คนโบราณกล่าวว่า
"สิบปากว่า
ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น
ไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำ
ไม่เท่าทำเอง"
ถ้าใช้อัตราส่วนตามนี้เราก็พอจะสรุปได้ว่า
"ฟังพันครั้ง
ไม่เท่ากับลงมือทำครั้งเดียว"
ตอนที่สอนวิชาเคมีอินทรีย์
ผมยกตัวอย่างคำกล่าวของผู้ใหญ่ที่ว่า
"ทอดไข่เจียวให้อร่อยต้องใช้น้ำมันหมู"
มาตั้งเป็นประเด็นคำถามให้นิสิตพิจารณาว่า
คำกล่าวดังกล่าวมันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์รองรับหรือไม่
หรือเป็นความเชื่อที่บอกต่อกันมา
และวิธีที่จะยืนยันได้ดีที่สุดก็เห็นจะได้แก่
ให้ลองทอดเปรียบเทียบกันระหว่างน้ำมันหมูและน้ำมันพืช
ผมเลยจัดให้นิสิตทำการทดลองโดยให้ทอดไข่เจียวเปรียบเทียบระหว่างน้ำมันหมูกับน้ำมันถั่วเหลือง
ก่อนหน้านั้นผมเคยถามนิสิตว่ารู้หรือเปล่าว่าการทำไข่เจียวทำอย่างไร
นิสิตก็ตอบว่ารู้กันทั้งนั้นครับ
พอถามต่อว่าแล้วทำไข่เจียวเป็นไหม
ก็เริ่มมีคนชักไม่แน่ใจ
ชั่วโมงแลปนั้นนิสิตแต่ละกลุ่มมี
๔ คน ผมก็เลยกำหนดกติกาขึ้นมาว่าให้แบ่งงานกันทำเป็น
๔ ส่วน ห้ามช่วยเหลือกันและห้ามแนะนำกัน
โดยให้คนที่หนึ่งเป็นคนตอกไข่ใส่ชามและใส่เครื่องปรุง
(แจกไขไก่ให้
๔ ฟองและมีน้ำปลาให้)
คนที่สองทำหน้าตีไข่
จากนั้นแบ่งไข่ที่ตีแล้วออกเป็นสองส่วน
ให้อีกสองคนที่เหลือแยกกันทอดคนละกระทะ
ต่างคนต่างเลือกใส่น้ำมันในปริมาณที่ตัวเองคิด
เลือกความร้อนของเตาทอดเอาเอง
และเพื่อให้ตื่นเต้นยิ่งขึ้นก็กำหนดให้มาทดลองทอดทีละกลุ่ม
กลุ่มที่ยังไม่ได้ทอดห้ามมาแอบดูว่ากลุ่มก่อนหน้านั้นทำอย่างไร
การทดลองนี้ไม่ได้บังคับให้ทำ
แต่ถ้าอยากลองทำก็มีข้อแม้ว่าต้องกินไข่ทอดนั้นให้หมด
ทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมรู้ครับ
ว่าการทำไข่เจียวนั้นให้ตอกไข่ใส่ชาม
จากนั้นก็เหยาะน้ำปลาเติมลงไป
เอาส้อมตีให้ไข่กับน้ำปลาเข้ากัน
แล้วเทส่วนผสมลงกระทะที่มีน้ำมันร้อน
ๆ รออยู่
แล้วผลออกมาเป็นอย่างไรหรือครับ
ในแต่ละรุ่นที่ทดลองมา
นิสิตแต่ละรุ่นมีราว ๆ ๘๐
คน
มีคนที่ทอดไข่เจียวแล้วเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นไข่เจียวมีอย่างมากก็แค่ประมาณ
๕ คน
ที่เหลือนั้นจะเรียกว่าเพียงพอแค่สำหรับการกินแก้หิวหรือกินเพื่อประทังชีวิตก็ได้
:)
:) :)
เรื่องง่าย
ๆ ที่ใคร ๆ ก็คิดว่าตัวเองนั้นรู้ว่าต้องทำอย่างไร
แต่พอเอาเข้าจริงแล้วกลับทำไม่ได้
(ไม่ว่าควรจะใส่น้ำปลาเท่าไรดี
ตีไข่แค่ไหนจึงจะเรียกว่าพอ
และน้ำมันร้อนได้ที่หรือยัง)
สิ่งนี้บ่งบอกให้เราทราบถึงอะไรบ้าง
อย่างน้อยสิ่งที่เห็นก็คือ
วิธีการทำที่แต่ละคนบอกว่ารู้นั้น
มันเปิดช่องให้ทำแตกต่างกันได้
นั่นแสดงว่าความรู้ที่คิดว่ารู้ดีแล้วนั้นมันไม่สมบูรณ์
ผมเคยได้รับโอกาสให้ไปช่วยงานการติดตั้งเครื่องจักรให้หน่วยงานการกุศลแห่งหนึ่งที่รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากต่างประเทศ
คำแนะนำหนึ่งที่ผมแนะนำเขาไปก็คือการเตรียมคู่มือการทำงาน
ให้คนที่ไปรับการอบรมมานั้นมาช่วยกันเขียนคู่มือแบบที่เรียกว่าต้องเขียนให้ละเอียดชนิดที่เรียกว่าเอาคนใหม่มาทำตามคู่มือดังกล่าวต้องทำได้โดยไม่ต้องถามอะไร
จะได้ไม่มีปัญหาเวลาที่คนเดิมลาออกไป
แต่เอาเข้าจริง ๆ
ก็กลายเป็นว่าแต่ละคนที่ไปอบรมต่างประเทศนั้นต่างมีบันทึกของตัวเอง
ต่างคนต่างถือเก็บเอาไว้เอง
ไม่มีการสร้างคู่มือปฏิบัติการที่สามารถ่ายทอดต่อให้คนที่มาใหม่ได้
พอคนที่ไปอบรมนั้นลาออกจากงานไป
คนใหม่ที่มาทำหน้าที่ต่อก็ต้องไปเริ่มงานจากศูนย์ใหม่
คู่มือปฏิบัติงานที่ดีนั้นไม่ควรจะบอกแต่เพียงว่าให้ทำอย่างไร
แต่ควรมีคำอธิบายในเรื่องที่สำคัญด้วยว่าไม่ควรทำอย่างไรด้วย
เพราะการลัดขั้นตอนการทำงานนั้นมันอาจไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในทันทีทันใด
แต่มันสามารถทำให้อายุการใช้งานของอุปกรณ์นั้นสั้นลงได้
หรือไม่ก็เป็นการไปใช้งานในส่วน
safety
factor ที่ทางผู้ออกแบบเผื่อเอาไว้
ส่วนที่เป็น safety
factor ที่การออกแบบเผื่อเอาไว้นี้มันไม่ควรเป็นส่วนที่นำมาใช้งานปรกติ
มันควรเป็นส่วนที่จะถูกใช้งานถ้าหากการทำงานมีความผิดปรกติโดยไม่ตั้งใจ
เพื่อให้เห็นภาพตรงนี้จะขอยกตัวอย่าง
pressure
vessel ที่ปัจจุบันจะทำการทดสอบความสามารถในการรับแรงดันแบบ
hydrauic
test ที่
1.3
เท่าของ
design
pressure (คือความดันที่ใช้ในการออกแบบ
ส่วนความดันในการใช้งานจริงหรือ
operating
pressure นั้นจะต่ำกว่า
design
pressure นี้อีก)
ซึ่งpressure
vessel
นั้นต้องผ่านการทดสอบที่ความดันระดับนี้ก่อนจึงจะถือว่ามีความปลอดภัยในการใช้งาน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในการทำงานตามปรกติเราสามารถที่จะนำเอา
pressure
vessel ตัวนี้มาใช้งานที่ความดันสูงกว่า
design
pressure แต่ต่ำกว่าความดันที่ใช้ทดสอบได้
ในตอนที่
๑ ของเรื่องนี้ผมได้เล่าถึงรูปแบบการเขียน
ที่ผมเห็นว่ามันไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัว
มันขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนนั้นมีความถนัดอย่างไร
และผู้ที่ต้องการให้รับรู้สิ่งที่เขียนนั้นเป็นใคร
ในตอนที่ ๒
นั้นผมมองว่าเพื่อที่จะทำให้มั่นใจว่าในการทำให้ผู้ที่รับทราบข้อมูลเดียวกันนั้นมีความเข้าใจที่ตรงกัน
เราอาจต้องมีการทบทวนและกำหนดนิยามต่าง
ๆ ของคำที่เราใช้ในการสื่อสารให้ชัดเจน
โดยได้ยกประสบการณ์ของตัวเองที่ได้ประสบมาเป็นตัวอย่าง
ส่วนตอนที่ ๓
นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการทำงาน
ที่เอาเข้าจริง ๆ
แล้วบ่อยครั้งที่พบว่าคู่มือการปฏิบัติงานที่มีอยู่นั้นมันเปิดช่องให้ทำแตกต่างกันได้
อันเป็นผลจากการบันทึกวิธีการปฏิบัติงานที่ไม่ชัดเจนหรือคิดว่าครอบคลุมหมดแล้ว
หรือแม้แต่พบว่าของที่มีอยู่นั้นยังไม่สมบูรณ์
แต่ก็ยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
ผมเองสอนแลปนิสิตมากว่า
๒๐ ปี ปรับปรุงแก้ไขคู่มือปฏิบัติการมาตลอด
แต่ก็ยังพบอยู่เรื่อย ๆ
ว่านิสิตแต่ละรุ่นยังสามารถตีความวิธีการทำแลปให้แตกต่างไปจากสิ่งที่อยากให้นิสิตปฏิบัติ
สำหรับรูปในหน้าแรกที่เอามาให้ดูนั้น
ถ้าท่านใดคิดว่ามันคือ
"ไข่เจียว"
ก็ขอตอบว่าไม่ใช่ครับ
ที่ถูกต้องคือ "ไข่ดาว"
ที่นิสิตผู้ทอดเองก็ยอมรับว่า
เป็นการทอดไข่ดาวครั้งแรกในชีวิต
:)
:) :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น