งานนี้จะเลือกเอาทางไหนดีล่ะ
จะเสี่ยง "หนีเสือ
ปะจระเข้"
หรือจะทำ
"ใจดีสู้เสือ"
ดีล่ะ
เมื่อวานเห็นมีคนแชร์ข่าวทางหน้า
facebook
เกี่ยวกับภูเขาแก๊สไข่เน่าที่เกิดจากการสะสมของแก๊สที่เกิดจากบ่อบำบัดน้ำเสียของโรงงานแห่งหนึ่งจนทำให้ผืนพลาสติกขนาดใหญ่ที่ปิดคลุมบ่อบำบัดนั้นโป่งสูงขึ้นมา
จนทำให้ทางโรงงานตัดสินใจ
"เผา"
แก๊สดังกล่าวทิ้ง
แต่โดนทางชาวบ้านและอุตสาหกรรมจังหวัดห้ามมิให้ทำการเผาโดยตรง
(รูปที่
๑ ข้างล่าง)
เพราะเชื่อว่าการเผาเป็นการทำให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวน
รูปที่
๑ ภาพข่าวภูเขาแก๊สไข่เน่า
(จาก
https://www.pptvthailand.com/news/ประเด็นร้อน/39819)
แก๊สไข่เน่าหรือชื่อทางเคมีว่า
"ไฮโดรเจนซัลไฟด์
Hydrogen
sulphide หรือ
Hydrogen
sulfide - H2S) เป็นแก๊สที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรงเหมือนไข่เน่า
แก๊สตัวนี้เป็นทั้ง แก๊สกรด
แก๊สพิษ และติดไฟได้
เมื่อเผาไฟจะกลายเป็นน้ำและซัลเฟอร์ไดออกไซด์
(Sulphur
dioxide หรือ
Sulfur
dioxide - SO2) ที่มีกลิ่นฉุน
ซึ่งเป็น แก๊สกรด และแก๊สพิษ
(แก๊สกรดคือแก๊สที่ละลายน้ำแล้วได้สารละลายที่เป็นกรด)
วิธีการพื้นฐาน
๒
วิธีสำหรับใช้ในการกำจัดแก๊สที่เป็นอันตรายในปริมาณมากนั้นได้แก่การส่งไปเผาที่ระบบ
flare
และการผ่านเข้าชะล้างที่ระบบ
scrubber
ซึ่งอาจใช้เพียงแค่วิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือสองวิธีการร่วมกันก็ได้
ในกรณีที่แก๊สที่เป็นอันตรายนั้นสามารถเผาทำลายได้
และผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการเผานั้นเป็นสารที่ไม่มีอันตรายหรือมีอันตรายต่ำกว่า
การเผาก็มักเป็นทางเลือกที่ดี
แต่ถ้าแก๊สนั้นเป็นแก๊สที่ไม่ลุกติดไฟหรือเกรงว่าผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการเผาทำลายที่ไม่สมบูรณ์จะก่อให้เกิดปัญหามากกว่า
การให้แก๊สนั้นสัมผัสกับของเหลวที่เหมาะสมในหอชะล้าง
(ที่เรียกว่า
scrubber)
ก็จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
แต่ทั้งนี้ก็ต้องพิจารณาต่อด้วยว่าแก๊สอันตรายที่ละลายเข้ามาอยู่ในเฟสของเหลวนั้นมันทำปฏิกิริยากับเฟสของเหลวจนกลายเป็นสารที่ไม่มีพิษ
หรือเป็นเพียงแค่เปลี่ยนที่อยู่จากแก๊สมาอยู่ในของเหลว
ซึ่งต้องหาทางกำจัดมันต่ออีก
การใช้การดูดซับด้วยเบดของแข็งนั้นจะเหมาะสมกว่าในกรณีที่แก๊สมีปริมาณไม่มากหรือแก๊สพิษมีความเข้มข้นต่ำ
คำว่า
"อันตราย"
ในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงความเป็นพิษเพียงอย่างเดียว
สารไฮโดรคาร์บอนหรือสารเชื้อเพลิงต่าง
ๆ ที่แม้ว่าจะมีความเป็นพิษต่ำ
แต่สามารถเกิดการระเบิดได้ถ้ามีการสะสมในอากาศในความเข้มข้นที่สูงพอ
ก็ถือว่าเป็นสารอันตรายได้เช่นกัน
(อันตรายจากการระเบิด)
ไฮโดรเจนซัลไฟล์เป็นแก๊สที่หนักกว่าอากาศเล็กน้อย
มีกลิ่นเหม็น
จมูกคนเรารับกลิ่นแก๊สนี้ได้ไวมากแม้ว่าจะมีความเข้มข้นที่ต่ำมากในอากาศก็ตาม
(คือต่ำกว่า
1
ppm)
และจะว่าไปแล้วสารประกอบกำมะถันอินทรีย์หลายตัวก็มีกลิ่นเหม็นที่แรงมากจนเราเอามาใช้ประโยชน์ด้วยการผสมกับแก๊สที่ไม่มีกลิ่น
(เช่นแก๊สหุงต้ม)
เพื่อเป็นตัวบ่งบอกว่ามีแก๊สรั่วหรือเปล่า
แต่ถ้าเราสูดดมแก๊สนี้ต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป
เราจะไม่ได้กลิ่นเหม็น
เพราะแก๊สนี้มันทำให้ประสาทรับกลิ่นไม่ทำงาน
นอกจากนี้ไฮโดรเจนซัลไฟด์ยังเป็นแก๊สที่ลุกติดไฟได้ถ้ามีความเข้มข้นสูงมากพอ
ข้อมูลความเป็นพิษของไฮโดรเจนซัลไฟล์ที่ทำให้คนเสียชีวิตได้ในเวลาอันสั้นที่มีรายงานก็คือ
800
ppm นาน
5
นาที
(รูปที่
๒)
ส่วนช่วงความเข้มข้นที่สามารถเกิดการระเบิดได้คือ
4.3-46%
(ข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Hydrogen_sulfide)
จะเห็นว่าความเข้มข้นต่ำสุดที่ทำให้เกิดการระเบิดได้นั้นคือ
4.3%
หรือ
43000
ppm นั้นมีค่าสูงกว่าความเข้มข้นที่ทำให้คนเสียชีวิตจากความเป็นพิษได้
และเนื่องจากแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟล์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือบ่อบำบัดต่าง
ๆ นั้นมักมีความเข้มข้นต่ำ
เราจึงมักเห็นข่าวผู้เสียชีวิตเนื่องจากความเป็นพิษมากกว่าจากการระเบิด
ในภาษาอังกฤษนั้นคำว่า
"กลิ่นเหม็น"
ใช้คำว่า
"foul
odor" ส่วนคำว่า
"กลิ่นฉุน"
ใช้คำว่า
"pungent
odour" กลิ่นฉุนไม่เหมือนกับกลิ่นเหม็น
กลิ่นฉุนมักจะเกี่ยวข้องกับการระคายเคือง
ทำให้ไอ จาม (เช่นไอระเหยของกรด
ควันที่เกิดจากการคั่วพริก)
ในขณะที่กลิ่นเหม็นจะทำให้เกิดความรำคาญ
รูปที่
๒ ความเป็นพิษของไฮโดรเจนซัลไฟล์
LCLo
ความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถทำให้คนเสียชีวิตได้
อย่างเช่นในกรอบสีแดงคือบรรยากาศที่มีแก๊สนี้เข้มข้น
800
ppm นาน
5
นาที
(ข้อมูลจาก
http://www.cdc.gov/niosh/idlh/7783064.html)
ค่าการละลายในน้ำ
4
g/l ที่
20ºC
(ข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Hydrogen_sulfide)
แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นแก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้กำมะถัน
แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์
หรือสารอินทรีย์ที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ
แก๊สนี้ไม่ติดไฟ ไม่เป็นตัวออกซิไดซ์
ที่มีกลิ่นฉุน
ละลายน้ำได้ดีกว่าไฮโดรเจนซัลไฟด์มาก
ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจและดวงตา
(เพราะละลายน้ำแล้วกลายเป็นกรดซัลฟิวรัส
H2SO3)
ค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่ทำให้คนเสียชีวิตได้เมื่ออยู่ในบรรยากาศที่มีแก๊สนี้นาน
5
นาทีคือ
3000
ppm (รูปที่
๓ ข้างล่าง)
รูปที่
๓ ความเป็นพิษของซัลเฟอร์ไดออกไซด์
LCLo
ความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถทำให้คนเสียชีวิตได้
อย่างเช่นในกรอบสีแดงคือบรรยากาศที่มีแก๊สนี้เข้มข้น
3000
ppm นาน
5
นาที
(ข้อมูลจาก
http://www.cdc.gov/niosh/idlh/7446095.html)
ค่าการละลายในน้ำ
94
g/l (ข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Sulfur_dioxide)
ที่นี้เราลองมาพิจารณากรณีของภูเขาแก๊สตามข่าวกันดูดีไหมครับว่า
โดยสมมุติถ้าเราเป็นคนที่ต้องจัดการกับมัน
(คือเป็นวิศวกรของโรงงานนั้นหรือเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัด)
เราจะตัดสินใจอย่างไรดี
แก๊สที่เกิดจากการบำบัดของเสียอินทรีย์ในบ่อน้ำเสียนั้นประกอบด้วยแก๊สหลากหลายชนิดปนกัน
เช่น มีเทน (CH4)
ที่เป็นแก๊สที่ติดไฟได้
ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S)
ที่เป็นแก๊สที่ติดไฟได้และมีกลิ่นเหม็นรุนแรง
แอมโมเนีย (NH3)
ที่เกิดจากการย่อยสลายสารประกอบโปรตีน
คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
ที่เกิดจากการย่อยสลายสารประกอบอินทรีย์
เป็นต้น
สัดส่วนของแก๊สเหล่านี้ที่เกิดขึ้นขึ้นอยู่กับของเสียที่นำมาบำบัดและวิธีการ
บางโรงงานนั้นก็เลือกที่จะบำบัดด้วยการทำให้เกิดแก๊สมีเทนเยอะ
ๆ
ก่อนเพื่อที่นำเอาแก๊สที่เกิดขึ้นนั้นไปใช้เป็นเชื้อเพลิงต่อในโรงงาน
แล้วจึงค่อยย่อยสลายส่วนที่เหลือให้กลายเป็น
CO2
และน้ำ
(พวกที่นำมูลสัตว์มาผลิตเป็นแก๊สชีวภาพก็ทำแบบนี้)
ในขณะที่บางโรงงานนั้นอาจจะเลือกที่จะย่อยสลายให้กลายเป็น
CO2
และน้ำโดยตรง
ในการพิจารณาอันตรายเนื่องจากการรั่วไหลของแก๊สนั้น
ในกรณีนี้จะขอพิจารณา ๓
ประเด็นด้วยกันคือ
๑.
ความหนาแน่นของแก๊สเมื่อเทียบกับอากาศ
๒.
ความเข้มข้น
และ
๓.
ค่าการละลายในน้ำ
แก๊สที่มีความหนาแน่นต่ำกว่าอากาศนั้น
(เช่นมีเทนและแอมโมเนีย)
จะถูกมองว่ามีโอกาสที่จะก่ออันตรายต่ำเมื่อเกิดการรั่วไหลออกมา
เนื่องจากแก๊สนี้จะลอยขึ้นสูงและฟุ้งกระจายออกไปได้ง่าย
พวกที่ถูกมองว่ามีโอกาสเกิดอันตรายสูงกว่าถ้าเกิดการรั่วไหลคือพวกที่มีความหนาแน่นสูงและความเข้มข้นสูง
(เช่นแก๊สหุงต้มตามบ้านหรือไฮโดรเจนซัลไฟด์)
ค่าความสามารถในการละลายน้ำเป็นตัวบ่งบอกว่าเราสามารถใช้การฉีดพ่นน้ำให้เป็นละอองฝอยจะสามารถจัดการกับแก๊สที่รั่วไหลออกมานั้นได้ดีเพียงใด
แก๊สที่ละลายน้ำได้ดี
ถ้ารั่วไหลออกมาจะสามารถจัดการด้วยใช้การฉีดพ่นน้ำให้เป็นละอองฝอยจัดการได้ดีกว่าแก๊สที่ละลายน้ำได้น้อยกว่า
ในกรณีของโรงงานที่เป็นข่าวนั้นผมเห็นว่ามีประเด็นที่สำคัญ
๒ ประเด็นที่ควรต้องนำมาพิจารณา
เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าควรที่จะเร่งทำการเผาทิ้งแก๊สที่สะสมอยู่หรือปล่อยให้มันสะสมไปเพื่อรอให้ระบบกำจัดปรกติทำงานได้ทันเวลา
คือ
๑.
แก๊สที่สะสมอยู่นั้นประกอบด้วยแก๊สอะไรบ้าง
ในสัดส่วนเท่าใด และ
๒.
ผืนพลาสติกที่ปิดคลุมอยู่นั้นจะทนต่อไปอีกได้นานเท่าใด
องค์ประกอบและความเข้มข้นของแก๊สนั้นทางโรงงานน่าจะมีข้อมูลที่ได้จากการตรวจวัด
(หรือถ้าไม่มีก็สามารถตรวจวัดได้ไม่ยาก)
ที่น่าจะเป็นปัญหามากกว่าก็คือผืนพลาสติกที่ปิดคลุมนั้นจะทนอยู่ได้อีกนานเท่าใด
เพราะแม้ว่าจะมีข้อมูลว่าพลาสติกที่ใช้นั้นสามารถรับแรงดึงได้สูงสุดเท่าใด
แต่ก็มีปัญหาคือในขณะนี้พลาสติกนั้นรับแรงดึงสูงเท่าใดแล้ว
(มันไม่จำเป็นต้องเท่ากันทุกตำแหน่ง)
ทำให้ผมคิดว่าคำถามในข้อ
๒.
นี้ยากที่จะตอบ
สิ่งที่เห็นว่าควรนำมาพิจารณาคือถ้าสมมุติว่าพลาสติกดังกล่าวฉีกขาดออก
ทำให้แก๊สที่กักเก็บเอาไว้ทั้งหมดนั้นรั่วไหลออกมาทันที
จะก่อให้เกิดอันตรายใดขึ้นได้
(พิจารณาเฉพาะอันตรายจากพิษของแก๊ส
ไม่นับเอาแรงระเบิดนะ)
ตรงนี้ก็ต้องกลับไปดูองค์ประกอบแก๊สส่วนที่เป็นพิษที่หนักกว่าอากาศว่ามีความเข้มข้นเท่าใด
ถ้าความเข้มข้นที่กักเก็บอยู่นั้นไม่สูงพอจะทำอันตรายจนเสียชีวิตได้
เมื่อมันรั่วออกมาแล้วก็จะเจือจางลงไปอีกจากการผสมกับอากาศ
ดังนั้นโอกาสที่จะทำให้ผู้ที่อยู่โดยรอบที่ห่างออกมาเกิดการเสียชีวิตก็น่าจะต่ำ
(เว้นแต่เด็กกับผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรง)
ในกรณีนี้ทางเลือกที่จะเสี่ยงไม่ทำการเผา
แต่ขอรอเวลาให้ระบบกำจัดปรกตินั้นเร่งทำงานจนสามารถกำจัดได้หมดก็จะยังคงอยู่
(จะเรียกว่าทำใจดีสู้เสือก็น่าจะได้)
แต่ถ้าพบว่าความเข้มข้นของแก๊สที่เป็นพิษนั้นสูงมาก
ซึ่งถ้าเกิดการรั่วออกมาอย่างทันทีทันใดจะเกิดพื้นที่โดยรอบกว้างขนาดหนึ่งที่มีแก๊สดังกล่าวเข้มข้นสูงมากจนทำให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นเสียชีวิตได้ในเวลาอันสั้น
ในกรณีนี้ผมเห็นว่าการเลือกที่จะเผาแก๊สนั้นทิ้งจะเป็นทางเลือกที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า
เพราะแม้ว่าซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไฮโดรเจนซัลไฟด์นั้นจะยังคงมีความเป็นพิษอยู่ก็ตาม
แต่ก็ต่ำกว่าไฮโดรเจนซัลไฟด์
(3000
ppm สำหรับ
SO2
ต่อ
800
ppm สำหรับ
H2S)
นอกจากนี้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์นั้นยังละลายน้ำได้ดีกว่าไฮโดรเจนซัลไฟด์มาก
(94
g/l สำหรับ
SO2
ต่อ
4
g/l สำหรับ
H2S)
การผ่านแก๊สที่เกิดจากการเผาเข้าสู่หอชะล้าง
(scrubber)
ก็จะช่วยลดปัญหาการปลดปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศได้
หรือถ้ามีการหลุดรอดออกมา
ก็จะเป็นการหลุดรอดในปริมาณต่ำ
ๆ อย่างต่อเนื่องที่สามารถฟุ้งกระจายออกไปได้โดยเร็ว
นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงที่พลาสติกปิดคลุมจะฉีกขาดกระทันหันด้วย
(แบบว่าหนีเสือปะจระเข้ไง)
ความเห็นตามหลักวิชาการของผมก็ขอยุติลงตรงนี้
ส่วนที่ว่าทางเลือกไหนน่าจะเหมาะสมกว่านั้นคงขึ้นอยู่กับข้อมูลที่แท้จริงที่ได้กล่าวมาข้างต้น
และกลิ่นที่ตามข่าวบอกว่าเป็น
"กลิ่นเหม็น"
นั้น
อันที่จริงเป็นกลิ่นของอะไร
เพราะถ้าเป็นกลิ่นของไฮโดรเจนซัลไฟด์จริง
มันไม่น่าจะมาจากการเผา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น