เมื่อของไหลไหลผ่านช่องทางการไหลที่มีขนาดจำกัด
(เช่น
วาล์วที่เปิดไว้เพียงเล็กน้อย
แผ่น orifice
ท่อ
capillary
หรือวัสดุมีรูพรุน)
โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงพลังงานจลน์
ไม่มีการแลกเปลี่ยนพลังงานกับสิ่งแวดล้อม
เอนทาลปี (enthahly
หรือที่ย่อว่า
H)
ของของไหลนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
(∆H
= 0)
จากความรู้ทางเทอร์โมไดนามิกส์ที่กล่าวว่า
∆H
= ∆U + ∆(PV)
(เมื่อ
U
คือพลังงานภายในหรือ
internal
energy P คือความดัน
และ V
คือปริมาตร)
ในกรณีที่ของไหลนั้นเป็นแก๊สอุดมคติ
ผลคูณของค่า PV
จะคงที่เสมอ
แต่สำหรับแก๊สจริงนั้นผลคูณของค่า
PV
จะเปลี่ยนแปลงไปตามความดันและอุณหภูมิ
กล่าวคือถ้าการลดความดันนั้นทำให้ผลคูณของค่า
PV
เพิ่มมากขึ้น
ค่า U
จะต้องลดต่ำลงเพื่อรักษาให้ค่า
∆H
= 0 ดังเดิม
หรือแก๊สที่ผ่านการลดความดันจะมีอุณหภูมิลดต่ำลง
ในทางกลับกันถ้าการลดความดันนั้นทำให้ผลคูณของค่า
PV
ลดต่ำลง
ค่า U
จะต้องเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาให้ค่า
∆H
= 0 ดังเดิม
หรือแก๊สที่ผ่านการลดความดันจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น
เรื่องนี้เคยเล่าไว้ครั้งหนึ่งแล้วใน
Memoir
ปีที่
๙ ฉบับที่ ๑๒๒๔ วันอังคารที่
๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ เรื่อง
"Compressibility factor กับ Joule-Thompson effect"
กลไกนี้ถูกนำมาใช้ทั้งในระบบทำความเย็นและการแยกสาร
ในระบบทำความเย็นนั้นจะใช้การอัดไอสารทำความเย็นให้มีความดันที่พอเหมาะ
จากนั้นจึงให้สารทำความเย็นนั้นไหลผ่านวาล์วลดความดันหรือท่อ
capillary
เพื่อที่จะให้ได้ผลดี
ช่วงความดันที่ลดลงนั้นควรทำให้สารทำความเย็นนั้นมีการควบแน่นเป็นของเหลว
เพราะจะทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงมา
และของเหลวอุณหภูมิต่ำที่ได้จากการควบแน่นนี้เมื่อระเหยกลายเป็นไอจะสามารถดูดกลืนความร้อนได้มาก
(ค่าความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ)
ตัวอย่างเช่นกรณีของโพรเพน
จาก PH
(Pressure - Enthalpy) diagram ในรูปที่
๑ ถ้าเราให้แก๊สโพรเพนที่ความดันสัมบูรณ์
1000
kPa ที่อุณหภูมิ
30ºC
ลดความดันลงเหลือความดันบรรยากาศ
(100
kPa) อุณหภูมิแก๊สด้านขาออกจะลดลงเหลือประมาณ
10ºC
(เส้นสีแดง)
แต่ถ้าเราให้แก๊สดังกล่าวที่อุณหภูมิ
100ºC
ความดันประมาณ
5000
kPa ลดความดันลงเหลือความดันบรรยากาศ
แก๊สจะมีการควบแน่นแยกเป็นสองเฟสและมีอุณหภูมิเหลือประมาณ
-30ºC
แต่ถ้าก่อนที่จะทำการลดความดัน
ถ้าทำให้ไอสารทำความเย็นนั้นมีการควบแน่นเป็นของเหลวก่อน
เมื่อของเหลวนั้นไหลผ่านวาล์วลดความดัน
บางส่วนจะกลายเป็นไอ
และอุณหภูมิด้านขาออกที่ได้ก็จะลดต่ำลงไปอีก
ระบบทำความเย็นที่ใช้กับเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นตามบ้านเรือนต่าง
ๆ นั้นก็ทำงานแบบนี้
กล่าวคือหลังจากทำการอัดไอสารทำความเย็นให้มีความดันสูงแล้ว
(อุณหภูมิจะสูงตามไปด้วย)
ก็จะให้ไอสารทำความเย็นความดันสูงนั้นระบายความร้อนออกสู่อากาศก่อน
(ถ้าเป็นตู้เย็นก็ผ่านทางแผงขดลวดที่อยู่ทางด้านหลัง
แต่ปัจจุบันจะมองไม่เห็นแล้วเพราะถูกปิดคลุมไว้
ถ้าเป็นเครื่องปรับอากาศก็จะเป็นส่วนของคอยล์ร้อนที่ติดตั้งอยู่นอกห้อง)
จากนั้นจึงค่อยลดความดันลง
กลไกแบบเดียวกันนี้ก็มีการนำมาใช้ในการแยกสารในอุตสาหกรรมเคมีโดยมีชื่อเรียกว่า
flash
separation หรือ
flash
distillation กล่าวคือเมื่อให้สารผสม
(ที่อาจเป็นแก๊ส
หรือของเหลว หรือของเหลวที่มีแก๊สละลายอยู่)
ที่ความดันสูง
ลดความดันด้วยการไหลผ่านวาล์วลดความดันเข้าสู่ภาชนะรองรับ
(ที่เรียกว่า
flash
drum ดูรูปที่
๒)
ส่วนใหญ่ของสารที่มีจุดเดือดต่ำจะไปอยู่ในเฟสไอ
และในขณะเดียวกันส่วนใหญ่ของสารที่มีจุดเดือดสูงไปอยู่ในเฟสของเหลว
ตัวอย่างของกระบวนการที่มีการนำเอา
flash
separation
มาใช้ได้แก่การทำปฏิกิริยาในเฟสของเหลวที่สารตั้งต้นเป็นแก๊สที่ต้องละลายเข้าไปในเฟสของเหลวที่เป็นตัวทำละลายเพื่อทำปฏิกิริยา
(เช่นในปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์ใน
liquid
phase หรือ
slurry
phase) การติดตั้ง
flash
drum
จะช่วยลดปริมาณสารตั้งต้นที่หลงเหลือจากการทำปฏิกิริยาและละลายอยู่ในเฟสของเหลวออกไป
ช่วยลดภาระการแยกสารออกจากกันในกระบวนการถัดไป
รูปที่
๒ แผนผังการแยกสารด้วยกระบวนการ
flash
ใน
Memoir
ฉบับที่แล้ว
(เสาร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๑)
ที่ได้ยกตัวอย่างกรณีของโรงแยกแก๊ส
Esso
Longford มาเล่านั้นได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
การลดลงของอุณหภูมิที่เกิดจากกระบวนการ
flash
นี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อุณหภูมิของระบบลดต่ำลงกว่าปรกติมาก
กล่าวคือด้วยเหตุการผิดปรกติหลายอย่าง
แทนที่ของเหลวจากก้นหอ
Absorption
column ที่ส่งไป
flash
drum จะเป็น
rich
oil (ไฮโดรคาร์บอนในช่วงน้ำมันก๊าดที่มีแก๊สไฮโดรคาร์บอนช่วง
C1
- C4 ละลายอยู่)
ที่มีอุณหภูมิประมาณ
1ºC
ความดันประมาณ
6900
kPa กลับกลายเป็น
condensate
ที่มากับแก๊สธรรมชาติ
(ไฮโดรคาร์บอนเบาที่น่าจะอยู่ในช่วงแก๊สโซลีนที่มีแก๊สไฮโดรคาร์บอนช่วง
C1
- C4 ละลายอยู่)
ที่มีอุณหภูมิประมาณ
-20ºC
หรือต่ำกว่า
(ผลจากการที่ระดับ
condensate
สูงจนล้นเข้าไปใน
tray
ของ
rich
oil และไหลออกมาแทน
rich
oil และจากการที่ไม่มี
lean
oil ไหลเข้าทางด้านบน
Absorption
column) ทำให้ของเหลวที่ออกจาก
flash
drum นั้นมีอุณหภูมิลดต่ำลงกว่า
-30ºC
ส่งผลให้อุณหภูมิทางด้าน
downstream
ลดต่ำลงไปอีก
(ดังเช่นตัวอย่างในรูปที่
๓ ที่เป็นกรณีของมีเทน
จะเห็นว่ามีเทนที่อุณหภูมิ
-20ºC
ความดัน
6900
kPa เมื่อลดความดันลงเหลือ
4500
kPa อุณหภูมิจะลดลงเหลือประมาณ
-35ºC)
และเมื่อมีการนำเอาของเหลวทางด้าน
downstrem
นั้นกลับมาใช้งานทางด้าน
upstream
ก็ยิ่งทำให้อุณหภูมิที่
flash
drum นี้ลดต่ำลงไปอีก
อุณหภูมิต่ำสุดที่บันทึกเอาไว้ได้ก่อนการระเบิดก็คือ
-48ºC
(อุณหภูมิที่ต่ำขนาดนี้
สามารถโลหะที่ใช้ทำทั้งตัว
flash
drum และอุปกรณ์ทางด้าน
downstream
เปลี่ยนสภาพจากเหนียวไปเป็นแข็งและเปราะ
แต่ที่ยังไม่เสียหายก็เพราะยังไม่มีแรงกระแทกหรือความเค้นที่สูงพอมากระทำ)
มีหลายบทเรียนที่ได้จากกรณีของการระเบิดของโรงแยกแก๊ส
Esso
Langford
บทเรียนหนึ่งก็คือความซับซ้อนที่เกิดจากความพยายามที่จะประหยัดพลังงาน
(ด้วยการแลกเปลี่ยนความร้อนกันแบบพันกันไปหมด)
ทำให้ผู้ปฏิบัติงานนั้นไม่สามารถเล็งเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเนื่องได้เมื่อระบบหนึ่งมีปัญหา
และปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นก่อให้เกิดผลกระทบที่เวียนรอบกลับมายังจุดตั้งต้นและทำให้ผลกระทบนั้นขยายตัวขึ้นไปเรื่อย
ๆ (อย่างเช่นการที่ระบบมีอุณหภูมิที่ลดต่ำลงผิดปรกติในที่นี้)
และอีกบทเรียนหนึ่งก็คือการให้ระบบควบคุมตัวหนึ่งไปอีกอำนาจเหนือระบบควบคุมอีกตัวหนึ่ง
(ที่เรียกว่า
override)
แบบไม่มีข้อจำกัด
ซึ่งในกรณีของอุบัติเหตุนี้คือการที่ปล่อยให้ระบบควบคุมอุณหภูมิไปมีอำนาจเหนือระบบควบคุมระดับ
condensate
แบบไม่มีขีดจำกัด
ทำให้ condensate
นั้นสะสมที่ก้น
Absorption
column จนล้นออกทางสาย
rich
oil ได้
รายละเอียดเรื่องเหล่าสามารถหาอ่านได้ในรายงานการสอบสวนที่มีเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต
เพียงแต่ก่อนอ่านขอแนะนำให้พิมพ์ภาพ
process
flow ออกมาก่อนเพื่อที่จะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเวลาอ่าน
รูปที่
๓ PH
diagram ของมีเทน
เส้นสีแดงคือเมื่อมีเทนที่อุณหภูมิ
-20ºC
ลดความดันจาก
6900
kPa เหลือ
4500
kPa
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น