วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เก็บตกฝึกงานฤดูร้อน ๒๕๕๕ MO Memoir 2555 May 28 Mon


จากการที่ได้ไปตรวจฝึกงานที่มาบตาพุด จังหวัดระยองเมื่อวันพุธที่ ๒๓ ที่ผ่านมา ก็มีคำถามหลายคำถามที่นิสิตฝึกงานมีข้อสงสัย ซึ่งก็ได้อธิบายด้วยวาจาให้กับนิสิตที่สงสัยไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องบันทึกเอาไว้บ้าง เผื่อรุ่นถัดไปจะมีคำถามทำนองเดียวกันอีก จะได้หาคำตอบได้ (ถ้าค้นหาเจอนะ) และสำหรับผู้ที่กำลังหางานอยู่ก็จะได้มีความรู้เอาไว้บ้าง จะได้ผ่านการทดลองงานได้

Memoir ฉบับก่อนหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะกล่าวถึงใน memoir ฉบับนี้คือ

ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๑๖ วันจันทร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง "ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที ๔ ฺBernoulli's equation"

ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๒๑ วันจันทร์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง "ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที ๕ ฺPump curve"

ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๒๒ วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง "ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที ๖ ฺระบบ piping ของปั๊มหอยโข่ง"

ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๒๘ วันพฤหัสบดีที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที ๘ Net Positive Suction Head (NPSH)"

ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๕๗ วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๓ เรื่อง "ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที ๙ ความดันลดกับอัตราการไหล"

. ปั๊มต้องมี head เท่าไร เรื่องที่ ๑

ความดันด้านขาออกของปั๊มมักจะพูดกันโดยใช้คำว่า "head" หรือ "เฮด" ที่มีหน่วยเป็นเมตร ซึ่งหมายความว่าปั๊มนั้นสามารถส่งน้ำขึ้นไปได้สูงกี่เมตร (ประมาณคร่าว ๆ คือ 10 เมตร = 1 bar)

รูปที่ ๑ ระบบการสูบของเหลวเข้าถังปิดใบหนึ่งที่มีผู้ถามคำถาม

หน่วยเฮดเป็นหน่วยที่ทำให้มองเห็นภาพได้ชัดเจน (ปรกติพวก Engineering unit จะเป็นหน่วยที่เหมาะแก่การทำงานภาคปฏิบัติมากกว่า SI unit เพราะการใช้ Engineering unit ทำให้มองเห็นภาพได้ง่ายกว่า) โดยเฉพาะเวลาที่ต้องปั๊มของเหลวจากที่ต่ำไปยังตำแหน่งที่อยู่สูงกว่า เช่นปั๊มน้ำจากถังเก็บน้ำ (บนดินหรือใต้ดิน) ไปยังชั้นต่าง ๆ ของอาคาร ซึ่งงานลักษณะเช่นนี้เป็นการส่งน้ำจากถังความดันบรรยากาศไปยังชั้นต่าง ๆ ของอาคาร

ถ้าจะนำหน่วยเฮดไปใช้กับของเหลวอื่นที่ไม่ใช่น้ำก็ต้องพิจารณาความหนาแน่นของของเหลวนั้นด้วย สารอินทรีย์ที่เป็นของเหลวส่วนใหญ่จะมีความหนาแน่นต่ำกว่าน้ำ (จะมียกเว้นก็พวก organic halide ที่มีความหนาแน่นสูงกว่าน้ำ) ของเหลวที่มีของแข็งแขวนลอยอยู่ (เช่นพวกสเลอรี่) ก็จะมีความหนาแน่นแตกต่างไปจากของเหลวที่ไม่มีของแข็งแขวนลอย

คำถามแรกที่เจอเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคือทำไมผู้ออกแบบจึงเผื่อกำลังของปั๊มเอาไว้มากกว่าขณะใช้งานปรกติมาก

ระบบที่มีคำถามคือระบบที่แสดงในรูปที่ ๑ ซึ่งมีการสูบของเหลวจากถังใบหนึ่ง (ที่มีความดันเหนือผิวของเหลว P0 และของเหลวดังกล่าวมีความหนาแน่นใกล้เคียงกับน้ำ) ส่งไปยังถังใบที่สอง (ที่มีความดันเหนือผิวของเหลว P1)

ในที่นี้สมมุติให้ความดัน P0 = P1 = ความดันบรรยากาศ ก่อน

คำถามของเขาก็คือในขณะที่ปั๊มเดินเครื่องตามปรกตินั้นต้องการเฮดเพียงแค่ 4 เมตรแต่ทำไมถึงต้องใช้ปั๊มที่ให้เฮดได้อย่างน้อย 9 เมตร ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการเผื่อเอาไว้กว่าเท่าตัว

จากที่ได้คุยกันนั้น ทำให้ทราบว่าระบบ piping ด้านขาออกจากปั๊มนั้นมีการยกระดับสูงขึ้นไปก่อน 9 เมตรเพื่อเข้าไปในถัง และเมื่อเข้าไปในถังแล้วท่อจะมีการลดระดับลงมาอีก 5 เมตร ทำให้ปลายท่อด้านขาออกอยู่สูงจากปั๊มเพียงแค่ 4 เมตร

พฤติกรรมการไหลเช่นนี้เหมือนกับ "กาลักน้ำ" ที่เคยกล่าวไว้ใน Memoir ฉบับที่ ๑๑๖

ในช่วงเริ่มเดินเครื่องปั๊มนั้น ปั๊มต้องดันของเหลวให้ได้สูง 9 เมตรก่อนเพื่อที่จะไหลเข้าไปในถังได้ และเมื่อของเหลวในท่อเริ่มไหลลงมาตามท่อด้านขาออกที่อยู่ในถังนั้น พลังงานที่ต้องการใช้ก็จะลดลง และเมื่อของเหลวไหลออกที่ปลายท่อที่ระดับความสูงสูงกว่าตัวปั๊ม 4 เมตร เฮดด้านขาออกของปั๊มก็จะลดลงเหลือเพียงแค่ 4 เมตร

แต่ถ้าความดันเหนือผิวของเหลวด้านในถัง (P1) นั้นสูงกว่าความดันเหนือผิวของเหลวก่อนเข้าปั๊ม (P0) อยู่ 1 bar (P1 > P0 อยู่ 1 bar) หรือเทียบเท่าความสูงของน้ำ 10 เมตร

ดังนั้นที่ภาวะเดินเครื่องปรกติปั๊มต้องทำเฮดให้ได้ 4 + 10 = 14 เมตร

แต่ในขณะที่เริ่มเดินเครื่องปั๊ม ปั๊มต้องทำเฮดให้ได้ 9 + 10 = 19 เมตร

เราสอนเราเรียนกันเน้นไปที่ภาวะ steady state แต่อุปกรณ์ทุกอย่างต้องมีการ start up

. ปั๊มต้องมี head เท่าไร เรื่องที่ ๒

ถ้ามีพื้นที่ราบที่กว้างพอ การก่อสร้างโรงงานก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่ในบ้านเราพื้นที่ที่เป็นที่ราบอันกว้างใหญ่ก็เห็นจะมีแต่ภาคกลาง ซึ่งมีผู้ไปตั้งนิคมอุตสาหกรรมกันหลายแห่งและก็จมน้ำไปเรียบร้อยหลายแห่งด้วย พื้นที่ทางภาคตะวันออก (แถวชลบุรีและระยอง) ที่ไปตั้งนิคมกันไม่ได้เป็นพื้นที่ราบที่กว้าง เป็นเพียงพื้นที่ราบแคบ ๆ หรือไม่ก็เป็นเนินสูงต่ำสลับกันไป ดังนั้นก่อนการสร้างโรงงานจึงต้องทำการปรับพื้นที่เสียก่อน ถ้าระดับความสูงของพื้นที่เดิมไม่ได้แตกต่างกันมากและบริเวณก็ไม่ใหญ่มาก ก็อาจทำการปรับระดับพื้นที่ให้ราบเสมอกันได้ (ไถเอาดินจากเนินสูงไปถมที่ต่ำ)

ที่นี้พอมีโรงงานขนาดใหญ่จำนวนหลายโรงงานที่อยู่ในนิคมที่ต้องมีการส่งวัตถุดิบและ/หรือผลิตภัณฑ์ให้กันทางท่อ แต่ละโรงงานก็จะตั้งอยู่บนระดับความสูง (วัดเทียบจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ที่แตกต่างกัน และแนวท่อที่เชื่อมต่อถึงกันนั้นก็ไม่ใช่ท่อตรง อาจมีการยกระดับเพื่อข้ามถนนหรือลดระดับเพื่อลอดถนนบ้าง

ท่อลดระดับเพื่อลอดถนนไม่ค่อยจะมีปัญหาเท่าไร แต่ท่อยกระดับเพื่อข้ามถนนนี่ซิอาจเป็นปัญหา


รูปที่ ๒ การปั๊มของเหลวจาก Tank 1 ไปยัง Tank 2 โดย Tank 1 อยู่บนพื้นดินที่ระดับความสูงสูงกว่า Tank 2 18 เมตร

รูปที่ ๒ ข้างบนเป็นตัวอย่างสมมุติตัวอย่างหนึ่งของการปั๊มของเหลวจาก Tank 1 ไปยัง Tank 2 ที่อยู่ห่างออกไปในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง โดยสมมุติให้ความดันเหนือผิวของเหลวใน Tank 1 เท่ากับความดันเหนือผิวของเหลวใน Tank 2 คือเท่ากับความดันบรรยากาศ และ Tank 2 อยู่ที่ระดับพื้นดินที่ต่ำกว่า Tank 1 เป็นระยะ 18 เมตร

รูปแบบนี้ถ้าเอา Bernoulli's equation มาจับเข้าตรง ๆ จะพบว่าเราไม่ต้องใช้ปั๊มในการส่งของเหลวจาก Tank 1 ไปยัง Tank 2 เพราะธรรมชาติของของเหลวมันไหลลงที่สูงสู่ที่ต่ำอยู่แล้ว

แต่ในการเดินท่อนั้นท่ออาจต้องมีการเปลี่ยนระดับเพื่อข้ามถนน (ให้รถผ่านลอดใต้ท่อ) สมมุติว่าช่วงที่ออกจากปั๊ม นั้นท่อต้องมีการยกระดับสูงขึ้น 5 เมตร (เทียบกับระดับปั๊ม) และช่วงก่อนเข้า Tank 2 นั้นท่อต้องมีการยกระดับสูงขึ้น 12 เมตร (เทียบกับระดับที่ตั้ง Tank 2)

ถ้ายังไม่คำนึงถึงความเสียดทานในระบบท่อ คำถามคือปั๊มต้องทำเฮดให้ได้อย่างน้อยเท่าไร

คำตอบของรูปที่ ๒ คือ 5 เมตร ไม่ใช่ 12 เมตร

ตัวอย่างทำนองนี้เคยกล่าวไว้ใน Memoir ฉบับที่ ๑๑๖ เช่นเดียวกัน

ตรงจุดที่ท่อมีการยกระดับสูงขึ้น 12 เมตรนั้น พื้นที่บริเวณนั้นอยู่ต่ำกว่าพื้นที่ตั้งปั๊ม 18 เมตร ดังนั้น ณ จุดที่ท่อมีการยกระดับขึ้นไปสูงสุด 12 เมตร จุดดังกล่าวก็ยังต่ำกว่าพื้นที่ตั้งปั๊มอยู่ 6 เมตร ดังนั้นจุดที่ท่อมีการยกตัวสูงขึ้น 12 เมตรนี้จึงไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าปั๊มควรต้องมีเฮดอย่างน้อยเท่าไร
ที่บอกว่าเป็น "เฮดอย่างน้อย" นั้นก็เพราะถ้าคำนวณเฮดโดยอาศัย (ก) ความสูงที่ต้นทางและปลายทางเท่านั้น และ (ข) ความดันลดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระบบท่อ แล้วพบว่าค่าเฮดที่คำนวณได้นั้นน้อยกว่า 5 เมตร ปั๊มดังกล่าวจะไม่สามารถปั๊มของเหลวให้ขึ้นไปได้สูง 5 เมตรตรงจุดที่ท่อมีการยกตัวตำแหน่งแรกได้ ของเหลวก็จะไม่มีทางไหลไปถึง Tank 2 ดังนั้นถ้าคำนวณค่าเฮดได้ต่ำกว่า 5 เมตรก็ต้องปัดขึ้นเป็น 5 เมตรเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าคำนวณค่าเฮดที่ต้องใช้ได้สูงกว่า 5 เมตรก็แล้วไป ก็ใช้ค่านั้นได้
. ปั๊มต้องมี head เท่าไร เรื่องที่ ๓

เรื่องนี้เกิดขึ้นบนคอมพิวเตอร์
ต้องการสูบของเหลวจากถังใบที่หนึ่งที่ความดัน P0 bar ไปยังถังใบที่สองที่ความดัน P1 bar คำถามก็คือปั๊มที่ใช้ต้องมีเฮดอย่างต่ำเท่าไร (รูปที่ ๓)


รูปที่ ๓ การถ่ายของเหลวจากถังใบหนึ่งที่ความดัน P0 bar ไปยังถังอีกใบหนึ่งที่ความดัน P1 bar

คำถามที่เขาถามผมก็คือเขาไม่รู้ว่าระบบท่อประกอบด้วยอะไรบ้างแล้วจะคำนวณหาความเสียดทานได้อย่างไร

flow chart บนโปรแกรม simulation นั้นเทียบได้กับ process flow diagram ซึ่งจะบอกแต่เพียงว่าในการส่งต่อของเหลวจาก unit หนึ่งไปยังอีก unit หนึ่งนั้นมีการเปลี่ยนแปลงความดันและอุณหภูมิอย่างไรบ้าง และต้องส่งไปด้วยอัตราการไหลเท่าไร แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับขนาดของท่อและชิ้นส่วนต่างที่เป็นส่วนประกอบของระบบท่อส่ง และก็ไม่ได้ให้รายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระดับความสูง

ความดันลดที่เกิดจากแรงเสียดทานของระบบท่อและการเปลี่ยนแปลงความสูงจะเป็นเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับสถานที่ตั้งอุปกรณ์จริง กระบวนการเดียวกันแต่สร้างในสถานที่ที่มีระดับพื้นที่ที่แตกต่างกันก็ไม่จำเป็นต้องมีแผนผังการติดตั้งอุปกรณ์เหมือน ๆ กัน

แต่เราก็สามารถประมาณพลังงานต่ำสุดที่ปั๊มต้องมีได้จากการเปลี่ยนแปลงความดันระหว่าง unit ทั้งสองและพลังงานจลน์ที่ต้องให้แก่ของเหลวโดยอาศัย rule of thumb ที่ว่าขนาดท่อที่เหมาะสมนั้นควรเป็นขนาดที่ทำให้ของเหลวไหลด้วยอัตราเร็วเชิงเส้นในช่วง 1-3 m/s (ถ้าต่ำเกินไปแสดงว่าใช้ท่อขนาดใหญ่เกินไป สิ้นเปลืองค่าท่อ ถ้าสูงเกินไปแสดงว่าใช้ท่อขนาดเล็กเกินไป ความต้านทานการไหลจะสูง)

. ความเร็วรอบมอเตอร์

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปั๊มหอยโข่ง (centrifugal pump) และเคยกล่าวไว้ใน Memoir ฉบับที่ ๑๒๑ เอาไว้แล้ว
การควบคุมอัตราการไหลของเหลวจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งนั้นทำได้โดยการใช้วาล์วควบคุมหรือไม่ก็ปรับความเร็วรอบการหมุนของปั๊ม

ถ้าอัตราการไหลของของเหลวที่ต้องการนั้นมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอตามภาวะการผลิตหรือชนิดผลิตภัณฑ์ที่ต้องการผลิต (เช่นส่วนประกอบต่าง ๆ ในการทำปฏิกิริยาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ต่างชนิดกัน หรืออัตราการไหลของไอน้ำ/น้ำหล่อเย็นเพื่อคุมอุณหภูมิระบบให้ได้ดังต้องการ) การควบคุมอัตราการไหลมักจะใช้วาล์วควบคุม

แต่ก็มีบางงานเหมือนกันที่ไม่ต้องการการปรับอัตราการไหลสม่ำเสมอ อาจต้องการเพียงแค่ให้มีของเหลวไหลวนรอบอยู่ในระบบ (เช่นหอ scrubber) ในกรณีนี้การออกแบบอาจเป็นการเลือกขนาดปั๊มที่เหมาะสมกับอัตราการไหลดังกล่าว โดยเผื่อเอาไว้เล็กน้อยและปล่อยให้ปั๊มทำงานเต็มที่ ถ้าอัตราการไหลที่ได้สูงเกินไปก็หรี่วาล์วขาออกให้เปิดน้อยลง

แต่ถ้าอัตราการไหลที่ต้องการนั้นต่ำกว่าความสามารถของปั๊มที่ทำได้อยู่มาก ดังนั้นเพื่อให้ได้อัตราการไหลที่ต้องการจึงต้องเปิดวาล์วขาออกไว้ไม่มาก (หรือหรี่วาล์วลงเยอะ) การกระทำดังกล่าวเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน การลดการสิ้นเปลืองพลังงานดังกล่าวอาจกระทำโดยการเปลี่ยนขนาดใบพัดของปั๊มหรือไปลดรอบอัตราเร็วการหมุนของใบพัด

เวลาที่กล่าวถึงปั๊มหอยโข่งนั้นขอให้เข้าใจว่ามันมีส่วนประกอบหลักอยู่ ๒ ส่วนคือตัวปั๊มเองที่เป็นที่ติดตั้งของใบพัดและเป็นจุดต่อของท่อของเหลวไหลเข้าและไหลออก และตัวมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ขับเคลื่อนใบพัด การที่เห็นคนผลิตตัวปั๊มเป็นบริษัทหนึ่งและมอเตอร์เป็นของอีกบริษัทหนึ่งจึงเป็นเรื่องปรกติ และเวลาซื้อปั๊มก็ต้องคุยให้ชัดเจนด้วยว่าซื้อเฉพาะตัวปั๊มโดยไม่รวมมอเตอร์ขับเคลื่อน หรือซื้อเป็นชุดโดยรวมมอเตอร์ขับเคลื่อนด้วย

กรณีของคำถามที่ประสบมานั้นนิสิตเล่าว่าทางโรงงานมีปัญหาเรื่องปั๊มตัวหนึ่งมีขนาดใหญ่เกินไป ทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน ทางโรงงานต้องการประหยัดพลังงานโดยไม่ต้องการไปยุ่งอะไรกับปั๊ม เขาต้องการเปลี่ยนตัวมอเตอร์ที่ใช้ขับเคลื่อน (คงเป็นเพราะมันเปลี่ยนง่ายกว่าเพราะไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับระบบท่อเข้า-ออกจากตัวปั๊ม) แต่คำถามก็คือมอเตอร์ควรหมุนด้วยความเร็วรอบเท่าไร

ก่อนที่จะตอบคำถามดังกล่าวผมก็ถามเขากลับไปก่อนว่าเขาคิดจะลดรอบการหมุนของมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยวิธีใด

มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้กันมากในโรงงานคือมอเตอร์เหนี่ยวนำ (induction motor) ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ อัตราการหมุนของมอเตอร์ชนิดนี้ขึ้นอยู่กับความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลับที่ใช้และจำนวนขั้วของมอเตอร์ โดยคำนวณได้จากความเร็วซิงโครนัส (synchronous speed) จากสูตร n = (120f/p) เมื่อ n คือความเร็วซิงโครนัส (หน่วยเป็น rpm หรือรอบต่อนาที) f คือความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลับ (ในบ้านเราคือ 50 Hz) และ p คือจำนวนขั้วของมอเตอร์ซึ่งจะเป็นเลขคู่เสมอ และมักจะเริ่มจาก 4

สำหรับมอเตอร์เหนี่ยวนำนั้นจะหมุนด้วยความเร็วที่ต่ำกว่าความเร็วซิงโครนัสอยู่เล็กน้อยเนื่องจากมีการเกิด slip เช่นกรณีของมอเตอร์ที่มี 4 ขั้ว ความเร็วซิงโครนัสที่คำนวณได้ (ที่ความถี่ 50 Hz) คือ 1500 rpm แต่ตัวมอเตอร์จะหมุนที่ความเร็วรอบประมาณ 14xx rpm (ดูรูปที่ ๔ ในหน้าถัดไปประกอบ)

การปรับความเร็วรอบการหมุนของปั๊มอาจทำโดย
(ก) คงอัตราการหมุนของมอเตอร์ไฟฟ้าเอาไว้ แล้วใช้ระบบเฟืองทด/สายพาน
(ข) คงมอเตอร์ตัวเดิมเอาไว้ แต่ติดตั้งระบบปรับความถี่ของไฟฟ้า หรือ
(ค) เปลี่ยนมอเตอร์ โดยใช้มอเตอร์ที่มีจำนวนขั้วที่แตกต่างไปจากของเดิม

ในกรณีนี้ทางโรงงานต้องการประหยัดพลังงานโดยทำให้ปั๊มหมุนช้าลง ตอนแรกนิสิตที่ถามคำถามก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องหมุนที่ 950 rpm หรือ 750 rpm แต่ถ้าไปดูสูตรการคำนวณความเร็วรอบข้างบนก็จะเห็นคำตอบ

ถ้ามอเตอร์มีจำนวนขั้วเป็น 6 ความเร็วซิงโครนัสคือ 1000 rpm ดังนั้นตัวเลข 950 rpm ที่เขาเห็นจึงเป็นตัวเลขการหมุนของมอเตอร์เหนี่ยวนำที่มี 6 ขั้ว 
 
ถ้ามอเตอร์มีจำนวนขั้วเป็น 8 ความเร็วซิงโครนัสคือ 750 rpm ดังนั้นตัวเลข 750 rpm ที่เขาเห็นจึงเป็นตัวเลขการหมุนของมอเตอร์เหนี่ยวนำที่มี 8 ขั้ว 

 
รูปที่ ๔ Name plate ของมอเตอร์ตัวหนึ่งขนาด 3 แรงม้า 4 ขั้ว (Hz - ความถี่ของกระแสไฟฟ้า (เฮิรตซ์), V - ความต่างศักย์ (โวลต์), A - กระแส (แอมแปร์), r/min - รอบต่อนาที, PF - Power factor หรือตัวประกอบกำลัง)

จาก Name plate ของมอเตอร์ตัวหนึ่งในรูปที่ ๔ จะเห็นว่าที่ไฟฟ้ากระแสสลับความถี่เดียวกัน มอเตอร์จะหมุนที่ความเร็วรอบพอ ๆ กัน ไม่ได้เปลี่ยนไปตามความต่างศักย์ที่ใช้ แต่กระแสที่ใช้จะลดลงถ้าใช้ความต่างศักย์สูงขึ้น ค่ากระแสที่แสดงเป็นค่ากระแสในขณะทำงานปรกติ ไม่ใช่ค่ากระแสขณะเริ่มเดินเครื่อง ซึ่งจะสูงกว่าค่าที่แสดงไว้มาก แต่ก็เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ดังนั้นการติดตั้ง circuit breaker ให้กับมอเตอร์จึงต้องพึงระวังเรื่องกระแสที่สูงชั่วขณะในขณะที่ทำการเริ่มเดินเครื่องด้วย เพราะถ้าใช้ circuit breaker ที่ตัดไฟที่กระแสใกล้เคียงกับกระแสใช้งานปรกติหรือที่ทำงานรวดเร็วเกินไป ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถเริ่มเดินเครื่องมอเตอร์ได้

ด้วยเหตุนี้ในกรณีที่มีมอเตอร์ใช้งานหลายตัวอยู่ เวลาเริ่มเดินเครื่องจึงต้องเริ่มเดินเครื่องทีละตัว ไม่ใช่เดินเครื่องทุกตัวพร้อมกันหมด เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับ glove box ในห้องแลปของเราซึ่งมีปั๊มสุญญากาศอยู่หลายตัว วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับแต่ไม่มีผู้ใดเข้าไปปิดสวิตช์ปั๊มต่าง ๆ ให้อยู่ที่ตำแหน่ง OFF (คงค้างอยู่ที่ตำแหน่ง ON) เมื่อไฟฟ้ากลับคืนมาดังเดิมปั๊มสุญญากาศทุกตัวก็เริ่มทำงานพร้อมกัน กระแสที่ดึงเข้าในจังหวะสั้น ๆ นั้นสูงมากจนทำให้ stabilizer ไหม้ (มันคุมความต่างศักย์แต่ไม่ได้คุมกระแส และระบบตัดไฟของมันทำงานไม่ทัน)

หวังว่าบทความนี้คงเป็นตัวอย่างให้พวกคุณได้เห็นว่า การนำเอาบทเรียนภาคทฤษฎีที่เรียนจากในห้องเรียนไปใช้งานในทางปฏิบัตินั้นต้องมีความเข้าใจในเรื่องใดบ้าง