เมื่อกว่า
๓๐ ปีที่แล้ว
ก่อนที่จะมีการตัดถนนบรมราชชนนีและถนนสิรินธร
(ตอนสร้างใหม่
ๆ ยังไม่มีชื่อ
ก็เรียกกันว่าถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี
หรือซังฮี้-นครชัยศรี)
และส่วนของถนนกาญจนาภิเษกส่วนของวงแหวนตะวันตกที่แยกจากถนนบรมราชชนนีไปบางบัวทองต่อไปยังสุพรรณบุรีนั้น
(สาย
340)
ใครจะเดินทางไปสุพรรณบุรีถ้าไปทางรถทัวร์ก็ต้องไปขึ้นรถที่ขนส่งสายใต้
(เดิมอยู่แถวสามแยกแยกไฟฉาย)
เพื่อนั่งรถไปตามถนนเพชรเกษม
ผ่านสามพราน เข้านครปฐม
เข้าแยกมาลัยแมน (สาย
321)
วิ่งมุ่งหน้าต่อไปทางกำแพงแสน
อู่ทอง และไปยังสุพรรณบุรี
หรือไม่ก็ไปขึ้นรถที่ขนส่งหมอชิต
(หมอชิตเก่า)
นั่งรถไปทางอยุธยา
มุ่งหน้าไปป่าโมก
เลี้ยวซ้ายมุ่งตะวันตกไปทางผักไห่
(สาย
329)
และต่อไปยังสุพรรณบุรี
แต่ถ้าเป็นยุคสมัยที่เก่ากว่านั้นอีก
ก็ต้องไปขึ้นเรือที่ท่าเตียน
(หรือปากคลองตลาด)
นั่งเรือไปทางคลองบางกอกน้อย
เข้าคลองมหาสวัสดิ์
ไปออกแม่น้ำท่าจีน
แล้วค่อยล่องต่อไปยังสุพรรณบุรี
จำได้ว่าแต่ก่อนเวลานั่งเรือด่วนเจ้าพระยาผ่านตรงปากคลองตลาด
จะมีป้ายบอกว่าท่าเรือไปสุพรรณบุรี
แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าจะยังเหลืออยู่หรือเปล่า
รูปที่
๑ แผนที่เส้นทางการเดินทางจากกรุงเทพไปยังสุพรรณบุรีในปีพ.ศ.
๒๕๐๘
เส้นทางรถยนต์ต้องมาจากนครปฐม
เส้นจากบางปะหันอยุธยายังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ส่วนเส้นทางรถไฟปรากฏแล้ว
อีกเส้นทางหนึ่งคือทางรถไฟซึ่งแยกออกจากทางรถไฟสายใต้ที่สถานนีชุมทางหนองปลาดุก
รถไฟที่มาจากนครปฐมเมื่อวิ่งมาถึงสถานนีนี้จะมีทางแยก
๓ ทาง คือแยกขวาขึ้นเหนือเพื่อไปสุพรรณบุรี
แยกเฉียงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อไปกาญจนบุรี
และแยกซ้ายลงไปทางใต้เพื่อไปภาคใต้
ในเว็บhttp://th.wikipedia.org/wiki/ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี
ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่าทางรถไฟสายดังกล่าวเปิดในปีพ.ศ.
๒๕๐๖
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางชุมทางหนองปลาดุก-ชุมทางบ้านภาชี
(เชื่อมสายใต้กับสายเหนือเข้าด้วยกันโดยไม่ผ่านกรุงเทพ)
แต่สร้างได้เพียงสถานีมาลัยแมนก็หยุดการก่อสร้าง
ถ้านับถึงปัจจุบันปีหน้าเส้นทางสายนี้ก็จะมีอายุครบ
๕๐ ปีแล้ว แผนที่จังหวัดสุพรรณบุรีที่ตีพิมพ์ในปีพ.ศ.
๒๕๐๘
(รูปที่
๑)
ก็ปรากฏเส้นทางรถไฟสายนี้แล้ว
เส้นทางนี้ปัจจุบันก็ยังคงมีรถไฟวิ่งอยู่วันละขบวน
คือตอนเช้ามืดออกจากสุพรรณเข้ากรุงเทพ
และตอนประมาณเที่ยงก็ออกจากกรุงเทพกลับสุพรรณ
รูปที่
๒ แผนผังบริเวณประแจที่ใช้ในการเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ
(ภาษาอังกฤษจากภาพที่คัดลอกมาเขาเรียกว่า
switch
and turnout - รูปจาก
http://www.ntsb.gov/investigations/fulltext/RAB0305.html)
ที่ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะเมื่อเดือนที่แล้วได้มีโอกาสแวะไปที่สุพรรณบุรี
(จะว่าไปสมาชิกปี
๑ ของเราก็มีสาวเมืองสุพรรณอยู่ด้วย)
และได้มีโอกาสไปเดินถ่ายรูปเล่นเก็บบรรยากาศที่สถานีรถไฟสุพรรณบุรีและที่มาลัยแมน
ก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปบริเวณประแจที่ใช้สับเปลี่ยนรางรถไฟมาให้ดูกันว่ามันทำงานได้อย่างไร
บริเวณที่ใช้สับเปลี่ยนให้รถไฟวิ่งไปทางรางไหนนั้นภาษาไทยเรียก
"ประแจ"
ส่วนภาษาอังกฤษเรียก
"switch"
(บางทีก็เรียกว่า
"point"
แต่ผมเข้าใจว่ามันเป็นสองส่วนที่อยู่ด้วยกันดังแสดงในรูปที่
๒ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า)
รูปที่
๓
ประแจสับรางที่อยู่ทางด้านเหนือของสถานีรถไฟสุพรรณบุรีมองไปยังสถานีมาลัยแมน
โครงสร้างของบริเวณประแจสับรางนั้นมีอะไรบ้างก็ลองดูเอาในรูปที่
๒ ที่เป็นรูปเขียนและรูปที่
๓ ที่เป็นรูปถ่ายที่ผมไปถ่ายมาที่สถานีสุพรรณบุรี
ในรูปที่
๓ ซ้ายจะเห็นตัวประแจ
(ที่เลื่อนไปมาซ้าย-ขวาได้ตามลูกศรสีแดง)
เลื่อนมาติดกับรางทางด้านซ้าย
ดังนั้นรถไฟที่วิ่งขึ้นไปก็จะเลี้ยวไปทางด้านขวา
(ตามเส้นลูกศรสีเหลือง)
ส่วนรูปที่
๓ ขวาเป็นคานที่ใช้ในการโยกเพื่อสับรางรถไฟของรางในรูปซ้าย
ตามรูปขวานี้คานดังกล่าวถูกโยกมาทางซ้าย
ทำให้ประแจเลื่อนมาติดรางทางด้านซ้ายเพื่อให้รถไฟวิ่งไปทางขวา
(มันมีแท่งเหล็กเชื่อมต่อระหว่างตัวคานโยกกับตัวประแจตรงแนวเส้นสีม่วง
-
ตำแหน่งในรูปซ้ายและขวามันเหลื่อมกันอยู่)
เสาที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมคือตัวบอกว่าขณะนี้รางถูกสับเพื่อให้รถไฟวิ่งไปทางขวา
(ตามลูกศรที่ปรากฏ)
แต่ถ้าโยกคานดังกล่าวมาทางด้านขวา
ตัวประแจก็จะเลื่อนมาชิดทางด้านขวา
รถไฟก็จะวิ่งตรงไป
สัญญาณที่ปรากฏบนเสาก็จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ระบบที่แสดงในรูปที่
๓ นั้นเวลาจะสับรางที
เจ้าพนักงานประจำสถานีต้องเดินไปที่ประแจนั้น
และทำการสับรางที่นั่น
แต่สำหรับสถานีใหญ่ ๆ
ที่มีประแจให้สับจำนวนมากจะใช้วิธีการสับรางที่ตัวสถานี
โดยมีคันโยกอยู่ที่ตัวอาคารที่ทำการ
ระบบเดิมที่เคยเห็นคือระบบลวดสลิง
โดยการดึงคันโยกจะไปดึงให้ตัวประแจเกิดการเคลื่อนที่ผ่านทางลวดสลิงที่เชื่อมต่ออยู่
(ตอนเด็ก
ๆ
สมัยที่ยังใช้สถานีรถไฟเป็นสนามวิ่งเล่นก็เคยไปเดินเล่นบนเส้นลวดเหล่านี้)
โดยที่เจ้าพนักงานไม่ต้องเดินไปสับรางที่ประแจ
จะมียกเว้นก็แต่ประแจที่ไม่ค่อยได้มีการใช้งาน
ก็จะใช้วิธีการเดินไปสับรางที่ตัวประแจ
ถ้าทันสมัยขึ้นมาอีกดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นระบบไฟฟ้าสั่งการแล้ว
รูปที่
๔ ปลายทางที่สถานีรถไฟมาลัยแมน
ปิดท้าย
Memoir
ฉบับนี้ด้วยภาพที่ระลึกจากสถานีปลายทางรถไฟสายสุพรรณที่มาลัยแมน
(สถานีถัดจากสถานีสุพรรณบุรี)
ดูเหมือนว่าตัวชานชาลาและอาคารเพิงพักจะสร้างใหม่ได้ไม่นาน
แต่รู้สึกว่าตัวสถานีเองจะไม่มีการใช้งาน
มีแต่หญ้าขึ้นรกและขยะทิ้งเกลื่อนไปหมด
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะอยู่ไปได้อีกนานเท่าไรก่อนที่จะสูญหายไป