กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมีนั้นมีความต้องการทั้งการทำให้สิ่งที่เย็น
(มีอุณหภูมิต่ำ)
ร้อนขึ้น
และทำให้สิ่งที่ร้อน
(มีอุณหภูมิสูง)
เย็นลง
ถ้าสามารถนำความร้อนจากสิ่งที่ร้อน
(ที่ต้องการทำให้เย็นตัวลง)
ถ่ายถอดให้กับสิ่งที่เย็นกว่า
(ที่ต้องการทำให้ร้อนขึ้น)
ได้มากเท่าใด
ก็จะสามารถประหยัดพลังงานที่ต้องใส่เพิ่มเติมเข้าไปในกระบวนการผลิตได้มากเท่านั้น
คุณค่าของความร้อนนั้นขึ้นอยู่กับ
"อุณหภูมิ"
เป็นหลัก
เนื่องจากปริมาณความร้อนคือผลคูณของค่า
mcp(T-Tref)
เมื่อ
m
คือมวล
cp
คือค่าความจุความร้อน
และ T
คืออุณหภูมิ
ที่ปริมาณความร้อนเท่ากัน
ปริมาณความร้อนจากสิ่งที่มีค่า
m
ต่ำแต่
T
สูง
จะใช้ประโยชน์ได้มากกว่าปริมาณความร้อนจากสิ่งที่มีค่า
m
สูงแต่ะ
T
ต่ำ
เพื่อให้การดึงเอาความร้อนกลับทำได้มากที่สุด
หลักการโดยทั่วไปของการแลกเปลี่ยนความร้อนคือจะพยายามไม่จับคู่ระหว่างสายร้อนกับสายเย็นที่มีอุณหภูมิต่างกันมาก
(เช่นจะไม่เอาสายร้อนที่มีอุณหภูมิ
500ºC
มาให้ความร้อนแก่สายเย็นที่มีอุณหภูมิ
100ºC
แต่จะพยายามเอาสายร้อนที่มีอุณหภูมิ
500ºCนี้มาถ่ายเทความร้อนให้กับสายที่มีอุณหภูมิ
350-400ºC
ที่ต้องการทำให้ร้อนขึ้น
และนำเอาสายร้อนที่มีอุณหภูมิ
150-200ºC
ที่ต้องการทำให้เย็นตัวลง
มาถ่ายเทความร้อนให้กับสายเย็นที่มีอุณหภูมิ
100ºC
และพยายามจับคู่ในทำนองนี้ไปเรื่อย
ๆ (ถ้าทำได้)
แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่เราจำเป็นต้องการทำให้สายร้อนนั้นเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วจนมีอุณหภูมิต่ำด้วยเหตุผลบางประการ
เช่น ต้องการลดอุณหภูมิเพื่อหยุดยั้งการเกิดปฏิกิริยา
จากที่เล่ามาก่อนหน้านี้
แก๊สร้อนที่ออกจาก pyrolysis
heater ที่มีอุณหภูมิในช่วง
700-1000ºC
จะถูกลดอุณหภูมิให้ต่ำลงอย่างรวดเร็วที่
transfer
line exchanger (TLE) จนมีอุณหภูมิเหลือประมาณ
300-400ºC
ความร้อนที่ดึงออกไป
ณ ที่นี้ถูกนำไปใช้ในการผลิตไอน้ำความดันสูง
เพื่อที่จะหยุดปฏิกิริยาข้างเคียงที่ไม่ต้องการ
(ที่ยังสามารถเกิดขึ้นได้อยู่)
ในแก๊สที่ออกมาจาก
transfer
line exchanger
จึงจำเป็นต้องลดอุณหภูมิแก๊สร้อนดังกล่าวให้ลดต่ำลงอย่างรวมเร็ว
และวิธีการที่ใช้กันก็คือให้แก๊สร้อนดังกล่าว
"สัมผัสโดยตรง"
กับน้ำในอุปกรณ์ที่เรียกว่า
quench
tower
quech
tower มีลักษณะเป็นหอสูงวางตั้งในแนวดิ่ง
แก๊สร้อนไหลเข้าทางด้านล่างขอหอขึ้นสู่ด้านบน
ในขณะที่มีการป้อนน้ำระบายความร้อนจากทางด้านบนให้ไหลลงล่างสวนทางกับการไหลของแก๊สร้อน
เพื่อให้มีการสัมผัสกันที่ดีระหว่างแก๊สร้อนและน้ำระบายความร้อน
ภายใน quench
tower จึงติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเพิ่มพื้นที่การสัมผัส
โดยอาจเป็น tray
หรือ
packing
ก็ได้
(ขึ้นอยู่กับการออกแบบ)
รูปแบบใน
diagram
ต่าง
ๆ ที่นำมาแสดงในที่นี้เป็นรูปแบบ
tray
(ถ้าสงสัยว่าหน้าตาของ
tray
เป็นอย่างไรนั้น
ขอให้ย้อนกลับไปดู Memoir
ปีที่
๗ ฉบับที่ ๙๑๕ วันเสาร์ที่
๓ มกราคม ๒๕๕๘ เรื่อง
"ทำความรู้จักหน้าตา
Tray
หอกลั่น"
ซึ่งสำหรับ
quench
tower แล้วมันก็เป็นแบบเดียวกัน
เพียงแต่จะเลือกใช้หน้าตาแบบไหนเท่านั้นเอง)
รูปที่
๑ เป็นภาพรวมทั่วไปของ quench
water system ส่วนรูปที่
๒ และ ๓ นั้นเป็น process
flow diagram (PFD) ของกระบวนการ
ตรงนี้ขอทบทวนนิดนึงว่า
ตรง transfer
line exchanger นั้นเราไม่ต้องการให้แก๊สร้อนเกิดการควบแน่นที่นั่น
แต่ที่ quench
tower นี้
เราต้องการให้ทุกตัวที่ควบแน่นได้เกิดการควบแน่นให้ได้มากที่สุด
รูปที่
๒ Process
Flow Diagram (PFD) ของ
Quench
water system
เมื่อแก๊สร้อนสัมผัสกับน้ำเย็นที่
quench
tower องค์ประกอบที่ควบแน่นได้ในแก๊สก็จะควบแน่นออกมาเป็นของเหลว
ซึ่งได้แก่ไอน้ำ (ที่ป้อนเข้าไปก่อนเข้า
pyrolysis
heater) ที่ควบแน่นและรวมตัวเข้ากับน้ำระบายความร้อน
ไฮโดรคาร์บอนหนัก (ตั้งแต่
C5
ขึ้นไป)
ที่จะควบแน่นและลอยอยู่บนผิวหน้าน้ำที่อยู่ทางด้านล่างของ
quench
tower (รูปที่
๒ ในกรอบสีชมพู)
หรือใน
settling
drum (รูปที่
๑)
นอกจากนี้ในชั้นน้ำก็ยังมีไฮโดรคาร์บอนบางส่วนละลายเข้าไปปนอยู่
และในชั้นไฮโดรคาร์บอนเองก็ยังมีไฮโดรคาร์บอนเบาพวก
C3-C4
ละลายปนอยู่ด้วยบางส่วน
รูปที่
๓ Process
Flow Diagram (PFD) ของ
Quench
water system (ต่อ)
โรงงานผลิตเอทิลีนเป็นโรงงานที่มีช่วงอุณหภูมิการทำงานที่กว้าง
กล่าวคือมีการทำงานที่อุณหภูมิสูงแตะระดับ
1000ºC
ที่
pyrolysis
heater ไปจนถึงระดับที่ต่ำประมาณ
-100ºC
ที่หน่วยกลั่นแยกไฮโดรคาร์บอนเบา
แก๊สที่มาจาก transfer
line exchanger
นั้นมีอุณหภูมิสูงในขณะที่น้ำรับความร้อนนั้นมีอุณหภูมิต่ำ
ดังนั้นเพื่อที่จะไม่ให้น้ำรับความร้อนนั้นเดือดกลายเป็นไอไปหมด
ปริมาณน้ำที่ป้อนเข้ามาจึงต้องมากเพื่อที่จะรับความร้อนจากแก๊สร้อนได้โดยไม่เดือด
น้ำร้อนที่เกิดขึ้นที่
quench
tower
นี้สามารถนำไปใช้ให้ความร้อนให้กับกระบวนการกลั่นแยกไฮโดรคาร์บอนที่ทำงานอุณหภูมิที่ต่ำกว่าได้
ในตัวอย่างที่นำมาแสดงนี้
น้ำรับความร้อนส่วนใหญ่ป้อนเข้าที่ตำแหน่ง
tray
ที่
6
แต่แก๊สที่ผ่านพ้น
tray
ที่
6
นี้ไปก็ยังมีไอน้ำบางส่วนปะปนอยู่
ไอน้ำที่ปะปนอยู่นี้จะเพิ่มปริมาตรการไหลของแก๊สที่ส่งต่อไปยังคอมเพรสเซอร์
ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระการทำงานของคอมเพรสเซอร์
และยังก่อให้เกิดปัญหาการควบแน่นขึ้นที่คอมเพรสเซอร์ด้วย
ดังนั้นเพื่อที่จะลดปริมาณไอน้ำนี้
จึงมีการป้อนน้ำระบายความร้อนที่เย็นกว่าเข้าที่
tray
ที่
1
เพื่อควบแน่นไอน้ำในแก๊สออกมาอีก
ในรูปที่ ๒ นั้นน้ำที่ป้อนเข้าที่
tray
6 มีอุณหภูมิ
55ºC
ในขณะที่น้ำที่ป้อนเข้า
tray
1 มีอุณหภูมิ
39ºC
(ถ้าจะให้ดีควรต่ำสัก
36ºC
หรือต่ำลงไปอีกถ้าหากทำได้)
แก๊สที่ออกจากทางด้านบนของ
quench
tower ยังมีโอกาสที่จะเกิดการควบแน่นได้ในระหว่างทาง
ถ้าหากระบบท่อมีจุดที่ของเหลวสามารถสะสมได้
(เช่นมีบริเวณที่เป็นรูปตัว
U
ลงล่าง)
ของเหลวที่สะสมจนปิดการไหลของแก๊สจะส่งผลให้ความดันใน
quench
tower เพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ของเหลวสะสมจนเกิดการอุดตันการไหล
การออกแบบการเดินท่อด้านขาออกในการทำงานจรึงจึงต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย
(ในรูปที่
๔ จะมีเขียนไว้ว่า "Do
not pocket") ของเหลวที่เกิดการควบแน่นนี้จะถูกแยกออกจากแก๊สที่
compresser
suction drum ที่เป็นหน่วยแยกของเหลวออกจากแก๊สก่อนส่งเข้าคอมเพรสเซอร์
นอกจากนี้ในแก๊สยังมีแก๊สกรดเช่น
H2S
และ
SO2
ที่เกิดจากสารประกอบกำมะถันในวัตถุดิบและ
CO2
ที่เกิดจากปฏิกิริยาข้างเคียง
แก๊สเหล่านี้เมื่อละลายน้ำจะทำให้ค่า
pH
ของน้ำลดต่ำลง
(คือกลายเป็นกรด)
เกิดการกัดกร่อนอุปกรณ์ได้
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีการสะเทินกรดที่เกิดขึ้นด้วยการเติมเบสเข้าไป
ในรูปที่ ๑ นั้นใช้การเติม
NH3
ในขณะที่ในรูปที่
๒ นั้นใช้การเติมสารละลาย
NaOH
(ตรงที่เขียนว่า
corrosion
inhibitor) ค่า
pH
ที่เหมาะสมของน้ำจะอยู่ระหว่าง
6-7
ที่ค่า
pH
ต่ำกว่านี้จะเกิดการกัดกร่อน
และที่ค่า pH
สูงเกินกว่านี้มีแนวโน้มจะทำให้น้ำและน้ำมันรวมตัวกันเป็นอีมัลชัน
ทำให้แยกออกจากกันได้ยากหรือแยกออกจากกันไม่ได้
การไล่ไฮโดรคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำทำได้ด้วยการให้ความร้อนแก่น้ำนั้น
เช่นด้วยการฉีดไอน้ำลงไปในน้ำดังกล่าวที่หอ
process
water stripper และในทำนองเดียวกันการไล่ไฮโดรคาร์บอนเบา
(พวก
C3-C4)
ออกจากไฮโดรคาร์บอนหนัก
(ตั้งแต่
C5
ขึ้นไป)
ก็ทำได้ด้วยการให้ความร้อนแก่ไฮโดรคาร์บอนนั้น
(ในรูปที่
๑ ใช้การให้ความร้อนผ่านเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนที่ด้านล่างของหอ
gasoline
stripper ไม่ได้ใช้การฉีดไอน้ำเข้าไปโดยตรง
ทั้งนี้คงเป็นเพราะไม่ต้องการให้มีหน่วยแยกน้ำและน้ำมันเพิ่มเข้ามาอีก
และไม่ต้องการมีปัญหาเรื่องการแยกน้ำมันออกจากน้ำเพิ่มเข้ามาอีก)
quench
tower
เป็นหน่วยที่ตั้งอยู่ระหว่างสองหน่วยที่ต้องการความดันในการทำงานแตกต่างกัน
pyrolysis
heater
นั้นต้องการความดันในการทำงานที่ต่ำเพื่อให้ปฏิกิริยาดำเนินไปข้างหน้าได้มากขึ้น
ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องทำให้ความดันที่
quench
tower ต่ำเท่าที่จะต่ำได้เพื่อให้แก๊สไหลผ่าน
pyrolysis
heater ได้ง่ายที่ความดันต่ำ
ส่วนคอมเพรสเซอร์นั้นต้องการความดันแก๊สขาเข้าที่สูงพอ
(ยิ่งสูงยิ่งดี)
เพื่อที่จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานได้ดี
(ไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องการเกิด
surging)
ดังนั้นแก๊สที่ออกมาจาก
quench
tower
จึงควรที่ต้องมีความดันที่สูงพอที่ทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานได้ราบลื่น
ในรูปที่ ๑ นั้นจึงมีสาย
Fuel
gas vacuum breaker ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดสุญญากาศในระบบ
quench
tower
ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เสียหายถ้าเกิดสุญญากาศในระบบ
แต่ยังช่วยป้องกันไม่ให้ความดันในระบบต่ำเกินไปจนคอมเพรสเซอร์ไม่สามารถทำงานได้
(ในรูปที่
๔ ก็มีระบบนี้เช่นเดียวกัน
คือมีสาย purge
gas สองสายเข้าตรงกลางหอ
quench
tower)
อีกจุดหนึ่งที่อยากให้สังเกตคือตรงด้านล่างของ
quench
tower ในรูปที่
๔ ในกรอบสีชมพูที่มีการกำหนดความสูงของก้นหอจากพื้น
น้ำระบายความร้อนที่ลงมาถึงก้นหอจะมีอุณหภูมิสูง
ใกล้จุดเดือด
ดังนั้นจะเดือดได้ง่ายถ้าความดันน้ำที่ทางเข้าปั๊มมีไม่มากพอ
(ค่า
Net
Positive Suction Head หรือ
NPSH
ไม่มากพอ)
เพื่อที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวจึงจำเป็นที่ต้องให้ระดับผิวบนของของเหลวอยู่สูงจากทางเข้าปั๊มมากพอ
จะทำให้ความดันของเหลว ณ
ทางเข้าปั๊มนั้นสูงพอที่จะกดของเหลวเอาไว้ไม่ให้เกิดการเดือดในปั๊ม
รูปที่
๔ ตัวอย่าง Piping
& Instrumental Diagram (P&ID) ของ
Quench
water system
เรื่องการปั๊มของเหลวอุณหภูมิที่จุดเดือดหรือใกล้จุดเดือดนี้เคยเล่าไว้ครั้งหนึ่งแล้วใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๔๑ วันอาทิตย์ที่
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เรื่อง
"ปั๊มหอกลั่น"
ซึ่งก็ประสบกับปัญหาแบบเดียวกัน
รูปที่
๕ ตัวอย่าง Piping
& Instrumental Diagram (P&ID) ของ
Quench
water system (ต่อ)
ฉบับนี้คงต้องจบลงเพียงแค่นี้
ตอนต่อไปจะเป็นเรื่องของคอมเพรสเซอร์แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น