ในขณะที่เคมีอินทรีย์เน้นไปที่การสอนให้เรารู้จักกลไกการเกิดปฏิกิริยาแต่ละปฏิกิริยา
คือเน้นไปที่ทำอย่างไรจึงจะทำให้เกิดหมู่ฟังก์ชันที่ต้องการ
แทบจะไม่มีการกล่าวถึงการจัดการกับผลิตภัณฑ์ข้างเคียงที่เกิดขึ้น
ไม่มีการมองถึงวัสดุที่ใช้ทำอุปกรณ์ที่สัมผัสกับสารเคมีว่าทนการกัดกร่อนของสารเคมีได้หรือไม่
(เพราะมักมองว่าใช้เครื่องแก้วเป็นหลัก)
วิศวกรรมเคมีจะเน้นไปที่การสอนให้มองกระบวนการผลิตทั้งกระบวนการ
คือให้มองด้วยว่าจะได้สารตั้งต้นนั้นมาอย่างไร
ในสภาพใด (ความบริสุทธิ์และสารปนเปื้อนที่ติดมาด้วย)
การทำปฏิกิริยานั้นอยู่ในสภาพที่อุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง
ๆ ที่เป็นโลหะที่สัมผัสกับสารเคมีต่าง
ๆ นั้นทนการกัดกร่อนได้หรือไม่
และจะจัดการกับผลิตภัณฑ์ข้างเคียงที่เกิดขึ้นนั้นอย่างไร
Memoir
ฉบับนี้ก็เป็นการเอาแผ่นใสเก่า
ๆ
ที่เคยใช้สอนเคมีอินทรีย์ให้กับนิสิตวิศวกรรมเคมีมาเรียบเรียงเขียนใหม่
เพราะมันคงจะไม่ได้ใช้อีกต่อไปแล้วทั้ง
ๆ เพราะตอนนี้ตามห้องเรียนต่าง
ๆ ก็แทบไม่มีเครื่องฉายแผ่นใสเหลือให้ใช้อีกแล้ว
และขอเริ่มด้วยเรื่อง
"จากโอเลฟินส์ถึงพอลิอีเทอร์"
หรือในชื่อภาษาอังกฤษ
(ที่ตั้งขึ้นเอง)
ว่า
"From
olefins to polyethers"
เราเริ่มจากปฏิกิริยาแรกก่อน
พันธะ C=C
ของอัลคีน
(alkene)
นั้นสามารถเกิดปฏิกิริยากับฮาโลเจนได้โดยไม่ต้องมีแสงหรือความร้อนช่วย
ผลิตภัณฑ์ที่ได้คือสารประกอบอัลคิลเฮไลด์
(alkyl
halide) โดยอะตอม
C
ของพันธะ
C=C
แต่ละอะตอมจะมีอะตอมเฮไลด์เข้าไปเกาะ
แต่ถ้าหากในปฏิกิริยานั้นมีน้ำ
(H2O)
ร่วมอยู่ด้วย
หลังจากที่อะตอมเฮไลด์อะตอมแรกเข้าไปสร้างพันธะกับอะตอม
C
1 อะตอมของพันธะ
C=C
แล้ว
โมเลกุลของน้ำจะเข้าไปแย่งเกาะกับอะตอม
C
อีกอะตอมหนึ่งของพันธะ
C=C
เดิม
เกิดเป็นหมู่ไฮดรอกซิล
(-OH)
เกาะที่อะตอม
C
อะตอมนั้น
สารประกอบที่ได้จะมีหมู่
-OH
และเฮไลด์เกาะอยู่บนอะตอม
C
2 อะตอมที่อยู่เคียงข้างกัน
สารประกอบนี้เรียกว่าฮาโลไฮดริน
(halohydrin)
รูปที่
๑ (ซ้าย)
ปฏิกิริยาระหว่างเอทิลีน
(H2C=CH2)
กับคลอรีน
(Cl2)
จะได้ผลิตภัณฑ์ออกมาเป็น
1,2-dichloroethane
แต่ถ้าในปฏิกิริยานั้นมีน้ำร่วมอยู่ด้วย
(ขวา)
น้ำจะสามารถเข้าไปแย่งอะตอม
Cl
ตัวที่สองเกาะกับอะตอม
C
ได้ผลิตภัณฑ์ออกมาเป็น
2-chloroethanol
(เรื่องการเตรียม
2-chloroethanol
เคยกล่าวไว้ใน
Memoir
ปีที่
๗ ฉบับที่ ๘๘๖ วันศุกร์ที่
๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เรื่อง
"แก๊สมัสตาร์ดกับกลิ่นทุเรียน")
ปฏิกิริยาหนึ่งของสารประกอบที่มีหมู่
-OH
คือปฏิกิริยา
dehydration
หรือการกำจัดน้ำออก
ปฏิกิริยานี้เกิดได้โดยมีกรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
ในปฏิกิริยานี้หมู่ -OH
จะถูกดึงออกจากอะตอม
C
ร่วมกับอะตอม
H
อีกอะตอมหนึ่ง
(ที่ไม่ได้เกาะอยู่กับอะตอม
C
ที่มีหมู่
-OH
เกาะอยู่)
ถ้าหากว่าอะตอม
H
นั้นเป็นอะตอม
H
ที่เกาะอยู่บนอะตอม
C
ที่อยู่เคียงข้างอะตอม
C
ที่มีหมู่
-OH
เกาะอยู่
ก็จะเกิดเป็นพันธะคู่ C=C
แต่ถ้าหากอะตอม
H
นั้นมาจากหมู่
-OH
อีกหมู่หนึ่ง
ก็จะเกิดเป็นโครงสร้างอีเทอร์
(ether)
-O- ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ได้จะออกมาเป็นอะไรนั้นขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ
เช่นในกรณีของเอทานอล
ที่อุณภูมิต่ำจะได้ไดเอทิลอีเทอร์
(H5C2-O-C2H5)
แต่ถ้าเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจะได้เอทิลีน
(H2C=CH2)
(รูปที่
๒)
รูปที่
๒ ปฏิกิริยา dehydration
ของเอทานอลด้วยกรดกำมะถัน
ที่อุณหภูมิสูง (บน)
จะได้เอทิลีน
แต่ที่อุณหภูมิต่ำ (ล่าง)
จะได้ไดเอทิลอีเทอร์
กรณีที่น่าสนใจคือกรณีของสารประกอบไกลคอล
(พวกที่มีหมู่
-OH
สองหมู่ในโมเลกุลเดียวกัน)
ที่หมู่
-OH
ทั้งสองนั้นอยู่บนอะตอม
C
ที่เคียงข้างกัน
อย่างเช่นในกรณีของเอทิลีนไกลคอล
(ethylene
glycol) และโพรพิลีนไกลคอล
(propylene
glycol) ทั้งสองกรณีนั้นไม่พบการเกิดพันธะ
C=C
แต่จะเป็นการเกิดเป็นโครงสร้างอีเทอร์
-O-
เป็นหลัก
โดยถ้าเป็นการหลอมรวมกันระหว่างหมู่
-OH
ที่อยู่เคียงข้างกันของอะตอมเดียวกัน
จะกลายเป็นโครงสร้าง -O-
ที่เป็นวงที่เรียกว่า
epoxide
เกิดเป็นสารประกอบอีพอกไซด์
แต่ถ้าเกิดขึ้นระหว่างหมู่
-OH
จากสองโมเลกุลมาหลอมรวมกัน
ก็จะเกิดเป็นโมเลกุลอีเทอร์ที่ใหญ่ขึ้น
โดยที่ปลายแต่ละด้านนั้นยังคงมีหมู่
-OH
หลงเหลืออยู่
(รูปที่
๓)
รูปที่
๓ การเกิดปฏิกิริยา dehydration
ของเอทิลีนไกลคอลและโพรพิลีนไกลคอล
ผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นอาจเป็นสารประกอบอีพอกไซด์หรือโมเลกุลอีเทอร์ที่ยังคงมีหมู่
-OH
อยู่ที่ปลายสายโซ่ทั้งสองข้าง
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือการควบแน่นของหมู่
-OH
สองหมู่จากสองโมเลกุลไกลคอล
ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นยังคงมีหมู่หมู่
-OH
อยู่ที่ปลายสายโซ่ทั้งสองข้าง
และหมู่ -OH
ที่ปลายสายโซ่นี้ก็ยังสามารถเกิดปฏิกิริยา
dehydration
กับหมู่
-OH
ของโมเลกุลไกลคอลตัวใหม่ได้
กลายเป็นโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย
ๆ ได้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้เรียกว่าพอลิอีเทอร์
(polyether)
ที่มีโครงโมเลกุลประกอบไปด้วยหมู่อัลคิล
R
กับพันธะอีเทอร์
-O-
เรียงตัวสลับกันไปในรูปแบบ
...
-R-O-R-O-R-O- .... ถ้าสารตั้งต้นคือเอทิลีนไกลคอล
ผลิตภัณฑ์ทีได้ก็คือพอลิเอทิลีนไกลคอล
(polyethylene
glycol ที่ย่อว่า
PEG)
และถ้าสารตั้งต้นคือโพรพิลีนไกลคอล
ผลิตภัณฑ์ทีได้ก็คือพอลิโพรพิลีนไกลคอล
(polypropylene
glycol ที่ย่อว่า
PPG)
ไกลคอลทั้งสองตัวนี้และพอลิอีเทอร์ของไกลคอลทั้งสองตัวนี้ต่างพบได้ในส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิวที่ใช้กันทั่วไปในชีวิตประจำวัน
รูปที่
๔ ตัวอย่างสลากผลิตภัณฑ์ที่มีไกลคอลและพอลิอีเทอร์เป็นส่วนผสม
ตัวเลขที่ต่อท้ายเป็นตัวบอกขนาดของสารโซ่พอลิเมอร์
ถ้าตัวเลขมากขึ้นก็แสดงว่าเป็นพอลิเมอร์ที่ใหญ่ขึ้น
และนอกจากนี้ยังอาจมีการให้หมู่
-OH
ที่ปลายโซ่ทำปฏิกิริยาเกิดเป็นเอสเทอร์กับกรดอินทรีย์
ก็เลยมีการเพิ่มชื่อสารที่นำมาทำปฏิกิริยาต่อท้ายเข้าไปอีก
การสังเคราะห์พอลิเอทิลีนไกลคอลและพอลิโพรพิลีนไกลคอลจากเอทิลีนไกลคอลและโพรพิลีนไกลคอลนั้นมันมีข้อดีตรงที่สารตั้งต้น
(เอทิลีนไกลคอลและโพรพิลีนไกลคอล)
เป็นสารที่มีความปลอดภัยในแง่ที่มันมีเสถียรภาพ
แต่ไปมีปัญหาตรงที่มันมีน้ำเกิดขึ้นจากการทำปฏิกิริยาที่ต้องมีการกำจัดออก
ในอุตสาหกรรมนั้นมองว่าการใช้อีพอกไซด์เป็นสารตั้งต้นน่าจะดีกว่า
เพราะมีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาที่สูงกว่า
(โครงสร้างอีพอกไซด์มีความเครียดของพันธะค่อนข้างสูง
เพราะมุมพันธะค่อนข้างเล็ก
ทำให้ว่องไวในการทำปฏิกิริยา)
และยังไม่เกิดน้ำเมื่อมีการต่อโมเลกุลเข้าด้วยกัน
แต่ทั้งนี้ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้งานสารประกอบอีพอกไซด์
ด้วยการที่มันมีเสถียรภาพที่ต่ำกว่า
และการสลายตัวของมันอย่างรุนแรงก็ก่อให้เกิดอันตรายได้
แต่ถึงกระนั้นก็ตามในอุตสาหกรรมการก็ยังเลือกที่จะใช้เอทิลีนออกไซด์
(ethylene
oxide หรือบางทีเรียกย่อว่า
EO)
เป็นสารตั้งต้นในการผลิตพอลิเอทลีนไกลคอล
และใช้โพรพิลีนออกไซด์
(propylene
oxide หรือบางทีเรียกว่า
PO)
เป็นสารตั้งต้นในการผลิตพอลิโพรพิลีนไกลคอล
รูปที่
๕ จากเอทิลีนมาเป็นเอทิลีนออกไซด์และกลายเป็นพอลิเอทิลีนไกลคอล
ในอดีตนั้นเอทิลีนออกไซด์เตรียม
2-chloroethanol
โดยดึงเอาอะตอม
Cl
และอะตอม
H
ของหมู่
-OH
ออก
(แบบเดียวกับปฏิกิริยา
Williamson
synthesis ที่ใช้ในการสังเคราะห์อีเทอร์จากสารประกอบเฮไลด์กับแอลกอฮอล์
แต่คราวนี้หมู่เฮไลด์และ
-OH
นั้นอยู่บนโมเลกุลเดียวกันและอยู่เคียงข้างกัน)
แต่ในปัจจุบันในระดับอุตสาหกรรมจะสังเคราะห์เอทิลีนออกไซด์จากปฏิกิริยาการออกซิไดซ์เอทิลีนกับออกซิเจนโดยตรง
โดยมีตัวเร่งปฏิกิริยา
(เช่นที่เป็นโลหะตระกูล
Ag)
ช่วยในการเร่งปฏิกิริยา
รูปที่
๖ การสังเคราะห์โพรพิลีนออกไซด์
เส้นทางบนเป็นการสังเคราะห์ผ่านปฏิกิริยาคลอโรไฮดริน (ในความเป็นจริงจะเกิดปฏิกิริยา chlorination ร่วมด้วย) ส่วนเส้นล่างเป็นการสังเคราะห์ผ่านปฏิกิริยาการออกซิไดซ์ด้วยสารประกอบเปอร์ออกไซด์
การสังเคราะห์โพรพิลีนออกไซด์จากปฏิกิริยาระหว่างโพรพิลีนกับออกซิเจนนั้นทำได้ยากกว่า
เพราะผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นมีความว่องไวสูง
พร้อมที่จะทำปฏิกิริยาต่อกับออกซิเจนจนสลายตัวไปเป็นคาร์บอนไดออกไซด์
(แต่ปัจจุบันก็เริ่มมีการจดสิทธิบัตรกระบวนการผลิตด้วยวิธีการดังกล่าวบ้างแล้ว
คงรอแต่ว่าเมื่อใดจะสามารถออกมาเป็นกระบวนการผลิตหลัก)
การได้มาซึ่งโพรพิลีนออกไซด์จึงมาจากเส้นทางที่แตกต่างไปจากการได้มาซึ่งเอทิลีนออกไซด์
ปัจจุบันเส้นทางหลักที่ใช้ในการผลิตโพรพิลีนออกไซด์มีอยู่ด้วยกันสองเส้นทางคือ
(๑)
ผ่านทางปฏิกิริยาคลอโรไฮดริน
และ (๒)
ผ่านทางการออกซิไดซ์ด้วยสารประกอบเปอร์ออกไซด์
เส้นทางคลอโรไฮดรินนั้นเริ่มจาก
เอทิลีน คลอรีน และน้ำ
มีนอกจากจะได้โพรพิลีนออกไซด์แล้วยังมีผลิตภัณฑ์ร่วมเกิดขึ้นคือ
1,2-dichloropropane
และ
CaCl2
(มาจากหินปูนที่ใช้ในการดักจับคลอรีนและคลอไรด์)
ตัวอย่างหนึ่งของแผนผังกระบวนการผลิตแสดงไว้ในรูปที่
๗ ข้างล่าง
กระบวนการนี้แม้ว่าจะพึ่งสารตั้งต้นจากปิโตรเคมีเพียงตัวเดียว
(คือโพรพิลีน)
แต่ก็มีปัญหาคือจะทำอย่างไรกับผลิตภัณฑ์ร่วมที่เกิดขึ้นสองตัวนั้น
รูปที่
๗ กระบวนการผลิตโพรพิลีนออกไซด์ผ่านทางเส้นทางคลอโรไฮดริน
(จากบทความเรื่อง
"The
production of propylene oxide : Catalytic processes and recent
developments" โดย
T.
Alexander Nijhuis, Michiel Makkee, Jacob A. Moulijin และ
Bert
M. Weckhuysen ในวารสาร
Ind.
Eng. Chem. Res. ปีค.ศ.
2006, 45, หน้า
3447-3459)
อันที่จริงรูปที่
๗ แสดงให้เห็นปัญหาข้อหนึ่งที่ตำราเคมีอินทรีย์มักไม่กล่าวถึง
คือเวลาตำราเคมีอินทรีย์พูดถึงปฏิกิริยาฮาโลไฮดริน
ก็พูดแต่ปฏิกิรยานี้ปฏิกิริยาเดียว
โดยไม่กล่าวถึงปฏิกิริยาฮาโจนีเนชัน
(halgenation)
ที่สามารถเกิดคู่ควบได้
ในกรณีของปฏิกิริยาคลอโรไฮดรินของเอทิลีน
ก็หลีกไม่ได้ที่จะเกิดปฏิกิริยา
chlorination
ร่วมด้วย
ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น
1,2-dichloroethane
ออกมา
ส่วนจะเกิดมากน้อยเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาโดยเฉพาะอัตราส่วนของสารตั้งต้นแต่ละตัว
(ตรงนี้คงต้องขอทิ้งไว้เป็นโจทย์ให้ไปคิดกันเองเล่น
ๆ)
เส้นทางการผลิตโพรพิลีนออกไซด์ผ่านทางการใช้สารประกอบเปอร์ออกไซด์นั้นเริ่มจากการเตรียมสารประกอบเปอร์ออกไซด์ขึ้นก่อน
(คือเตรียมขึ้นเองในโรงงานแล้วก็ใช้งานเลย)
ตัวอย่างกระบวนการที่แสดงในรูปที่
๘
นั้นใช้ปฏิกิริยาการออกซิไดซ์เอทิลเบนซีนให้กลายเป็นสารประกอบเปอร์ออกไซด์ก่อน
จากนั้นจึงนำเอาโพรพิลีนมาทำปฏิกิริยากับสารประกอบเปอร์ออกไซด์ที่ได้
ผลิตภัณฑ์ที่ได้คือโพรพิลีนออกไซด์และแอลกอฮอล์
ตัวแอลกอฮอล์เองจะถูกนำไปผ่านปฏิกิริยา
dehydration
เพื่อดึงหมู่
-OH
ออกกลายเป็นสไตรีน
แม้ว่าเส้นทางนี้จะมีข้อดีกว่าเส้นทางคลอโรไฮดรินคือไม่มีปัญหาในการหาทางจัดการกับผลิตภัณฑ์ข้างเคียงที่มีปัญหาในการกำจัดมากกว่า
(1,2-dichloropropane)
แต่ก็จำเป็นต้องพึ่งพาสารตั้งต้นจากปิโตรเคมีสองตัว
แลยังต้องหาทางจำหน่ายสไตรีนที่เป็นผลิตภัณฑ์ร่วมที่เกิดขึ้นในสัดส่วนเดียวกับโพรพิลีนออกไซด์ที่ได้นั้นด้วย
แต่ถึงกระนั้นก็ตามโดยภาพรวมทำให้ในปัจจุบันกระบวนการหลังนี้เป็นที่นิยมมากกว่าเส้นทางคลอโรไฮดริน
และก็ความพยายามที่จะสังเคราะห์โพรพิลีนออกไซด์จากปฏิกิริยาการออกซิไดซ์โพรพิลีนกับออกซิเจนโดยตรงนั้นก็ยังคงอยู่
รูปที่
๘
การผลิตโพรพิลีนออกไซด์ผ่านปฏิกิริยาการออกซิไดซ์ด้วยสารประกอบเปอร์ออกไซด์
โดยในที่นี้สารประกอบเปอร์ออกไซด์ที่ใช้นั้นเตรียมจากปฏิกิริยาการออกซิไดซ์เอทิลเบนซีน
(C6H5-CH2-CH3)
(จากบทความเดียวกับรูปที่
๗)
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่อยากให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และทำความเข้าใจเมื่อผมสอนเรื่องปฏิกิริยา
dehydration
ของหมู่
-OH
โดยการยกเอาการสังเคราะห์พอลิเอทิลีนไกลคอลและโพรลิโพรพิลีนไกลคอลมาเป็นตัวอย่าง
โดยอยากให้มองเห็นภาพตั้งแต่การได้มาซึ่งสารตั้งต้น
สิ่งที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต
และการจัดการกับผลิตภัณฑ์ข้างเคียงที่เกิดขึ้น
ส่วนแผ่นใสต้นฉบับที่ใช้เป็นต้นเรื่องของบทความฉบับนี้หน้าตาเป็นอย่างไร
ก็ดูได้จากรูปที่ ๙ ในหน้าถัดไป
รูปที่
๙ หน้าตาของแผ่นใสต้นฉบับที่ใช้เป็นต้นเรื่องของบทความฉบับนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น