ความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งนั้นมีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบ
รูปแบบแรกคือความเป็นกรดแบบ
Brönsted
ที่เกิดจากหมู่ไฮดรอกซิล
(hydroxyl
-OH) รูปแบบที่สองคือความเป็นกรดแบบ
Lewis
ที่เกิดจากไอออนบวกของโลหะ
(Mn+)
ในกรณีที่ของแข็งนั้นเป็นสารประกอบไอออนิก
(ionic
compounds)
สารประกอบไอออนิกที่มีความเป็นกรดและมีการนำมาใช้กันมากที่สุดในอุตสาหกรรมเคมีเห็นจะได้แก่สารประกอบโลหะออกไซด์
โดยเฉพาะออกไซด์ของโลหะทรานซิชัน
ในกรณีของความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งนี้
ความแรง (acid
strength) ของตำแหน่งที่เป็นกรดแบบ
Brönsted
ขึ้นอยู่กับว่าอะตอม
O
ของหมู่
-OH
นั้นเกาะกับไอออนที่สามารถดึงประจุลบที่เกิดขึ้นเมื่อหมู่
-OH
นั้นจ่าย
H+
ออกไปได้มากน้อยเท่าใด
ถ้าดึงเข้ามาได้มากก็จะทำให้ความเป็นกรดของหมู่
-OH
มีความแรงมากขึ้น
ในทำนองเดียวกันความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดแบบ
Lewis
ก็ขึ้นอยู่กับว่าไอออนบวกของโลหะ
(ปรกติก็จะเป็นโลหะทรานซิชัน)
สามารถดึงคู่อิเล็กตรอนหรือโปรตอนจากโมเลกุลอื่นได้แรงเท่าใด
ถ้าเป็นไอออนบวกที่มีความหนาแน่นประจุสูง
(คือพวกที่มีประจุบวกมากและมีขนาดไอออนเล็ก)
ก็จะมีความเป็นกรดที่แรงมากขึ้น
และถ้าไอออนลบที่อยู่ร่วมกันนั้นสามารถดึงอิเล็กตรอนเข้าหาตัวมันเองได้มากขึ้น
ก็จะทำให้ไอออนบวกนั้นมีความเป็นกรดที่แรงขึ้น
(เช่น
AlCl3
มีความเป็นกรดที่แรงกว่า
AlBr3
เพราะ
Cl
มีค่า
electronegativity
สูงกว่า
Br
และ
AlCl3
มีความเป็นกรดที่แรงกว่า
FeCl3
เพราะ
Al3+
มีขนาดไอออนที่เล็กกว่า
Fe3+
ทำให้
Al3+
มีความหนาแน่นประจุสูงกว่า)
ในหลายปฏิกิริยานั้น
ปฏิกิริยาจะเกิดได้หรือไม่
หรือเส้นทางการเกิดปฏิกิริยา
(ซึ่งสามารถส่งผลต่อผลิตภัณฑ์ที่ได้)
ขึ้นอยู่กับความแรงและชนิดของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวของแข็ง
ทำให้มีการพัฒนาวิธีการที่จะวัดความแรงและจำแนกชนิดของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิว
และวิธีการหนึ่งที่ใช้กันมากในยุคปัจจุบันเห็นจะได้แก่การให้พื้นผิวดูดซับโมเลกุลโพรบ
(probe
molecule) ที่เป็นเบสเอาไว้
แล้วใช้เทคนิคทางด้าน
temperature
programmed หรือ
spectroscopy
ศึกษาพฤติกรรมของโมเลกุลเบสที่พื้นผิวดูดซับเอาไว้ได้
โดยเทคนิคทางด้าน temperature
programmed
ที่ใช้กันทั่วไปก็คือการให้ของแข็งดูดซับโมเลกุลเบสเอาไว้ที่อุณหภูมิต่ำ
จากนั้นจึงค่อย ๆ
เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นและวัดปริมาณเบสที่หลุดออกมา
ส่วนเทคนิคทางด้าน spectroscopy
ก็อาศัยการวัดรูปแบบการสั่นที่เปลี่ยนไปของโมเลกุลเบสเมื่อถูกพื้นผิวของแข็งจับเอาไว้
รูปที่
๑ การดูดซับแอมโมเนีย
(Ammonia
NH3) และไพริดีน
(Pyridine
C6H5N) บนตำแหน่งที่เป็นกรด
Brönsted
(Protonated form) และ
Lewis
(Coordinatively bound) บนพื้นผิวของแข็ง
การดูดซับนั้นไม่ว่าจะเป็นเทคนิค
temperature
programmed หรือ
spectroscopy
จะใช้โมเลกุลเบสในสถานะแก๊ส
โดยหลักการแล้วโมเลกุลเบสที่นำมาใช้นั้นต้องมีเสถียรภาพที่สูงพอและเฉื่อยต่อการเกิดปฏิกิริยากับพื้นผิว
(คือทนต่ออุณหภูมิสูงที่ใช้ในการไล่เบสออกจากพื้นผิวได้โดยไม่สลายตัวและไม่เกิดปฏิกิริยา)
ในกรณีของของแข็งที่มีรูพรุนขนาดเล็ก
อาจมีเรื่องของขนาดโมเลกุลเบสที่จะใช้เข้ามาเกี่ยวข้องอีก
เช่นถ้าต้องการวัดตำแหน่งกรดที่อยู่ในรูพรุนหรือตำแหน่งกรดทั้งหมดก็ต้องใช้เบสที่มีขนาดโมเลกุลเล็กพอที่จะแพร่เข้าไปในรูพรุนได้
แต่ถ้าต้องการวัดตำแหน่งกรดที่อยู่นอกรูพรุนก็ต้องใช้โมเลกุลเบสที่ใหญ่พอที่จะไม่สามารถแพร่เข้าไปในรูพรุนได้
แต่โดยทั่วไปนั้นเนื่องจากพื้นที่ผิวส่วนใหญ่ของของแข็งนั้นเป็นพื้นที่ผิวในรูพรุน
ดังนั้นตำแหน่งที่มีความเป็นกรดเกือบทั้งหมดจึงมักจะอยู่ในรูพรุน
การวัดปริมาณและความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวส่วนใหญ่จึงมักจะใช้โมกุลที่มีขนาดเล็กพอที่จะแพร่เข้าไปในรูพรุนได้
ปัจจัยที่สองที่เกี่ยวข้องกับการเลือกโมเลกุลเบสที่จะนำมาใช้คือความแรงของโมเลกุลเบสนั้น
โมเลกุลเบสที่แรงจะสามารถจับกับตำแหน่งกรดที่มีความแรงน้อย
(weak
acid) ได้
ดังนั้นการเปรียบเทียบปริมาณตำแหน่งที่เป็นกรดที่วัดได้นั้น
ถ้ามาจากการวัดที่ใช้เบสต่างชนิดกันก็ควรต้องคำนึงถึงปัจจัยนี้เอาไว้ด้วย
เพราะผลการวัดปริมาณตำแหน่งกรดทั้งหมดที่ได้จากการใช้เบสที่อ่อนว่ามีสิทธิ์ที่จะได้ค่าปริมาณตำแหน่งที่เป็นกรดนั้นออกมาต่ำกว่า
(ถ้าหากว่าพื้นผิวของแข็งนั้นมีตำแหน่งที่เป็นกรดที่มีความแรงน้อยอยู่มาก)
สิ่งหนึ่งที่ควรพึงคำนึงถึงในการใช้เทคนิค
temperature
programmed ในการวัด
"ปริมาณทั้งหมด"
ของตำแหน่งที่เป็นกรดด้วยการวัดปริมาณเบสที่พื้นผิวของแข็ง
"คายซับ"
ออกมานั้นก็คือ
เราไม่รู้ว่าด้วยอุณหภูมิสูงสุดที่เราใช้ในการทำลองนั้น
มันสูงมากพอที่จะทำให้ของแข็งนั้นคายเบสออกมาหมดหรือยัง
และยิ่งเป็นการวัดที่ใช้
thermal
conductivity detector (TCD) ในการวัดด้วยแล้ว
มีโอกาสที่จะผิดพลาดสูงจากการแปลเส้น
base
line ของสัญญาณนั้นว่าเป็นพีคของเบสที่ของแข็งคายซับออกมา
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าถ้าต้องการวัด
"ปริมาณทั้งหมด"
ของตำแหน่งที่เป็นกรด
การวัดจากความสามารถของของแข็งนั้นในการ
"ดูดซับ"
จะให้ผลที่แน่นอนกว่า
ในการวัดด้วยเทคนิค
temperature
programmed นั้นจะให้ของแข็งที่เป็นตัวอย่างที่ต้องการวัดนั้น
ดูดซับโมเลกุลเบสเอาไว้ที่อุณหภูมิต่ำก่อน
(เช่นที่อุณหภูมิห้อง)
จากนั้นจึงค่อย
ๆ
เพิ่มอุณหภูมิตัวอย่างให้สูงขึ้นและวัดปริมาณเบสที่ของแข็งคายซับออกมา
ตำแหน่งกรดที่มีความแรงสูง
(strong
acid site)
จะคายเบสออกที่อุณหภูมิที่สูงกว่าตำแหน่งกรดที่มีความแรงที่ต่ำกว่า
ดังนั้นถ้าจะใช้วิธีนี้ในการเปรียบเทียบความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรด
จึงควรต้องเปรียบเทียบด้วยการใช้เบสชนิดเดียวกันในการดูดซับ
และควรทำการวัดด้วยอัตราการเพิ่มอุณหภูมิเดียวกัน
โมเลกุลเบสที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการวัดเห็นจะได้แก่แอมโมเนีย
(ammonia
NH3) และไพริดีน
(pyridine
C6H5N)
ในสภาพที่เป็นของเหลวนั้นแอมโมเนียเป็นเบสที่แรงกว่าไพริดีน
แต่ในสภาพที่เป็นแก๊สนั้นไพริดีนเป็นเบสที่แรงกว่าแอมโมเนีย
ข้อดีของแอมโมเนียก็คือการที่มันเป็นแก๊สที่อุณหภูมิห้อง
ทำให้ง่ายต่อการใช้งานในรูปแก๊ส
และด้วยการที่โมเลกุลมีขนาดเล็ก
จึงทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถแพร่เข้าไปในรูขนาดเล็กพวก
micropore
(รูที่มีขนาดเล็กกว่า
2
nm) ได้ง่าย
ด้วยเหตุนี้ในกรณีที่ต้องการวัดเพียงแค่ปริมาณและความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดโดยใช้เทคนิค
temperature
programmed นั้น
จึงนิยมใช้ NH3
เป็น
adsorbed
probe molecule เป็นหลัก
การระบุว่ากรดบนพื้นผิวนั้นเป็นกรดชนิด
Brönsted
หรือ
Lewis
จะอาศัยการดูรูปแบบการสั่นที่เปลี่ยนแปลงไปของโมเลกุลที่ถูกดูดซับบนตำแหน่งกรดต่างชนิดกัน
ดังเช่นรูปที่ ๑
ที่แสดงรูปแบบการเกาะของแอมโนเมียและไพริดีนบนตำแหน่งที่เป็นกรดแบบ
Brönsted
(รูปแบบ
protonated
form) และตำแหน่งที่เป็นกรดแบบ
Lewis
(รูปแบบ
coordinatively
bound)
รูปแบบการสั่นที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ดูได้จากการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดที่เลขคลื่นที่แตกต่างกัน
(เลขคลื่นหรือ
wave
number มีหน่วยเป็น
cm-1
หมายถึงจำนวนลูกคลื่นในระยะทาง
1
centimetre)
ในกรณีของแอมโมเนียนั้น
รูปแบบ protonated
form จะให้การดูดกลืนที่ตำแหน่งเลขคลื่น
1450
และ
3300
cm-1 ในขณะที่รูปแบบ
coordinatively
bound จะให้การดูดกลืนที่ตำแหน่งเลขคลื่น
1250,
1630 และ
3300
cm-1 แต่ตำแหน่งหลักที่มักใช้ในการระบุ
(ซึ่งควรต้องเป็นตำแหน่งที่เห็นพีคได้ชัดและไม่ควรมีพีคอื่นเคียงข้างรบกวน)
แอมโมเนียบนตำแหน่งกรด
Brönsted
คือ
1450
cm-1 และบนตำแหน่ง
Lewis
คือ
1630
cm-1 ซึ่งเกิดจาก
deformation
vibration
แต่ถึงกระนั้นก็ตามบริเวณดังกล่าวก็มีปัญหาเรื่องการซ้อนทับของพีคอื่น
(อันเป็นจากการบิดเบี้ยวของโมเลกุล
NH3
เอง)
ทำให้ยากในการแปลผล
นอกจากนี้ยังมีการพบว่าในกรณีที่อุณหภูมินั้นสูงเกินกว่า
500
K (227ºC) โมเลกุล
NH3
สามารถเกิดการดูดซับแบบแตกตัวกลายเป็นสปีชีย์
-NH2
หรือ
NH
บนตำแหน่งกรด
Lewis
หรือเข้าไปแทนที่หมู่
-OH
ด้วยหมู่
-NH2
ได้
และในกรณีของสารประกอบโลหะออกไซด์บางชนิดเช่น
TiO2,
MoO3 และ
WO3
ยังอาจทำให้กลายเป็นสารประกอบ
nitride
ได้อีก
และในกรณีที่กำจัดโมเลกุลน้ำออกจากตัวอย่างไม่หมดก็อาจทำให้เห็น
ammonium
ion (NH4+) เพิ่มขึ้นได้
สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ไม่นิยมใช้แอมโมเนียในงานแยกแยะประเภทของตำแหน่งที่เป็นกรดว่าเป็นชนิด
Brönsted
หรือ
Lewis
แม้ว่าไพริดีนจะมีจุดเดือดสูงกว่าแอมโมเนีย
และการทำให้ไพริดีนเป็นแก๊สเพื่อไปดูดซับบนพื้นผิวของแข็งได้ง่ายนั้นจำเป็นต้องมีการใช้สุญญากาศช่วย
แต่การที่พีคการยึดเกาะของไพริดีนบนตำแหน่งกรด
Brönsted
(คือพีคที่
1540
cm-1) และบนตำแหน่ง
Lewis
(คือพีคที่
1460
cm-1) เด่นชัดกว่า
นอกจากนี้ยังพบว่าตำแหน่งเลขคลื่นของไพริดีนบนตำแหน่งกรด
Brönsted
ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามความแรงของกรด
แต่ตำแหน่งเลขคลื่นบนตำแหน่ง
Lewis
สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามความแรงของกรดได้
รูปที่
๒ และ ๓ เป็นรูปแสดงพีคไพริดีนที่ดูดซับบนตำแหน่งกรด
Brönsted
และกรด
Lewis
โดยก่อนทำการดูดซับนั้นจะให้ความร้อนแก่ตัวอย่าง
(ที่เป็นแผ่นบาง)
ในสุญญากาศก่อนเพื่อทำการไล่น้ำและโมเลกุลแก๊สอื่นออกจากรูพรุน
หลังจากนั้นจึงทำการลดอุณหภูมิตัวอย่างลงเหลืออุณหภูมิห้องและป้อนไอไพริดีนเข้าไปให้ตัวอย่างดูดซับ
(ใช้สุญญากาศช่วยเพื่อให้ไพริดีนระเหยกลายเป็นไอได้ที่อุณหภูมิห้อง)
เมื่อตัวอย่างดูดซับไพริดีนจนอิ่มตัวก็หยุดการป้อนไอไพริดีนและใช้สุญญากาศดูดเอาไอไพริดีนที่ไม่ถูกของแข็งดูดซับเอาไว้ออกจากระบบ
จากนั้นจึงค่อย ๆ
เพิ่มอุณหภูมิตัวอย่างเป็นขั้น
ๆ และวัดการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดของตัวอย่าง
(ใช้โหมดการส่องผ่านตัวอย่าง)
ที่อุณหภูมิต่าง
ๆ กัน สองรูปนี้นำมาจากรูปที่
๕.๑๕
และ ๕.๑๗
ในวิทยานิพนธ์ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต
วิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปีการศึกษา ๒๕๔๑ เรื่อง
"ผลของความเป็นกรด-เบสที่มีต่อตัวเร่งปฏิกิริยา
V2O5/TiO2
ที่ใช้ในปฏิกิริยาการเลือกรีดิวซ์ไนตริกออกไซด์ด้วยแอมโมเนีย"
ของนางสาวภาวิณี
สินทรโก
รูปที่
๒ IR
spectra
ของไพริดีนที่ดูดซับบนตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
V2O5/TiO2
รูปที่
๓ IR
spectra
ของไพริดีนที่ดูดซับบนตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
V2O5/TiO2
หลังการดูดซับแก๊ส
SO2
๒.
ปัญหาเรื่อง
base
line จากการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค
temperature
programmed และใช้ตัวตรวจวัดชนิด
TCD
หรือ
thermal
conductivity detector เคยนำตัวอย่างมาแสดงไว้ใน
Memoir
ปีที่
๙ ฉบับที่ ๑๒๕๖ วันศุกร์ที่
๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ เรื่อง "NH3-TPD การลาก base line (๒)"
หมายเหตุ
๑.
สำหรับผู้ที่ต้องการพื้นฐานเพิ่มเติมเรื่องการใช้เทคนิค
absorbed
probe molecule ในการศึกษาความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งนั้น
ขอแนะนำให้อ่านบทความเรื่อง
"Infrared
studies of the surface acidiy of oxides and zeolites using adsorbed
probe molecules" โดย
Johannes
A. Lercher, Christian Gründling
และ
Gabriele
Eder-Mirth ในวารสาร
Catalysis
Today vol. 27 ปีค.ศ.
1966 หน้า
353-376
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น