิเจนในตู้ปลา
(ตรงนี้ผมคิดเองนะ
ถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้)
(ข)
การนำไดเมทิลอะมิโดฟอสฟอริกไดคลอไรด์มาทำปฏิกิริยาต่อกับโซเดียมไซยาไนด์
(NaCN
ตัวนี้เป็นของแข็ง)
ในปริมาณที่มากเกินพอโดยใช้คลอโรเบนซีน
(C6H5Cl)
เป็นตัวทำละลาย
หมู่ไซยาไนด์ (-CN)
จะเข้าไปแทนที่อะตอม
Cl
ที่เหลือ
เกิดเป็นสารประกอบไดเมทิลอะมิโดฟอสฟอริกไดไซยาไนด์
(Dimethylamidophosphoric
dicyanide) โดยมี
NaCl
เกิดร่วม
การที่ใช้ NaCN
ในปริมาณที่มากเกินพอก็คงเป็นเพราะว่าต้องการผลักปฏิกิริยาให้ดำเนินไปข้างหน้าให้สมบูรณ
(ค)
การนำเอาไดเมทิลอะมิโดฟอสฟอริกไดไซยาไนด์มาทำปฏิกิริยากับเอทานอลเพื่อให้โมเลกุลเอทานอล
1
โมเลกุลเข้าแทนที่หมู่ไซยาไนด์
-CN
1 หมู่
จะได้ Tabun
เป็นผลิตภัณฑ์ออกมาร่วมกับการเกิด
HCN
(ตรงนี้ในเว็บไม่ได้ให้สัดส่วนรายละเอียด
แต่ดูจากปฏิกิริยาแล้วคิดว่าคงต้องใช้ไดเมทิลอะมิโดฟอสฟอริกไดไซยาไนด์ในปริมาณที่มากกว่าเอทานอล
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการแทนที่หมู่
-CN
เพียงหมู่เดียวของแต่ละโมเลกุลไดเมทิลอะมิโดฟอสฟอริกไดไซยาไนด์)
ปฏิกิริยาที่เขียนมาข้างต้นมันดูง่ายก็จริง
แต่ในความเป็นจริงนั้นคงมีการเกิดปฏิกิริยาข้างเคียงที่ไม่ต้องการอีกหลายปฏิกิริยา
(เช่นมีการแทนที่มากเกินไป)
และยังมีผลิตภัณฑ์ร่วมปะปนอยู่
ดังนั้นการผลิตเพื่อ "เก็บ"
เอาไว้จำเป็นต้องแยกเอาเฉพาะ
Tabun
ออกมา
ซึ่งตรงนี้จะไปมีปัญหาเรื่องอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้
(ไม่ใช่ว่าสังเคราะห์ได้
แต่คนทำงานตายซะเอง)
แต่ถ้าผลิตแล้วจะนำไปใช้เลยนั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง
เช่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่
๑ ที่มีการผลิตอาวุธเคมีได้แล้วนำไปใช้ในเวลาอันสั้น
ทำให้ไม่ต้องคำนึงถึง shelf
life ของภาชนะบรรจุเท่าใดนัก
แม้ว่าเมื่อเทียบกับ
nerve
agent ตัวอื่นที่มีการพัฒนาขึ้นมาในภายหลัง
พบว่า Tabun
นั้นมีฤทธิ์ที่ด้อยกว่า
แต่ก็มีจุดเด่นตรงที่กระบวนการผลิตนั้นมีความซับซ้อนที่น้อยกว่า
(เทคโนโลยียุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น