เมื่อราว
ๆ สองสัปดาห์ที่แล้ว
เห็นมีการแชร์กันเรื่องการนำเอาปลั๊กพ่วงหลายตัวมาต่ออนุกรมกัน
ว่าจะเกิดอันตรายอย่างไร
ซึ่งผมอ่านดูแล้วเห็นว่าเหตุผลที่เขาอธิบายนั้นมันดูเผิน
ๆ ก็น่าจะดี แต่เอาเข้าจริง
ๆ มันอาจจะไม่ถูกก็ได้
เรื่องการเอาปลั๊กพ่วงหลายตัวมาต่ออนุกรมกันนั้น
จะว่าไปแล้วไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
คือถ้าจำเป็นก็ทำได้
แต่ต้องเข้าใจข้อพึงระวังในการใช้ด้วย
เพราะปลั๊กพ่วงบ้านเรามีหลากหลายแบบ
แต่ละแบบรับกระแสได้ไม่เท่ากัน
ดังนั้นถ้าต่อพ่วงไม่ดีก็อาจเกิดเรื่องได้ง่าย
หรือแม้แต่ไม่ได้มีการต่อพ่วงกันหลายตัว
ปลั๊กพ่วงเพียงตัวเดียวแต่ใช้ผิดวิธี
ก็ทำให้ไฟไหม้ได้ง่ายเหมือนกัน
หรือแม้แต่ไม่ต้องใช้ปลั๊กพ่วงเลย
แค่เสียบปลั๊กไม่แน่น
ก็ทำให้ไฟไหม้ได้เช่นกัน
แต่ก่อนอื่นเราลองมาดูการเดินสายไฟกันหน่อย
(อาศัยความรู้พื้นฐานไฟฟ้าที่พอจะเคยเรียนมาบ้าง
และประสบการณ์ที่ต้องทำงานกับช่างไฟฟ้าตอนที่เขามาเดินสายไฟให้กับห้องปฏิบัติการ)
สายไฟที่เข้าบ้าน
(หรือที่แยกออกมาจาก
Bus Bar
เข้าไปยังแต่ละชั้นของอาคาร)
จะต้องเข้ายัง Circuit
Breaker หลักก่อนที่ทำหน้าที่ตัดไฟหรือเปิดให้ไฟเข้าบ้านได้
(แต่ก่อนจะใช้ฟิวส์กระปุก
แต่ปัจจุบันจะไม่เห็นกันแล้ว)
จากนั้นไฟจะแยกจาก
Circuit Breaker
(หรือบางทีก็เรียกว่า
Safety Breaker)
เข้าไปยัง Circuit
Breaker (ต่อไปขอย่อว่า CB)
ย่อยแต่ละตัวที่ควบคุมการจ่ายไฟไปยังส่วนต่าง
ๆ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้าน
เช่น เครื่องปรับอากาศ
ไฟแสงสว่างชั้นบน ไฟแสงสว่างชั้นล่าง
เต้ารับชั้นบน เต้ารับชั้นล่าง
เครื่องทำน้ำอุ่น ฯลฯ
สายที่เดินไปยังอุปกรณ์ต่าง
ๆ ก็มักจะเดินตรงไปยังอุปกรณ์ตัวนั้นเลย
แต่สายที่เดินไปยังเต้ารับต่าง
ๆ ในบ้านหรือในอาคารนั้น
ที่เคยเห็นในบ้านเราก็เห็นอยู่สองรูปแบบด้วยกัน
(รูปที่
๑ ข้างล่าง)
โดยรูปแบบแรกนั้นจาก
CB
ย่อยจะเดินสายไปยังเต้ารับ
๑ ก่อน (เช่น
CB1 ในรูปที่
๑)
จากนั้นก็จะต่อไปจากจุดต่อที่อยู่ทางด้านหลังเต้ารับ
๑ ไปยังเต้ารับ ๒ และทำอย่างนี้ไปเรื่อย
ๆ ที่เคยเห็นแบบนี้ก็เป็นกรณีของเต้ารับที่อยู่ฟากเดียวกันของผนัง
คือเดินสายจากเพดานลงมาเพียงแค่ตำแหน่งเดียว
จากนั้นก็ค่อยเดินสายในแนวระดับไปยังตำแหน่งต่าง
ๆ ที่ต้องการติดตั้งเต้ารับ
ส่วนรูปแบบที่สองนั้น (CB2
ในรูปที่ ๑)
จะเดินสายไปยังกล่องแยกสายไฟ
(Junction box)
จากนั้นจึงค่อยแยกสายจากกล่องนี้ไปยังเต้ารับที่ตำแหน่งต่าง
ๆ เช่นสายไฟที่เดินมาตามเพดานแล้วแยกลงเต้ารับที่อยู่คนละฟากของผนัง
รูปที่ ๑
ตัวอย่างการเดินสายไฟสำหรับเต้ารับที่แยกออกมาจาก
Main Circuit Breaker
ทีนี้ถ้าเราไปดูที่สายไฟ
เราจะไม่เห็นข้อความระบุว่าสายไฟเส้นนี้รับกระแสได้กี่
"แอมแปร์"
(แต่เรามันจะเรียกอย่างย่อ
ๆ ว่า "แอมป์"
หรือ A)
แต่จะระบุพื้นที่หน้าตัดของสายทองแดง
(หน่วยเป็นตารางมิลลิเมตร)
เอาไว้
เหตุผลก็เพราะความสามารถของสายไฟฟ้าในการรับกระแสขึ้นอยู่กับวิธีเดินสายไฟ
เวลาที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวทำจะเกิดความร้อนในปริมาณ
I2R เมื่อ
I คือกระแสไฟฟ้าและ
R คือความต้านทาน
(Ohm)
ความร้อนที่เกิดขึ้นนี้จะระบายผ่านฉนวนหุ้มแกนทองแดงออกไป
ถ้าความร้อนระบายออกไปได้ไม่ดี
ฉนวนหุ้มสายไฟก็อาจร้อนจนหลอมละลายได้
ส่วนความร้อนจะระบายออกได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเดินสายไฟเส้นนั้นอย่างไร
สายไฟที่เดินแบบตีกิ๊ฟ
เดินลอย หรือเดินเปลือย
ความร้อนที่เกิดขึ้นจะระบายออกสู่อากาศล้อมรอบได้โดยตรง
ในขณะที่การเดินร้อยท่อนั้นการระบายความร้อนจะแย่กว่า
และยิ่งท่อนั้นมีสายไฟร้อยอยู่หลายเส้นด้วย
ความร้อนที่สะสมภายในท่อก็จะมากขึ้นด้วย
สายไฟขนาดเดียวกันที่กระแสไหลผ่านเท่ากัน
สายไฟที่เดินลอยหรือเดินเปลือยจะร้อนน้อยกว่า
กล่าวอีกอย่างก็คือที่อุณหภูมิสูงสุดที่ฉนวนสายไฟรับได้
สายไฟที่เดินลอยหรือเดินเปลือยจะรับกระแสได้มากกว่า
ซึ่งเรื่องนี้ช่างไฟฟ้าที่มีความรู้เขาจะคำนึงถึงอยู่แล้วเวลาออกแบบ
เวลาที่เขาเลือกขนาด CB
เขาก็จะเลือกขนาด CB
ให้ตัดกระแสไฟก่อนที่สายไฟจะไหม้
ทีนี้เราลองกลับไปพิจารณารูปที่
๑ กรณีของการต่อเต้ารับจากตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่ง
(แถวบน)
ที่มีการติดตั้ง CB1
ขนาด 10
A สมมุติว่าที่เต้ารับ
๓ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟ
5 A และเต้ารับ
๒ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟ
5 A ดังนั้นสายไฟ
C จะมีกระแสไหลผ่าน
5 A ในขณะที่สายไฟ
A และ
B มีกระแสไหลผ่าน
10 A
ทีนี้พอมีการเสียบเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟ
5 A ที่เต้ารับ
๑ (หรือ
๒ หรือ ๓ ก็ได้)
สิ่งที่เกิดก็คือ CB1
จะตรวจพบกระแสไหลผ่านสูงเกินค่ากำหนด
ก็จะทำการตัดไฟ
แต่ถ้าพบว่าสายไฟไหม้โดยที่
CB1 ไม่ตัดกระแส
ก็แสดงว่าตัว CB1
มีปัญหา หรือสายไฟมีปัญหา
ก็ต้องหาสาเหตุกันต่อไป
ในกรณีของแถวล่าง (ที่มีการติดตั้ง
CB2)
ก็จะเป็นแบบเดียวกัน
ต่อไปเรามาลองพิจารณากรณีของการต่อปลั๊กพ่วงหรือรางปลั๊กไฟหลายตัวอนุกรมกันบ้าง
ดังแสดงในรูปที่ ๒ ข้างล่าง
โดยสมมุติให้ปลั๊กพ่วงแต่ละตัวนั้นสามารถรับกระแสไฟฟ้าได้
10 A โดยปลั๊กพ่วง
๑ นั้นต่อเข้ากับเต้ารับ ๗
ที่มี CB3
ขนาด 10
A ที่จำกัดปริมาณกระแสสูงสุดอยู่
รูปที่ ๒
แผนผังการต่อปลั๊กพ่วงหลายตัวอนุกรมกัน
การต่อตามรูปที่
๒ นี้มัน "คล้าย"
กับแถวบนในรูปที่ ๑
เพียงแต่ว่าการต่อระหว่างเต้ารับนั้นใช้การเสียบเต้าเสียบ
(ก็คือปลั๊กตัวผู้นั่นแหละ)
เข้ากับเต้ารับ
(ซึ่งก็คือปลั๊กตัวเมียนั่นแหละ)
แทนที่จะเป็นการต่อสายไฟจากจุดต่อที่อยู่ทางด้านหลังของเต้ารับ
ในกรณีตามรูปที่ ๒ นี้
สมมุติว่าปลั๊กพ่วง ๒ และ
๓ แต่ละมีอุปกรณ์ดึงกระแสไฟรวมกันตัวละ
5 A
ดังนั้นสายไฟช่วง (3)
ก็จะมีกระแสไฟไหลผ่าน
5 A
ในขณะที่สายไฟช่วง (1)
(2) และ (4)
จะมีกระแสไฟไหลผ่าน
(10 A)
และถ้ามีการเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินกระแสไฟฟ้า
5 A เข้ากับปลั๊กพ่วง
๑ สิ่งที่เกิดนั้นไม่ใช่ว่าสาย
(1) และ
(4) จะมีกระแสไหลผ่าน
15 A
ซึ่งจะทำให้ร้อนจัดจนไหม้
แต่ตัว CB3
ต่างหากที่ควรทำงานโดยตัดการจ่ายกระแสไฟไปยังเต้ารับ
๗
ที่บอกว่าการต่อตามรูปที่
๒ นี้มันเพียงแค่ "คล้าย"
กับแถวบนในรูปที่ ๑
นั่นก็เพราะการต่อตามรูปที่
๑ นั้นมักจะใช้สายไฟที่เป็นลวด
"ทองแดง"
แข็ง (ไม่ใช่แบบเส้นเล็ก
ๆ มาตีเกลียว)
และการสัมผัสระหว่างสายไฟกับขั้วต่อนั้นจะแนบแน่นดี
(ถ้าต่อถูกวิธี)
และเมื่อมันแนบสนิทดีแล้วมันก็จะเป็นอย่างนั้นไปเรื่อย
ๆ ตราบที่ไม่มีใครไปยุ่ง
แต่การเอาเต้าเสียบไปเสียบเข้าไปในรูปของเต้ารับ
การนำไฟฟ้าเกิดผ่าน
"พื้นที่สัมผัส"
ระหว่างขาของเต้าเสียบและขั้วโลหะของเต้ารับ
ซึ่งตรงนี้มันมีเรื่องของวัสดุที่ใช้ทำขาเต้าเสียบและขั้วโลหะเต้ารับ
ขนาดของพื้นที่สัมผัส
และรูปร่างของขาของเต้าเสียบเข้ามาเกี่ยวข้อง
วัสดุที่ใช้ทำขาเต้าเสียบและขั้วโลหะเต้ารับนั้นทำจาก
"ทองเหลือง"
หรือโลหะอื่นที่มีความต้านทานไฟฟ้าสูงกว่าทองแดง
และในกรณีของเต้าเสียบที่เป็นชนิดขาแบนด้วย
พื้นที่ผิวสัมผัสนั้นจะต่ำกว่าชนิดขากลม
และในกรณีของเต้ารับที่มีการใช้เสียบใช้งานและถอดออกไปเรื่อย
ๆ ตัวขั้วโลหะก็จะเกิดการหลวม
สิ่งเหล่านี้ทำให้ความต้านทานไฟฟ้าตรงบริเวณจุดต่อระหว่างเต้าเสียบกับเต้ารับนี้สูงมากขึ้น
และถ้ามันมากพอ
ความร้อนที่เกิดขึ้นก็สามารถทำให้ปลั๊กตรงจุดนี้ไหม้ได้โดยที่สายไฟนั้นยังไม่ไหม้
ปัญหาเรื่องการไหม้ที่ตัวเต้ารับเนื่องจากการสัมผัสกันไม่ดีนั้น
ไม่จำเป็นต้องมีปลั๊กพ่วงเข้ามาเกี่ยวข้อง
เวลาผมคุมนิสิตทำแลปเคมี
เมื่อใดก็ตามที่มีการใช้
hot plate
หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าใด
ๆ ก็ตาม
จะต้องเดินตรวจและย้ำนิสิตอยู่เสมอว่าเวลาเสียบปลั๊กต้องเสียบให้แน่นสนิท
ไม่ใช่ยังเห็นขาโลหะโผล่อยู่
เพราะถ้าเสียบไม่แน่นสนิท
ความร้อนที่เกิดตรงจุดนี้สามารถทำให้ตัวเต้ารับนั้นไหม้ได้ง่าย
ๆ เช่นกัน เรื่องนี้เคยเขียนเอาไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
พ.ศ.
๒๕๕๑ ในเรื่อง
"นานาสาระเรื่องไฟฟ้ากำลัง : วางเพลิงแลปไม่ใช่เรื่องยาก"
เรื่องความต้านทานที่จุดสัมผัสนี้ผมทำการทดลองเล่น
ๆ เองที่บ้านด้วยการใช้อุปกรณ์ตามรูปที่
๓ ข้างล่าง โดยเริ่มจากวัดความต้านทานจากขาเต้าเสียบ
1 กับรูที่เต้ารับ
2 ก่อน
วัดได้ 0.6
โอห์ม
จากนั้นก็เสียบเต้าเสียบลงในรางปลั๊กตัวซ้ายและวัดความต้านทานระหว่างจุด
3 กับจุด
2
พบว่าทำได้ต่ำสุดคือ
1.2 โอห์ม
(คือถ้าเสียบปลั๊กไม่ดีค่ามันก็จะสูงกว่านี้)
นั่นแสดงว่าความต้านทานที่จุดสัมผัสในกรณีนี้นั้นอยู่ที่ประมาณ
0.6 โอห์ม
ซึ่งถ้ามีกระแสไหลผ่านเต็มที่
(10 A)
ความร้อนที่เกิดขึ้นตรงนี้ก็จะมีค่าประมาณ
60 Watt
รูปที่ ๓
ชุดการทดลองวัดความต้านทานที่จุดสัมผัส
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การต่อปลั๊กพ่วงหลายตัวต่อกันตามรูปที่
๒
นั้นก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ก็เป็นเพราะใช้ปลั๊กพ่วงที่รับกระแสได้ต่ำกว่ากระแสที่
CB3 จะตัด
มาใช้เป็นปลั๊กพ่วง ๑
และปลั๊กพ่วงตัวนั้นไม่มีระบบฟิวส์หรือ
CB ป้องกัน
กล่าวคือสมมุติว่าสายไฟของปลั๊กพ่วง
๑ นั้นรับกระแสได้เพียง 5
A ในขณะที่ปลั๊กพ่วง ๒
และ ๓ นั้นรับกระแสไฟได้ 10
A ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีการดึงไฟออกจากปลั๊กพ่วง
๒ และ ๓ รวมกัน 10
A สายไฟช่วง (2)
จะไม่มีปัญหา
เพราะมันทนได้อยู่แล้ว
แต่สายไฟช่วง (1)
จะไหม้ เพราะมันทนไม่ได้
และ CB3
ก็จะไม่ทำงานด้วย
เพราะกระแสไฟฟ้าไม่เกิน
10A แต่ถ้าปลั๊กพ่วง
๑ นั้นมีฟิวส์หรือ CB
ป้องกัน
สิ่งที่เราควรจะเห็นก็คือฟิวส์ที่ปลั๊กพ่วง
๑ จะขาดหรือ CB
ทำงาน
นั่นแสดงว่ามีปัญหาเรื่องการดึงกระแสมากเกินไป
เรื่องแบบนี้มีโอกาสเกิดในกรณีที่มีการใช้ปลั๊กพ่วงหลากหลายชนิดโดยที่ไม่รู้ขีดจำกัดของปลั๊กพ่วงแต่ละตัว
ปลั๊กพ่วงอีกแบบที่ทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่ายแม้ว่าจะใช้งานที่กระแสต่ำกว่าที่ผู้ผลิตระบุได้ก็คือพวกที่ม้วนเก็บได้แบบในรูปที่
๔ ข้างล่าง
ปลั๊กพ่วงแบบนี้แต่ก่อนจะเห็นขายกันเกลื่อนแต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว
ความยาวสายไฟมีให้เลือก
(ถ้าจำไม่ผิดนะ)
ขนาด 3,
5 และ 10
เมตร
ที่นี้ราคาขายมันไม่ได้แปรผันตามความยาวสายไฟ
คือไม่ใช่ชนิดสายไฟยาว 10
เมตรจะมีราคา 3
เท่าของชนิดสายไฟยาว
3 เมตรหรือ
2
เท่าของชนิดสายไฟยาว
5 เมตร
แต่มันแพงกว่ากันนิดหน่อย
ดังนั้นเมื่อผู้ซื้อมาเห็นเข้าก็จะเห็นว่าเพิ่มตังค์อีกนิดก็ได้สายไฟเพิ่มขึ้นเท่าตัว
ก็เลยมีการซื้อชนิดสายไฟที่ยาว
ๆ เอาไว้ก่อน
รูปที่ ๔
ปลั๊กพ่วงแบบนี้
เวลาใช้งานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินกระแสสูง
"จำเป็น"
ที่ต้องดึงสายไฟออกจากม้วนให้หมด
เพื่อป้องกันไม่ให้สายไฟร้อนจัดจนฉนวนหลอมไหม้ได้
สายไฟที่ใช้กับปลั๊กแบบในรูปที่
๔ นี้มันเป็นสายอ่อน
(แบบสายไฟพัดลม
ตู้เย็น ทีวี)
ที่เหมาะสำหรับการเดินเปลือย
แต่เวลามันถูกม้วนเก็บอยู่นั้นมันจะพันทับตัวมันเอง
อันที่จริงผู้ผลิตก็มักจะระบุเอาไว้ที่ตัวปลั๊กแล้วว่าเวลาที่ใช้กับเครื่องไฟฟ้าที่กินกระแสไฟสูง
ให้คลี่สายไฟออกจากม้วนให้หมด
ซึ่งถ้าทำตามที่เขาบอกมันก็จะไม่มีปัญหาอะไร
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบางทีใช้ชนิดสายยาว
5 เมตรหรือ
10
เมตรโดยคลี่สายออกมาเพียงแต่เมตรเดียวหรือสั้นกว่านั้น
พอใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินกระแสไฟสูง
(แม้ว่าจะต่ำกว่าที่ตัวปลั๊กไฟระบุไว้ก็ตาม)
สายไฟที่ยังคงม้วนอยู่ข้างในจะไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้
เพราะมันถูกตัวมันเองที่ระบายความร้อนออกมาเช่นกันนั้นพันทับอยู่
ทำให้ฉนวนสายไฟหลอม
เกิดไฟฟ้าลัดวงจรและตามด้วยการเกิดไฟไหม้
เมื่อ
๒๐ กว่าปีที่แล้ว
ระหว่างเดินตรวจแลปวิจัย
พบนิสิตรายหนึ่งใช้ปลั๊กพ่วงแบบนี้ในการต่อ
hot plate
โดยไม่มีการคลี่สายออกให้หมด
ก็เลยรีบจัดการถอดปลั๊กทันที
พอทดลองดึงสายไฟออกจากม้วนก็ไม่สามารถดึงได้
เพราะฉนวนสายไฟเริ่มหลอมติดกันแล้ว
เรียกว่าถ้าไม่มีใครไปเห็นหรือไปเห็นช้ากว่านี้
ก็คงเกิดเรื่องแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น