วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๑ MO Memoir : Saturday 17 August 2562

"พี่ ช่วยดูนี่ให้หน่อย"
 
เช้าวันหนึ่งระหว่างที่ผมจะเดินไปเอาน้ำร้อนเพื่อชงกาแฟ หัวหน้าภาควิชาที่นั่งอยู่บนบริเวณนั้นก็เรียกผม พร้อมกับยื่นกระดาษปึกหนึ่งให้ดู สิ่งที่อยู่ในกระดาษปึกนั้นคือรายชื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานทางวิศวกรรมเคมี ไม่ว่าจะเป็น ท่อ วาล์ว ปั๊ม เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน ฯลฯ แต่เมื่อพิจารณาจากรายละเอียดโครงสร้างหรือวัสดุที่ใช้ทำ (หรือเคลือบผิว) เห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างไปจากอุปกรณ์ที่ใช้กันในงานทั่วไป กล่าวคือถ้าไม่ทนต่อการกัดกร่อนสูง ก็มีการป้องกันการรั่วไหลในระดับที่สูง หรือไม่ก็ทนอุณหภูมิสูง ผมดูเสร็จผมก็ตอบกลับไปว่า
 
"จะเอาไปผลิตอาวุธเคมีเหรอ" พอตอบเสร็จแกก็ตอบกลับมาว่า
 
"พี่ดูออก งั้นพี่ช่วยไปแทนที"
 
และนั่นก็คือเหตุการณ์เมื่อช่วงต้นปี ๒๕๕๗ และทำให้ผมได้เกี่ยวข้องกับงานดังกล่าวจนถึงวันนี้ และอันที่จริงจดหมายเชิญนั้นเขาไม่ได้เชิญผมหรอก เขาเชิญหัวหน้าภาควิชาในขณะนั้นต่างหาก แต่ผมถูกส่งไปแทน ก็เลยได้อยู่ยาว และเนื่องจากกฎหมายจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ ที่กำลังจะถึง ก็เลยคิดว่าจะขอเขียนเรื่องนี้เอาไว้หน่อยกันลืม

รูปที่ ๑ จดหมายที่ทำให้ผมได้เข้าไปร่วมกับงานนี้

สินค้าที่ใช้ได้สองทาง ภาษาอังกฤษเรียกว่า "Dual-Use Items" หรือบางทีก็เรียกย่อว่า DUI หรือบางทีก็เรียกว่า "Dual Use Goods and Technologies" ซึ่งจะว่าไปแล้วผมว่าคำหลังมันทำให้คนฟังมองเห็นภาพชัดเจนกว่าว่า สิ่งนี้มันเป็นทั้งสิ่งของที่จับต้องได้ (tangible) และจับต้องไม่ได้ (intangible) ซึ่งได้แก่ ซอร์ฟแวร์ เทคโนโลยี และความรู้ ตามนิยามของมันคือ "สิ่งที่สามารถนำไปใช้ในการผลิตสินค้าในเชิงพาณิชย์ทั่วไป และสามารถใช้ในการผลิตอาวุธทำลายล้างสูงได้"
 
ทีนี้ก็มาดูว่า "อาวุธทำลายล้างสูง" หรือ "Weapon of Mass Destruction" หรือที่ย่อว่า WMD นั้นคืออะไร อาวุธในกลุ่มนี้อาวุธ นิวเคลียร์ (Nuclear), ชีวภาพ (Biological) และเคมี (Chemical) หรือที่ย่อว่า NBC สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธเหล่านี้มันครอบคลุมหลายด้านไม่ว่าจะเป็น องค์ความรู้ เทคโนโลยีการผลิตตัวอาวุธ เทคโนโลยีการผลิตระบบนำส่งอาวุธ (เช่นตัวจรวดและระบบนำร่อง) การควบคุมคุณภาพ การจำลองกระบวนการการทำงาน ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต แต่ยังครอบคลุมไปถึงวัสดุสำคัญ (เช่นวัสดุที่ทนแรงดึงสูงพิเศษ ทนอุณหภูมิสูงพิเศษ ทนการกัดกร่อนสูง ทนต่อการทำงานในสภาวะที่มีการแผ่รังสีสูง) ที่ใช้ในการผลิตเครื่องจักรเหล่านั้นด้วย
 
ปัญหามันเกิดจากการที่มีบาง "Item" (ขอใช้คำนี้โดยหมายความครอบคลุมทั้ง วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร ซอร์ฟแวร์ องค์ความรู้ ฯลฯ) ที่สามารถใช้งานได้ทั้งกระบวนการเชิงพาณิชย์ในทางสันติ และผลิตอาวุธทำลายล้างสูง มันก็เลยทำให้ประเทศผู้ผลิต Item เหล่านี้เกรงว่า ถ้ามีการส่งออกไปยังผู้รับที่คิดในทางไม่ดี แทนที่ Item เหล่านี้จะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางสันติ มันจะถูกกลับไปใช้สร้างอาวุธทำลายล้างสูงแทน ก็เลยมีการรวมกลุ่มประชุมกัน เพื่อพิจารณาว่าสินค้าใดบ้างที่ตกอยู่ในหมวดหมู่นี้ แล้วก็ทำรายชื่อออกมา โดยการพิจารณานั้นมีการแยกกลุ่ม (Regime) เป็น Australia Group (AG) ที่พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเคมีและชีวภาพ Nuclear Suppliers Group (NSG) ที่เน้นไปในส่วนของสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ และ Missile Technology Control Regime (MTCR) ที่เกี่ยวข้องกับระบบอาวุธนำวิธี ที่ต่อมาได้มีการนำรายชื่อของทั้ง ๓ กลุ่มมารวมกันในการตกลงที่เรียกว่า Wassenaar Agreement โดยมีการจัดหมวดหมู่ใหม่และแบ่งออกเป็น ๑๐ กลุ่ม (Technical category) โดยใช้เกณฑ์ทางด้านเทคนิค และมีการกำหนดหมายเลขรหัส ที่เรียกว่า EU List ดังแสดงในตารางที่ ๑ ข้างล่าง โดยในส่วนงานวิศวกรรมเคมีนั้น ก็จะอยู่ใน Category 1 และ 2 เป็นหลัก

 
ตัวอย่างเช่น ไตรเอทานอลเอมีน (Triethanol amine - N-(CH2CH2-OH)3) ที่บ้านเราเองก็มีโรงงานผลิต สารตัวนี้ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้กันในบ้านเรือน เช่น ครีมทาผิว เจลแต่งทรงผม โฟมโกนหนวด และยังเป็นสารตั้งต้นใช้ในการผลิต Nitrogen mustard ที่เป็นอาวุธเคมี ตาม EU List จะมีเลขรหัสกำกับ 1C350.46 ซึ่งมีความหมายดังนี้
 
เลข 1 : หมายถึงอยู่ใน Category 1 คือเป็นกลุ่มวัสดุพิเศษอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
 
อักษร C : หมายถึงเป็น Material หรือวัตถุดิบ
 
เลข 3 : หมายถึงรายการนี้มาจาก Australia Group (AG)
 
เลข 50 : คือกลุ่มของสารเคมีที่สามารถนำไปใช้ในการผลิตอาวุธเคมี (คือมีสารอยู่หลายตัวด้วยกัน)
 
เลข 46 ที่อยู่หลังจุดทศนิยม : คือรายการที่ 46 ของสารที่อยู่ในกลุ่มที่สามารถนำไปใช้ในการผลิตอาวุธเคมี

อีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่กรณีของไฮโดรเจนฟลูออไรด์ (Hydrogen Fluoride - HF หรือกรดกัดแก้ว เพราะมันละลายแก้วได้ รวมทั้ง SiO2 ด้วย) ที่เป็นสารเคมีตัวหนึ่งที่ทางญี่ปุ่นเข้มงวดการส่งออกไปยังเกาหลีใต้ในขณะนี้ จนเป็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างประเทศทั้งสองที่กำลังเป็นข่าวอยู่ สารตัวนี้ใช้ในการผลิตสารกึ่งตัวนำ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ใช้สำหรับผลิตอาวุธเคมีบางตัวด้วย (กลุ่มของ nerve agent หรือสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท) ตัวนี้ก็จะมีรหัส 1C350.24
 
แต่ใช่ว่าผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่มีสารเหล่านี้อยู่จะถูกควบคุมนะครับ ต้องดูหมายเหตุ (Note) ที่ให้ไว้ต่อท้ายแต่ Item ด้วย เช่นในกรณีของสารในกลุ่ม 1C350 ก็จะมีหมายเหตุประกอบ ๔ ข้อดังแสดงในรูปที่ ๒ ข้างล่าง เช่น Note 1 นั้นถ้าเป็นการส่งออกไปยังประเทศที่ไม่อยู่ในกลุ่มสนธิสัญญาอาวุธเคมี จะไม่ควบคุมถ้าความเข้มข้นไม่เกิน 10 wt% แต่ใน Note 2 นั้นให้ได้ถึง 30 wt% ถ้าเป็นการส่งออกไปยังประเทศที่อยู่ในกลุ่มสนธิสัญญาอาวุธเคมี ส่วนใน Note 4 นั้นไม่ควบคุมถ้าหากเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ใช้ในครัวเรือน

รูปที่ ๒ หมายเหตุต่อท้ายรายการสารในกลุ่ม 1C350

หรืออย่างเช่นรายการ 2B350.b.5 (ดูรูปที่ ๓ ประกอบ) "2B350" จะหมายถึงพวกอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตทางเคมี อักษร "b" หมายถึงใบพัดกวน (agitagor) ที่ใช้ควบคู่กับ vessel ในหัวข้อ 2B350.a และเลข "5" ตัวสุดท้ายหมายถึงทำจากโลหะแทนทาลัมหรือโลหะผสมของแทนทาลัม (Tantalum or tantalum alloys) แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าใบพัดกวนทั้งชิ้นต้องทำจากโลหะแทนทาลัมหรือโลหะผสมของแทนทาลัมจึงจะเข้าเกณฑ์ แม้ว่ามันจะมีเพียงเฉพาะ "พื้นผิวที่สัมผัสกับสารเคมีโดยตรง" ที่ทำจากโลหะดังกล่าว ก็จะเข้าเกณฑ์ไปด้วย

รูปที่ ๓ รายการในหมวด 2B350 เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตทางเคมี ไม่ว่าจะเป็น ท่อ วาล์ว ปั๊ม เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน ฯลฯ แต่ในรูปนี้ยกมาเพียงแค่สองรายการแรกคือตัว vessel และใบพัดกวน

แต่มันก็มีเคยกรณีอยู่เหมือนกัน ที่มีการทำให้ Item นั้น ถ้าว่ากันตามตัวอักษรแล้ว ไม่น่าจะเข้าเกณฑ์ถูกควบคุม การส่งออก ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นตัว Item นั้นเดิมที่มันมีคุณสมบัติที่อยู่ในเกณฑ์ต้องถูกควบคุม แต่ผู้ส่งออกทำการดัดแปลงบางอย่างทำให้บางคุณสมบัติไม่เข้าเกณฑ์ จะได้ส่งออกได้ง่าย โดยทางผู้รับสามารถทำให้ Item ที่ได้รับไปนั้นกลับกลายเป็นสินค้าควบคุมได้โดยง่าย ด้วยการเปลี่ยนหรือดัดแปลงเพียงเล็กน้อยต่อ Item ที่ได้รับมา ประเด็นนี้เป็นปัญหาอยู่เหมือนกันว่าจะทำการตรวจสอบและพิสูจน์ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิ่งนั้นเป็นซอร์ฟแวร์ ประเด็นนี้เอาไว้ค่อยมาเล่าในวันหลัง เพราะตอนที่ไปดูงานที่ญี่ปุ่นเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผมก็ได้ตั้งคำถามนี้กับตัวแทนจาก Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) ของประเทศญี่ปุ่นที่มาให้ความรู้ และเขาก็ได้ยกตัวอย่างกรณีหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน

สำหรับฉบับนี้คงขอเปิดตัวซีรีย์เรื่องนี้เพียงแค่นี้ก่อน ตอนต่อไปค่อยมาดูกันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราเลย เพราะกฎหมายเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับการที่ประเทศที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้จะมาลงทุนในประเทศไทย หรือการที่ไทยจะซื้อเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้งาน และยังครอบคลุมไปถึงการที่คนไทยจะไปเรียนต่อด้านที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้ในสถาบันต่างประเทศ และการที่มหาวิทยาลัยต่างประเทศจะร่วมมือทำวิจัยกับสถาบันการศึกษาในประเทศไทยด้วย ซึ่งอีกไม่นาน สถาบันการศึกษาของไทยก็ต้องมีการออกมาตรการรองรับเรื่องนี้เช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น: