หลังจากที่โดนพี่สาวคนสวย
(ต้องชมแกหน่อย
แกจะได้เอาขนมอร่อย ๆ
มาแบ่งให้กินเรื่อย ๆ)
ทวงถามว่าเมื่อไรจะเขียนโครงการนี้สักที
ผมก็ผัดผ่อนมาตลอดเพราะยังไม่เคยเห็นสถานที่จริงและไม่ได้รับรู้ปัญหา
จนมีโอกาสเมื่อวันพฤหัสบดีสัปดาห์ที่แล้ว
จึงได้เดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่สักที
หลังจากเตรียมแผนที่เส้นทางต่าง
ๆ เอาไว้เรียบร้อย
ก็เริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพ
เส้นทางที่ใช้ในครั้งนี้ก็คือจากกรุงเทพ
มุ่งหน้านครปฐม ไปบ้านโป่ง
เพื่อไปยังกาญจนบุรี
เส้นทางนี้ไม่ได้วิ่งมานานแล้ว
เพราะมีสัญญาณไฟเยอะมากตลอดทาง
แถมมีทางข้ามทางรถไฟอีกหลายแห่ง
แต่ที่เลือกไปก็เพราะอยากรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
เพราะหลัง ๆ เวลาไปเมืองกาญจนบุรีจะไปใช้เส้น
บางบัวทอง-บางเลน-กำแพงแสน-พนมทวน-กาญจนบุรี
แทน เส้นหลังนี้แม้จะอ้อมกว่าเล็กน้อยแต่สภาพทางดีมาก
(สี่ช่องจราจรตลอดเส้น)
รถก็น้อย
แถมไม่มีสัญญาณไฟอีก
(มีเฉพาะตอนเข้าตัวอำเภอเท่านั้นเอง)
ระหว่างรอติดไฟแดงที่แยกบ้านโป่ง
หันจะไปเอาแผนที่ที่เตรียมไว้มาตรวจเส้นทาง
ปรากฏว่า "ลืม"
หยิบแผนที่ใส่เป้ที่ถือขึ้นรถมาด้วย
กำลังคิดว่าจะยกเลิกแผนการเดินทางหรือจะไปลุยต่อ
แต่พอนึกได้ว่าที่ตัวอำเภอเมืองกาญจนบุรีมีสำนักงานท่องเที่ยวอยู่
น่าจะขอแผนที่ได้ที่นั่น
ก็เลยลุยเดินทางต่อไป
สถานที่ที่ผมกำลังไปนั้นคือ
"โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านแม่น้ำน้อย"
ผมรู้อยู่แต่ว่าอยู่ที่อำเภอไทรโยค
เลย "ช่องเขาขาด"
ออกไป
ไปครั้งนี้ก็ไม่ได้ติดต่อทางโรงเรียนเอาไว้ก่อน
เพราะไม่รู้ว่าจะไปหาเจอหรือเปล่า
เกรงว่านัดเขาเอาไว้แล้วแล้วหาโรงเรียนไม่เจอ
จะก่อเรื่องวุ่นเปล่า ๆ
โรงเรียนนี้ไม่มีปรากฏในแผนที่ซะด้วย
ต้องอาศัยเทียบเคียงกับแผนที่ที่ดูจากทางอินเทอร์เนต
ไปถึงสำนักงานการท่องเที่ยวที่กาญจนบุรี
ขอให้เจ้าหน้าที่เขาช่วยเหลือเปิดดูแผนที่ทางอินเทอร์เนตให้
ซึ่งเขาก็ให้บริการดีมาก
จากนั้นก็เอาโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปจากจอคอม
ถือติดตัวไป
(เพราะไม่คาดว่าที่โรงเรียนจะมีสัญญาณโทรศัพท์
และมันก็แทบจะไม่มีจริง
ๆ)
โรงเรียนนี้อยู่ที่ไหนผมก็ได้ทำแผนที่ประกอบมาให้ดูในรูปที่
๑-๔
แล้ว การเดินทางจากกรุงเทพก็ต้องไปจังหวัดกาญจนบุรี
และต่อไปยังอำเภอไทรโยค
(ตามทางหลวงหมายเลข
๓๒๓)
ให้ได้ก่อน
จากนั้นก็มุ่งเลยทางเข้าอำเภอไทรโยคออกไปอีก
ผ่านพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด
(อยู่ด้านซ้ายของถนน)
ประมาณ
๔๐ กิโลเมตร ก็จะถึงทางแยกเข้าโรงเรียน
ออกจากถนนใหญ่มาวิ่งทางรองได้สักประมาณ
๕ กิโลเมตร ก็จะเข้าสู่เส้นทางย่อยอีก
(รถเล็กพอจะสวนกันได้ในบางช่วง
ถ้าเป็นรถใหญ่ก็ขวางถนนหมด)
เส้นทางนี้ช่วงแรกเป็นลูกรัง
ถัดไปสักพักเป็นคอนกรีต
(แบบถนนในหมู่บ้าน)
และท้ายสุดเป็นลาดยางอย่างดี
แต่ก็เฉพาะช่วง ๗๐๐
เมตรตรงบริเวณหน้าโรงเรียน
(มีโอกาสได้ใช้แน่ถ้าฝ่าด่านลูกรังเข้าไปถึงได้)
สภาพถนนเข้าโรงเรียนเป็นอย่างไรก็ลองดูรูปต่าง
ๆ เอาเองก็แล้วกัน (รูปที่
๕ ถึง ๑๐)
ผมขับรถเข้าไปจอดในโรงเรียน
ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี
ก็พอดีมีคนที่นั่งอยู่หน้าอาคารเรียนเดินเข้ามาทักทาย
ทราบว่าเป็นครูใหญ่ของโรงเรียน
คือ ร.ต.ต.
อุรารัตน์
จึงได้อธิบายเหตุผลที่เดินทางมา
ทางครูใหญ่ก็ได้นำเยี่ยมชมโรงเรียนและเล่าถึงเรื่องต่าง
ๆ ให้ฟัง
ต่อจากนี้ไปผมขอเรียกแกว่าครูอุรารัตน์ก็แล้วกัน
ช่วงที่ผมไปถึงนั้นโรงเรียนยังไม่เปิดเทอม
แต่ก็ยังมีนักเรียนอยู่ในโรงเรียน
ครูอุรารัตน์เล่าว่าโรงเรียนแห่งนี้ช่วงเปิดเทอมจะมีพ่อแม่พาลูกมาเรียนหนังสือ
และก็ให้ค้างอยู่ที่โรงเรียนเลย
ปิดเทอมจึงรับกลับ
(แต่ก็ไม่หมดทุกคน)
ทางโรงเรียนจึงมีภาระที่ต้องจัดหาที่พักและอาหาร
(ตัวสำคัญ)
ทั้งสามมื้อให้กับเด็ก
ๆ (ไม่เว้นวันหยุด)
มีชาวเขาหลายเผ่าที่ส่งลูกมาเรียนที่นี่
พูดกันหลากหลายภาษา
เลยต้องให้เรียนภาษาไทยกันก่อน
(ส่งเข้าชั้นอนุบาลทั้งหมด)
จึงจะคุยกันรู้เรื่อง
โครงการที่จะไปทำนั้น
ในส่วนตัวผมเองนั้นไม่อยากให้เป็นเพียงแค่เอาของไปให้
(เพื่อให้ได้ชื่อว่าช่วยเหลือสังคม)
เพียงครั้งเดียวแล้วก็ถือว่าเสร็จสิ้น
แต่อยากให้ผู้ที่ได้ไปร่วมนั้นเกิดความคิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
(เมื่อใดก็ตามที่มีความพร้อมที่จะช่วย)
ฝังอยู่ในจิตใจ
ผมทราบก่อนเดินทางว่ามีโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนหลายแห่งที่ยังขาดแคลน
แม้แต่ในบริเวณจังหวัดกาญจนบุรีก็มีหลายแห่ง
เพียงแต่แห่งนี้เป็นโรงเรียนที่บ้านแม่น้ำน้อยนี้มีเด็กนักเรียนมากและมีนักเรียนมาอยู่กินนอนมากแห่งหนึ่ง
ส่วนโรงเรียนอื่นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งอยู่ที่ไหน
ชุมชนบ้านแม่น้ำน้อยนั้นไม่ได้เป็นหมู่บ้านอยู่รวมกัน
แต่อยู่กระจัดกระจายกันออกไป
ข้ามฟากไปอีกฝั่งแม่น้ำ
เลยเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยคใหญ่ก็ยังมีหมู่บ้านแม่น้ำน้อยอยู่อีก
(ต้องแลกบัตรกับทางเจ้าหน้าที่อุทยานที่ตั้งด่านเฝ้าอยู่ที่ปากทางเข้า)
ฝั่งตรงข้ามโรงเรียน
(ข้างวัด)
ก็มีร้านชำเล็ก
ๆ อยู่ร้านหนึ่งพร้อมร้านก๋วยเตี๋ยว
(ไปนั่งกินมาแล้ว
ชามละ ๒๐ บาทเอง)
สัญญาณโทรศัพท์พอจะหาได้ในบางบริเวณ
(ที่เห็นชัดคือบนสะพานข้ามแม่น้ำแควน้อย)
ในความเห็นส่วนตัว
สภาพโรงเรียนในส่วนของอาคารนั้นถือว่าใช้การได้
ส่วนที่เป็นปัญหาน่าจะเป็นส่วนของค่าใช้จ่ายรายวันในด้านต่าง
ๆ มากกว่า เพราะงบประมาณส่วนนี้ค่อนข้างจำกัดมาก
ด้านอาหารนั้นทางโรงเรียนต้องให้นักเรียนช่วยกันปลูกผักสวนครัว
(รวมทั้งไม้ผลเช่น
ขนุน มะละกอ วันไหนผักไม่พอก็ใช้มะละกอช่วยได้)
และเลี้ยงสัตว์
(พวก
เป็ด ไก่ ปลา กบ)
ไว้เป็นอาหารโปรตีน
ที่เป็นปัญหาคือข้าวสารและเครื่องปรุงรสต่าง
ๆ ที่ต้องจัดซื้อ
ทางครูอุรารัตน์เล่าให้ฟังว่าข้าวสารต้องหุงกันวันละ
๖ หม้อใหญ่เพื่อเลี้ยงนักเรียน
การหุงก็ต้องใช้เตาแก๊ส
เพราะมันถูกกว่าใช้ไฟฟ้า
แต่ทั้งไฟฟ้าและแก๊สก็มีปัญหาเรื่องงบประมาณ
ตอนนี้แก๊สก็แพงขึ้นเรื่อย
ๆ ทางครูในโรงเรียนเองก็ต้องหาค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
ร้านขายแก๊สที่อยู่ใกล้สุดก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโล
สำหรับเด็กผู้หญิงก็มีค่าผ้าอนามัยเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเข้ามาอีก
นมสำหรับดื่มนั้นเป็นนมผงพระราชทานส่งมาเป็นกระสอบ
ทางโรงเรียนเอามาผสมน้ำแจกจ่ายให้กับเด็ก
ๆ แต่ก็มีเหมือนกันที่ชาวบ้านข้าง
ๆ มาขอนมนี้ให้ลูกเขากิน
(เด็กเล็ก)
ทางครูของโรงเรียนก็ต้องบอกไปว่านมนี้เป็นนมสำหรับเด็กโต
(๔
ขวบขึ้นไป)
ไม่ค่อยเหมาะกับเด็กเล็กนะ
แต่ก็ต้องแบ่งให้เขาไป
เพราะไม่เช่นนั้นชาวบ้านที่ยากจนเหล่านั้นก็จะไปใช้นมข้นหวานละลายน้ำให้ลูกกินแทน
ซึ่งมันแย่กว่าอีก
เครื่องซักผ้ามีอยู่สองเครื่อง
แยกซักชุดเด็กชายและเด็กหญิง
เป็นแบบถังแยกสองถัง
ใช้เครื่องอัตโนมัติไม่ได้เพราะไม่ได้มีน้ำประปาใช้เหมือนในเมือง
ต้องสูบน้ำจากแม่น้ำขึ้นมาเก็บไว้ใช้
(โรงเรียนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าอีก)
ช่วงเดือนสิงหาคมตอนที่พี่สาวคนสวยไปเยี่ยมนั้น
เครื่องซักผ้าเขาเสีย
แต่ตอนที่ผมไปเยี่ยมนั้น
เขาซ่อมกันเองจนใช้ได้แล้ว
เวลาจะซื้ออะไหล่ทีก็ต้องเข้าไปซื้อที่ตัวเมืองกาญจนบุรี
ห่างออกไปร่วม ๘๐ กิโลเมตร
ครูตชด.
ที่นีเป็นทั้งตำรวจ
ครู และช่างซ่อม ไปพร้อม ๆ
กัน ขนาดบ้านพักครูยังต้องหาวัสดุมาปลูกสร้างกันเอง
ในด้านอุปกรณ์การสอนนั้น
วันที่ไปถึงรับทราบว่าส่วนที่มีปัญหาคือเครื่องฉาย
LCD
ที่เสีย
(ทางโรงเรียนเอาไปให้ช่างดูแล้วช่างตีว่าไม่คุ้มค่าซ่อมใหม่)
กับเครื่องถ่ายเอกสารและกระดาษสำหรับถ่ายเอกสาร
(สำหรับเตรียมเอกสารให้นักเรียนซึ่งถือเป็นวัสดุสิ้นเปลืองตัวหนึ่ง)
ที่ตอนนี้ถ่ายออกมาดำพรืดไปหมดแล้ว
เครื่องถ่ายเอกสารนี้ไม่ได้ใช้กันเฉพาะที่โรงเรียน
แต่ชาวบ้านรอบโรงเรียนรวมทั้งวัดด้วย
เวลาต้องถ่ายเอกสารใด ๆ
(เช่นสำเนาทะเบียนบ้าน
บัตรประชาชน)
ก็ต้องมาขอความช่วยเหลือจากโรงเรียน
การจัดหาอุปกรณ์เช่นพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า
หรือเครื่องใช้ใดที่ต้องมีการเปลี่ยนอุปกรณ์สิ้นเปลืองเป็นระยะให้กับโรงเรียนนั้น
บางทีก็ต้องคำนึงถึงการบำรุงรักษาและการซ่อมแซมด้วย
อย่างเช่นในกรณีนี้แหล่งที่จะพอหาซื้ออะไหล่และมีช่างซ่อมเห็นจะได้แก่ตัวเมืองกาญจนบุรี
ดังนั้นโดยส่วนตัวแล้วเห็น่วาถ้าจะจัดหาอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ต้องมีการเปลี่ยนวัสดุสิ้นเปลืองเป็นระยะก็ควรที่จะต้องตรวจสอบว่าที่ตัวเมืองกาญจนบุรีสามารถหาได้หรือไม่
และราคานั้นเป็นเท่าใด
เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระให้กับบุคคลากรของโรงเรียนในการหาเงินมาใช้กับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ในภายหลัง
รูปที่
๑ แผนที่เส้นทางจากกรุงเทพ
ไปยังโรงเรียนตำรวจตะเวนชายแดนบ้านแม่น้ำน้อย
ถ้าไม่อยากเจอรถเยอะตลอดทาง
ก็ควรพิจารณาเส้นทาง บางบัวทอง
เข้าสาย 340
(ที่บอกว่าไปสุพรรณบุรี)
จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสาย
346
ไปยัง
อ.บางเลน
ตรงต่อไปยัง อ.กำแพงแสน
และตรงต่อไปยัง อ.พนมทวน
จากนั้นค่อยเลี้ยวซ้ายเข้ากาญจนบุรี
แยกที่บางเลนกับกำแพงแสนมันเป็นสามแยกสัญญาณไฟแดงสองแยกที่เหลื่อมกันอยู่
พอมาถึงแล้วต้องเลี้ยวขวาแล้วชิดซ้ายเลย
เพราะจะต้องเลี้ยวซ้ายอีกที
รูปที่
๒ แผนที่เส้นทางบนทางหลวงสาย
๓๒๓ ช่วงพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด
ถึงวัดแม่น้ำน้อย
(โรงเรียนตั้งอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามกันวัด)
รูปที่
๓ เส้นทางเข้าโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านแม่น้ำน้อย
รูปนี้เป็นช่วงที่แยกออกจากถนนใหญ่
(สาย
323)
ที่หลักกม.
148+500 (ป้ายบอกระยะจะเริ่มนับจากต้นทางถนนที่แยกออกจาก
ถ.
เพชรเกษม
ที่ จ.
นครปฐม)
หรือหลักกม.
74 (หลักคอนกรีตจะเริ่มนับจากแยกบ้านเก่า
จ.
กาญจนบุรี
ซึ่งเป็นช่วงที่ถนนลดความกว้างเหลือสองช่องทางจราจร)
เส้นทางย่อยที่ปรากฏบนแผนที่นี้บางเส้นทางมันไม่ใช่ทางสาธารณะ
คือเป็นถนนในที่คนอื่นบ้าง
หรือเป็นถนนในสถานที่ราชการบ้าง
เช่นที่ตรงโรงเรียนที่มันแสดงถนนวนรอบเป็นวง
ถนนนั้นเป็นถนนในโรงเรียน
ไม่ใช่เส้นทางสาธารณะ
หรือไม่ก็เป็นเพียงแค่เส้นทางที่มีแต่รถขับเคลื่อนสี่ล้อพอวิ่งได้เท่านั้น
รูปที่
๔ ภาพถ่ายดาวเทียบบริเวณที่ตั้งโรงเรียน
อยู่ริมแม่น้ำแควน้อย
ส่วนแม่น้ำน้อยคือลำน้ำที่มาบรรจบกับแควน้อยทางด้านซ้ายของรูป
ปัจจุบันมีสะพานข้ามแม่น้ำแควน้อยเชื่อมกับถนนฝั่งตรงข้ามแล้ว
(เสร็จตั้งแต่มกราคม
๒๕๕๒)
แต่ที่มีปรากฏในภาพถ่ายดาวเทียมที่ดูได้ฟรีทางอินเทอร์เนตเห็นอยู่เฉพาะส่วนฝากฝั่งโรงเรียน
(คงกำลังก่อสร้างอยู่)
แสดงว่าภาพนี้เก่ามาหลายปีแล้ว
ส่วนเส้นทางฝั่งตรงข้ามแม่น้ำนั้น
ผมลองสำรวจด้วยการขับรถออกถนนใหญ่ทางเส้นทางนั้น
ปรากฏว่าย่ำแย่กว่าเส้นทางที่เดินทางเข้ามาอีก
แต่ก็ยังพอประคองเอารถเก๋งเครื่อง
1500
CC อายุ
๑๕ ปีผ่านไปได้
(บวกกับฝีมือและประสบการณ์ในการขับรถผ่านสภาพถนนอย่างนี้ร่วมด้วยเล็กน้อย)
รูปที่
๕ ถนนสาย ๓๒๓ นี้มีป้ายบอกหลักกิโลอยู่สองแบบ
แบบบนเริ่มนับจากต้นทางที่นครปฐม
ทางแยกเข้าโรงเรียนจะอยู่ที่กม.
148 + 500 เมตร
ป้ายนี้จะอยู่ทางซ้ายมือของถนน
แต่ถ้าเป็นหลักคอนกรีตแบบล่างจะเริ่มนับจากแยกบ้านเก่า
(แยกเข้าปราสาทเมืองสิงห์)
ซึ่งเป็นช่วงที่ถนนลดขนาดจาก
๔ ช่องจราจรเหลือ ๒ ช่องจราจร
หลักคอนกรีตนี้จะอยู่ทางขวามือ
(เมื่อขับรถออกจากเมืองกาญจนบุรี)
ทางเข้าโรงเรียนจะอยู่ตรงข้ามหลักกม.
74 ที่ถ่ายรูปมาให้ดู
รูปที่
๗ พอเลยป้ายในรูปที่ ๖
มาเล็กน้อยก็จะเห็นแยกทางเข้าเพื่อไปโรงเรียน
(เส้นทางบ้านแก่งประลอม)
หลักกม.
74 ที่เป็นหลักคอนกรีตจะอยู่ทางขวามือตรงข้ามทางเข้า
วันที่เดินทางไปนั้นกำลังจะมีกฐินพระราชทานให้กับวัดแม่น้ำน้อยในวันอาทิตย์ที่
๓ พฤศจิกายนที่กำลังจะถึง
เลยโชคดีที่มีการเตรียมปรับสภาพเส้นทางให้
(รถเก๋งวิ่งได้สบาย)
รูปที่
๘ ขับออกจากถนนหลักมาประมาณ
๕ กิโลเมตร เส้นทางหลักจะเลี้ยวไปทางซ้าย
แต่ทางไปโรงเรียนคือถนนเล็ก
ๆ ที่มุ่งตรงไปข้างหน้า
(รูปที่
๓ ตรงที่มีลูกศรสีแดง-สีเหลือง)
ต้องขับรถตรงไปอีกเกือบ
๒ กิโลเมตรก็ถึงโรงเรียน
รูปที่
๙ เมื่อแยกเข้าเส้นทางเล็กในรูปที่
๘ จะเป็นถนนลูกรังพักนึง
จากนั้นตามด้วยถนนคอนกรีต
(บน)
มาจนถึงป้ายบอกทางเข้าหมู่บ้าน
(กลาง)
ก็จะพบกับถนนลาดยางอย่างดี
(ล่าง)
รูปที่
๑๐ มาจนถึงโรงเรียนแล้ว
โรงเรียนอยู่ซ้ายมือ
ส่วนที่เห็นหลังคาแดง ๆ
ขวามือคือวัดแม่น้ำน้อย
รูปที่ ๑๑ จากจุดที่จอดรถ มองออกไปยังถนนทางเข้าโรงเรียน จะมีอาคารบอกว่าเป็น "สถานีอนามัยบ้านแม่น้ำน้อย" อยู่หน้าโรงเรียน
รูปที่
๑๒ สภาพของ "สถานีอนามัยบ้านแม่น้ำน้อย"
ในวันที่เดินทางไปถึง
ทางครูอุรารัตน์เล่าว่าจะค่อย
ๆ พยายามปรับปรุง(เท่าที่มีทรัพยากร)
เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชน
รูปที่
๑๔ อีกมุมหนึ่งของโรงเรียนเมื่อมองจากระเบียง
รูปที่
๑๖ เล้าไก่ สำหรับให้นักเรียนมีไข่ไก่กิน
รูปที่
๑๗ บ่อเลี้ยงกบ
เพื่อเป็นอาหารโปรตีนเสริมให้กับนักเรียน
อันที่จริงมีบ่อปลาด้วย
แต่ไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้
รูปที่
๑๙ โรงเพาะเห็ด
ทางโรงเรียนต้องไปซื้อถุงที่มีเชื้อเห็นมาเพาะให้เป็นต้นเอง
รูปที่
๒๐ โรงประกอบอาหารและรับประทานอาหาร
รูปที่
๒๑ สุดทางที่สะพานข้ามแม่น้ำแควน้อย
รูปที่
๒๒ บรรยากาศแม่น้ำแควน้อยมองจากสะพานไปยังทิศเหนือ
(ทิศทางต้นน้ำ)
รูปที่
๒๓ บรรยากาศแม่น้ำแควน้อย
มองจากสะพานไปยังทิศใต้
รูปที่
๒๔ ลงไปถ่ายรูปด้านใต้สะพาน
(บน)
ด้านทิศใต้
(ล่าง)
ด้านทิศเหนือ
ที่ถ่ายรูปมุมนี้จะได้เห็นว่าระดับน้ำแม่น้ำที่ทางโรงเรียนต้องสูบขึ้นมานั้นอยู่ต่ำกว่าโรงเรียนแค่ไหน
(โรงเรียนอยู่ระดับถนน)
ระหว่างเยี่ยมชมนั้นก็ได้พบกับครูท่านอื่น
ๆ อีกหลายท่าน ที่ต่างทำงานต่าง
ๆ อยู่ตามมุมต่าง ๆ ของโรงเรียน
โรงเรียนนี้เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนประจำของนักเรียนและครูเลยก็ได้
ต้องมีครูผู้หญิงสำหรับดูแลเด็กหญิงที่มาอยู่ประจำด้วย
ตัวครูเองก็ไม่ได้มีหน้าที่แค่สอนหนังสือ
แต่ต้องทำหมดทุกอย่าง
ตั้งแต่นักการภารโรง ช่างซ่อม
ครู ผู้ปกครองเด็ก
รวมทั้งช่วยเหลือชาวบ้านรอบ
ๆ โรงเรียนที่มาขอความช่วยเหลือด้วย
ผมเขียนเรื่องนี้เพื่อบันทึกสิ่งที่ได้ไปประสบพบเห็นมาเมื่อวันพฤหัสบดีในสัปดาห์ที่แล้วก่อนที่จะลืมไป
ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้นก็คงต้องมีการรวบรวมผู้สนใจจัดกิจกรรมว่าควรจะออกมาในรูปแบบใด
โดยกิจกรรมที่จะจัดนั้นไม่ควรจะไปสร้างภาระให้กับทางโรงเรียน
ตอนนี้ได้แต่คาดหวังว่าอยากให้เกิดกิจกรรมครั้งแรกไม่ควรเกินกลางเดือนมกราคม
๒๕๕๗ ที่จะถึงนี้
ซึ่งยังเป็นช่วงที่โรงเรียนยังมีการเรียนการสอนอยู่
ระหว่างที่นั่งคุยกับครูอุรารัตน์อยู่หน้าโรงเรียนนั้น
ก็มีเสียงดัง "ปัง"
มาเป็นระยะ
ครูอุรารัตน์บอกว่านั่นเป็นเสียง
"ปิงปอง"
หรือระเบิดปิดปอง
ที่ชาวบ้านปาไล่ช้างป่าที่เข้ามาหากินในเรือกสวนชาวบ้าน
คือพอพ้นช่วงหน้าฝน
ทางฝั่งพม่าจะมีการล่าช้าง
ช้างก็จะหนีเข้ามาอาศัยอยู่ทางฝั่งไทย
เข้ามาเก็บพืชที่ชาวบ้านปลูกไว้กิน
เลยมีการกระทบกระทั่งระหว่างช้างกันคนกันบ้าง
ครูอุรารัตน์บอกว่าช้างมันไม่ค่อยกลัวเสียงปิงปองเท่าไรนัก
มันกลัวเสียงปืนมากกว่า
เพราะเสียงปืนมันมีเสียงหัวกระสุนแหวกอากาศ
(ที่ช้างมันได้ยิน)
เพิ่มเข้ามาอีก
นับเป็นการเดินทางตะลุยเดี่ยวที่ได้ประสบการณ์ที่ดีมากครั้งหนึ่งของชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น