วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

จึงเป็นวิธีการเดียวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๒๙) MO Memoir : Monday 24 April 2560

การอ่านเอกสารทางประวัติศาสตร์นั้นจำเป็นที่ต้องเริ่มด้วยการอ่าน "ผู้เขียน" ก่อน เพราะจะทำให้ผู้อ่านสามารถประเมินได้ว่าเนื้อความในเอกสารนั้นมีอคติหรือตรงไปตรงมาแค่ไหน ตัวอย่างประเด็นที่มักจะมีการหยิบยกมาใช้ในการพิจารณาตัวผู้เขียนเพื่อใช้ประเมินความน่าเชื่อถือของบันทึกนั้นได้แก่
(ก) ตัวผู้เขียนนั้นเป็นผู้ที่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่บันทึกเอาไว้หรือไม่ 
 
(ข) ตัวผู้เขียนนั้นไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่เป็นผู้ที่มีชีวิตร่วมสมัยอยู่ในเหตุการณ์นั้น (กล่าวคือได้รับข่าวสารข้อมูลจากทางด้านอื่น เช่นเรื่องเล่าโดยปากต่อปาก หรือจากข่าวสาร เป็นต้น) 
 
(ค) ตัวผู้เขียนนั้นไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น ไม่ได้เป็นผู้ที่มีชีวิตร่วมสมัยอยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่ได้รับฟังเรื่องจากจากบุคคลที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยในเหตุการณ์ที่เกิด
 
(ง) ตัวผู้เขียนนั้นไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น ไม่ได้เป็นผู้ที่มีชีวิตร่วมสมัยอยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่ได้รับฟังเรื่องจากจากบุคคลที่บอกว่าได้รับฟังมาจากบุคคลอื่น ที่ได้รับฟังจากบุคคลอื่นอีกที (ซึ่งไม่ใช่ผู้ที่มีชีวิตร่วมสมัยอยู่ในเหตุการณ์นั้น)
 
(จ) ตัวผู้เขียนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเหตุการณ์ที่เกิดนั้นหรือไม่ ถ้าใช่ ตัวผู้เขียนนั้นอยู่ฝ่ายไหน

บันทึกด้วยผู้เขียนในข้อ (ก) จัดได้ว่าเป็น "หลักฐานชั้นต้น" ที่สำคัญ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมนำเอาประเด็นในข้อ (จ) มาประกอบการพิจารณาด้วย เพราะมันช่วยให้ประเมินได้ว่าข้อความที่บันทึกเอาไว้นั้นแฝงไว้ด้วยอคติหรือมีความตรงไปตรงมาแค่ไหน และในกรณีที่ผู้เขียนเป็นชาวต่างประเทศ ก็ยังต้องมีการพิจารณาเรื่องความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมด้วย เพราะสิ่งที่เป็นที่ยอมรับในสังคมหนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยอมรับในอีกสังคมหนึ่ง การอ่านบันทึกตรงนี้จึงควรต้องพิจารณาว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ผู้เขียนประสบมา และสิ่งใดเป็นสิ่งที่เป็นความคิดเห็นของเขา
 
เรื่องราวของการปฏิวัติเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ มักจะมีการหยิบยกมาอ้างกันอยู่เสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะขาดหายไป แทบจะไม่ถูกกล่าวถึงเห็นจะได้แก่รายละเอียดของสาเหตุต่าง ๆ ที่นำไปสู่การปฏิวัติครั้งนั้น และจะว่าไปแล้วก่อนหน้า ๒๐ ปี (เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๕๕ นับปีแบบเดิมที่ขึ้นปีใหม่เดือนเมษายน) ก็มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ กลายเป็นสิ่งที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า "กบฏ ร.ศ. ๑๓๐"
 
กรณีของ "กบฏ ร.ศ. ๑๓๐" เกิดขึ้นหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ตุลาคม ๒๔๕๓) เพียงแค่ไม่ถึง ๒ ปี ตรงนี้ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าการบริหารบ้านเมืองก่อนหน้านั้น (ซึ่งน่าจะครอบคลุมช่วงตอนท้ายของสมัยรัชกาลที่ ๕ ด้วย) มีปัญหาอย่างไร จึงนำมาซึ่งความคิดที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
 
สิ่งที่ไม่ได้เกิดจากความแค้นส่วนตัว ต้องมีผู้เข้าร่วมกระทำเป็นจำนวนมาก น่าจะบ่งบอกให้เห็นถึงความไม่พอใจที่สะสมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน และเกิดขึ้นกับคนจำนวนไม่น้อย จนกระทั่งถึงจุดที่ผู้ได้รับผลกระทบนั้นจำนวนหนึ่งทนไม่ได้ จึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้
 
การตีความเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ในหลาย ๆ เรื่องนั้นไม่สามารถตีความได้โดยตรง อาจเป็นเพราะไม่มีการบันทึกข้อมูลเป็นลายลักษณ์อักษร หรือข้อมูลที่มีการบันทึกเอาไว้นั้นสูญหายหรือถูกทำลาย หรือถูกบิดเบือน แต่เราก็อาจใช้สภาพแวดล้อมของเหตุการณ์หรือสภาพสังคมในขณะนั้นเข้ามาช่วยในการตีความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



หนังสือเรื่อง "บันทึกของฑูตญี่ปุ่นผู้เห็นเหตุการณ์ปฏิวัติ ๒๔๗๕ การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงในประเทศสยาม" เป็นหนังสือที่แปลมาจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นเรื่อง "การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงในประเทศสยาม" ที่เขียนโดย ยาสุกิ ยาตาเบ หนังสือนี้จัดพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาญี่ปุ่นในปีพ.ศ. ๒๔๗๙ ก่อนจะมีการพิมพ์ซ้ำอีก ๒ ครั้ง (เป็นภาษาญี่ปุ่น) ในปีพ.ศ. ๒๔๘๔ และ ๒๕๔๕ ยาสุกิ ยาตาเบ ผู้นี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอัครราชฑูตผู้มีอำนาจเต็มประจำประเทศสยาม และได้เดินทางมายังกรุงเทพในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๒๘ (พ.ศ. ๒๔๗๑) ก่อนจะพ้นจากตำแหน่งในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๓๖ (พ.ศ. ๒๔๗๘ - นับปีพ.ศ. แบบเก่าที่ขึ้นปีใหม่ในเดือนเมษายน) ดังนั้นด้วยช่วงระยะเวลากว่า ๗ ปีที่ประจำอยู่ในประเทศสยาม โดยเฉพาะการได้เข้ามาประจำเป็นเวลาประมาณ ๔ ปีแรกก่อนเกิดการปฏิวัติ ทำให้คาดได้ว่าเขาควรมีความรู้ความเข้าใจเหตุการณ์ทั่วไปในประเทศสยามในระดับที่ดีพอสมควร และในฐานะที่ผู้บันทึกนั้นไม่ได้เป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ดังกล่าว บันทึกฉบับนี้จึงอาจจัดได้ว่าเป็นเอกสารชั้นต้นที่สำคัญฉบับหนึ่งในการทำความเข้าใจการเมืองการปกครองของไทยก่อนการปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ 
  
ที่น่าเสียดายคือหนังสือเล่มนี้กว่าจะมีการแปลเป็นภาษาไทยก็ล่วงมาจนถึงพ.ศ. ๒๕๔๗ หรือ ๖๘ ปีหลังการตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาญี่ปุ่น และก็ทำเป็นเพียงแค่เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการ ก่อนที่จะมีการตีพิมพ์เป็นหนังสือครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์มติชนในปีพ.ศ. ๒๕๕๐ (เล่มที่ผมมีเป็นฉบับที่ตีพิมพ์ครั้งแรก เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ แปลเป็นภาษาไทยโดย เออิจิ มูราซิมา และ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์)
 
เรื่องราวในหนังสือนั้นเป็นอย่างไรนะคงจะไม่ขอเล่า ถ้าใครสนใจก็ขอแนะนำให้ไปซื้อมาอ่านหรือสะสมเอาไว้ก็ดีครับ อาจทำให้เห็นภาพว่าทำไม ในตอนท้ายของบทที่ ๑ สถานการณ์ก่อนการปฏิวัติ ในหน้า ๑๖ ในหัวข้อเรื่อง "บรรยากาศที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงนั้น" ยาสุกิ ยาตาเบ ได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวเอาไว้ว่า

" .....โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชาชนทั่วไปก็ไม่ได้รับการฝึกฝนทางด้านการเมือง ไม่มีอิสระภาพในการพูด ฉะนั้นการอาศัยวิธีการปฏิรูป คือทำตามกระบวนการกฎหมายด้วยวิธีการสันติ โดยการปลูกฝังที่จะให้มีการแสดงประชามติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการปฏิรูปนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่า รอไปอีกหนึ่งร้อยปีก็ไม่มีวันสำเร็จ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีวิธีการใดนอกจากการลุกขึ้นกระทำการโดยตรงและขับไล่บรรดาเจ้านายอนุรักษนิยมสุดขั้วให้ออกจากตำแหน่ง ....."

และในหน้าสุดท้ายของบทที่ ๑ (หน้า ๑๙) ยาสุกิ ยาตาเบ ก็ได้ทิ้งท้ายไว้ด้วยข้อความที่สแกนมาให้ดูในรูปข้างล่าง


อยากจะแนะนำให้ใครที่สนใจประวัติศาสตร์การเมืองไทยช่วงก่อนการปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ หาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน ส่วนเมื่ออ่านแล้วจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับความเห็นดังกล่าวก็คงเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่คงต้องมีการนำมาถกเถียงทางวิชาการกันต่อไป

ในยุคสมัยหนึ่ง หนังสือที่ระลึกงานศพนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยคำกล่าวไว้อาลัยผู้ตาย แต่อาจเป็นเรื่องราวความรู้ที่พิมพ์แจกเป็นวิทยาทานเผยแพร่ (ยุคสมัยที่การพิมพ์หนังสือยังไม่แพร่หลายในปัจจุบัน) หรือเป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของผู้เสียชีวิตที่ได้บันทึกเอาไว้ให้คนรุ่นหลังรับทราบ
 
ประวัติของคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งนั้น เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงมองไม่เห็นว่ามันมีความสำคัญอย่างไร แต่ถ้ามองในแง่มุมที่ว่าเป็นการบันทึกเรื่องราวการดำเนินชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงานของคนทั่วไป ที่คงไม่มีหน่วยงานราชการหน่วยไหนคิดจะบันทึกเอาไว้ และถ้าเป็นของผู้ที่ต้องทำงานกับชาวบ้านธรรมดา ข้าราชการชั้นผู้น้อย ไปจนถึงชนชั้นปกครอง เราก็อาจได้เห็นเรื่องราวอีกแง่มุมหนึ่งที่อาจมีการพยายามปิดซ่อนเอาไว้ในประวัติศาสตร์หลัก
 
"เล่าให้ลูกฟัง" เป็นบันทึกที่เขียนโดย พระยาสัจจาภิรมย์ อุดมราชภักดี (สรวง ศรีเพ็ญ) กระทรวงมหาดไทยพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพท่านผู้เขียน ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๔ พฤศิกายน พ.ศ. ๒๕๐๒ (เป็นการจัดพิมพ์ครั้งที่สอง) พระยาสัจจาฯ เขียนไว้ในคำนำ โดยลงวันที่ ๒๘ ธันวามคม ๒๔๙๘ แสดงว่าเล่มการพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกน่าจะอยู่ราว ๆ นั้น หนังสือเล่มนี้สำนักพิมพ์มติชนนำมาจัดพิมพ์จำหน่ายใหม่ครั้งแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ และจัดพิมพ์ครั้งที่สองในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน
 
นอกจากหนังสือเล่มนี้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มีชื่อพระยาสัจจาฯ ปรากฏคือ "ถนนพระยาสัจจา" ที่เป็นถนนหลักด้านเลียบชายฝั่งทะเลของตัวอำเภอเมือง ชลบุรี

การเมืองสักเมืองจะนำชื่อใครสักคนมาตั้งเป็นชื่อถนนแสดงว่าเป็นการระลึกถึงคุณงานความดีและคุณประโยชน์ที่ผู้นั้นได้กระทำไว้ให้กับเมืองนั้น

พระยาสัจจาฯ ท่านเกิดในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๒๗ (น่าจะเป็นการนับปีพ.ศ. แบบเก่า) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เข้ารับราชาการตั้งแต่อายุ ๑๕ ปีจนถึง ๗๐ ปี เรียกได้ว่าเป็นคน ๕ แผ่นดิน ทำงานต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด เริ่มงานตั้งแต่เป็นเสมียนจนสอบได้เป็นเนติบัณฑิต มีประสบการณ์ทำงานตั้งแต่กับชาวบ้านในท้องถิ่นต่างจังหวัด (ในสถานที่ที่แม้แต่ข้าราชการยังไม่มีใครอยากไป) ไปจนถึงการทำงานร่วมกับชนชั้นปกครองชั้นสูง ผมเคยอ่านบันทึกนี้ตอนที่นิตยสารศิลปวัฒนธรรมคัดเลือกบางตอนนำมาตีพิมพ์ พอเห็นมีการตีพิมพ์ใหม่เป็นเล่มก็อดไม่ได้ที่จะซื้อมาเก็บเอาไว้
 
บันทึกของพระยาสัจจาฯ ทำให้เห็นว่าการทำงานของข้าราชการต่างจังหวัดในสมัยนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ชาวบ้านต่างจังหวัดนั้นดำเนินชีวิตอยู่กันอย่างไร แตกต่างหรือเหมือนกับชีวิตในกรุงเทพมากน้อยแค่ไหน เรื่องเหล่านี้นอกจากบันทึกของข้าราชการระดับสูงเพียงไม่กี่รายที่เขียนเอาไว้ ก็เห็นจะมีแต่บันทึกของชาวต่างประเทศที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย (จะโดยการว่าจ้างของรัฐบาลหรือของบริษัทต่างชาติ) หรือเป็นนักเดินทางที่เดินทางผ่านมาทางนี้ เท่านั้นที่เขียนบันทึกเอาไว้ สำนักพิมพ์มติชนถึงกับให้คำจำกัดความเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น "ภาพสะท้อนของชีวิตข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ในสมัยใกล้อวสานของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์"
 
ถึงแม้ว่าจะเขียนมาจากมุมมองที่แตกต่างไปจาก ยาสุกิ ยาตาเบ แต่บันทึกที่แสดงความอัดอั้นตันใจในการทำราชการของพระยาสัจจาฯ ก็ได้ให้ภาพเหตุการณ์ในทิศทางเดียวกัน ในตอนท้ายของหน้า ๒๔๖ ของหนังสือ "เล่าให้ลูกฟัง" ที่สำนักพิมพ์มติชนจัดพิมพ์ครั้งที่ ๒ นั้น คาดเป็นข้อความที่บอกเล่าเรื่องราวก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่นาน และดูเหมือนจะเป็นการระบายความอัดอั้นตันใจที่รุนแรงเสียด้วย ถึงขั้นกล่าวว่า "ถ้าบ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ไม่ช้าก็ฉิบหาย" ลองอ่านดูในรูปข้างล่างก็ได้ครับ



การเหมารวมเอาการกระทำของกลุ่มบุคคลใดก็ตามที่เห็นในปัจจุบัน ว่าในอดีตไม่ว่าจะย้อนไปนานแค่ไหนคนกลุ่มนั้นก็มีพฤติกรรมเป็นเช่นนั้น หรือในทางกลับกันก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องที่อันตราย โดยเฉพาะเมื่อไม่ได้มีการพิจารณาบริบทของสังคมในช่วงเวลานั้นประกอบ
 
ทิ้งท้ายในสองรูปสุดท้าย เป็นหน้าฉบับเต็มจากหนังสือที่คัดลอกเอาข้อความที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าอยากทราบรายละเอียดอะไรมากกว่านั้นก็คงต้องไปหาหนังสือดังกล่าวมาอ่านเองแล้วครับ


ไม่มีความคิดเห็น: