เช้าวันพุธที่
๔ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๕๕๕
เกิดเพลิงไหม้ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก
จุดที่เกิดไฟไหม้ (อิงจากรูปข้างล่าง)
เป็นหอที่ไม่ได้มีการใช้งาน
(Secondary
tower ที่ในรูปมีคำว่า
Idle
กำกับอยู่))
ที่อยู่ติดกับ
Gas
oil stripper ที่อยู่ใกล้กับหอกลั่นน้ำมันดิบ
(atmospheric
column)
เนื่องจาก
Secondary
tower ไม่มีการใช้งาน
จึงมีการติดตั้ง "Blind
flange" ปิดกั้นการเฃื่อมต่อระหว่าง
Secondary
tower กับ
Gas
oil stripper แต่แผ่น
"Blind
flange" ดังกล่าวเกิดการผุกร่อนแบบ
"ตามด"
(หรือ
pitting
คือเนื้อโลหะผุกร่อนแบบเป็นรูเล็กที่ลึกลงไปในเนื้อโลหะจนทะลุเนื้อโลหะได้)
ทำให้มีน้ำมันส่วนหนึ่งรั่วไหลเข้าไปสะสมอยู่ใน
Secondary
tower ก่อนเกิดการจุดระเบิดด้วยสาเหตุที่ไม่สามารถระบุได้แน่ชัด
ในคลิปวิดิทัศน์ใช้คำว่า
"Blind
flange" หรือที่ภาษาไทยมีผู้แปลว่า
"หน้าแปลนตาบอด"
ที่ใช้สำหรับปิดปลายท่อ
แต่ฟังจากเหตุการณ์ที่มีการรั่วไหลจาก
Gas
oil stripper เข้าไปใน
Secondary
tower ได้นั้น
แสดงว่าระหว่าง tower
ทั้งสองยังมีท่อเชื่อมต่อถึงกัน
(ไม่มีการถอดท่อเชื่อมต่อระหว่าง
tower
ทั้งสองออกไป)
ประเด็นที่น่าตั้งคำถามก็คือ
จากการที่ในคลิปวิดิทัศน์กล่าวถึงว่าถ้าหากมีการเคลื่อนย้ายตัว
Secondary
tower ที่ไม่มีการใช้งานออกไป
เหตุการณ์นี้ก็คงจะไม่เกิด
คำถามก็คือที่ไม่มีการย้ายเอาตัว
Secondary
tower ออกไปเป็นเพราะว่า
"เขาคิดว่าไม่จำเป็น"
หรือว่า
"มันไม่สามารถย้ายออกไปได้"
รูปที่
๑ สไลด์ประกอบการบรรยายเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงกลั่นน้ำมันบางจาก
แต่ก่อนอื่นสำหรับผู้ที่กำลังศึกษาอยู่
เรามาทำความรู้จักกับ "Blind
flange" กับ
"Blind
plate" ก่อนดีไหมครับ
การตัดการเชื่อมต่อระหว่างระบบหรือตัวอุปกรณ์
(ที่มักเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า
"Isolation")
มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้
process
fluid
ไหลจากหน่วยผลิตที่กำลังทำงานอยู่เข้าไปในหน่วยผลิตที่ไม่ได้ใช้งาน
(เช่นอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุงหรือเลิกใช้งานแล้ว
แต่ยังไม่มีการรื้อถอนออกไป)
วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการถอดท่อเชื่อมต่อระหว่างหน่วยทั้งสองออก
แล้วปิดปลายเปิดของท่อนั้นด้วย
Blind
flange (รูปที่
๒ ซ้าย)
แต่ก็มีอยู่หลายกรณีเช่นกันที่การตัดการเชื่อมต่อนั้นมีการกระทำกันบ่อยครั้งหรือเพื่อการซ่อมบำรุง
ในกรณีเช่นนี้ก็อาจไม่ถอดท่อเชื่อมต่อระหว่างระบบที่ทำงานอยู่และระบบที่ปิดการทำงาน
(คือบางทีมันก็อาจไม่มีจุดที่จะถอดชิ้นส่วนท่อออกมาได้)
แต่จะใช้วิธีสอดแผ่นโลหะที่เรียกว่า
Blind
plate แทรกเข้าไประหว่างหน้าแปลน
(ถ้ามันมีที่ว่างมากพอให้แทรกนะ)
และใช้แรงกดจากหน้าแปลนทั้งสองข้างของ
Blind
plate นั้นยึดตัว
Blind
plate ให้อยู่ในตำแหน่ง
(รูปที่
๒ ขวา)
รูปที่
๒ (ซ้าย)
ท่อเชื่อมระหว่าง
Vessle
A และ
Vessel
B ถูกถอดออกเพื่อตัดการเชื่อมต่อระหว่าง
Vessel
ทั้งสอง
ดังนั้นต้องปิดหน้าแปลนที่เปิดอยู่นั้นด้วย
Blind
flange (ขวา)
ท่อเชื่อมระหว่าง
Vessle
A และ
Vessel
B ไม่ถูกถอดออก
การตัดการเชื่อมต่อระหว่าง
Vessel
ทั้งสองทำโดยการสอดแผ่น
Blind
plate แทรกเข้าไประหว่างหน้าแปลน
ในกรณีนี้ถ้าหากแผ่น Blind
plate มีรูรั่ว
ตัว process
fluid ก็จะไหลจาก
Vessel
หนึ่งไปยังอีก
Vessel
หนึ่งได้
"Stripper"
เป็นหอกลั่นขนาดเล็ก
ไว้ควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากตัวหอกลั่นหลัก
โดยทำหน้าที่ไล่องค์ประกอบที่มีจุดเดือดต่ำเกินไป
(หรือเบาเกินไป)
ออกจากผลิตภัณฑ์
ตัวอย่างเช่นผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลที่ออกจากหอกลั่นหลักก็อาจให้ไหลเข้า
Diesel
stripper ก่อน
โดยน้ำมันดีเซลจะไหลเข้าทางด้านบนลงสู่ด้านล่าง
(ผ่าน
packing
ต่าง
ๆ ที่บรรจุอยู่ภายใน)
และมีการฉีดไอน้ำเข้าทางด้านล่างไหลสวนทางขึ้นไปด้านบนเพื่อไล่องค์ประกอบเบา
(เช่นน้ำมันก๊าดหรือเบนซิน)
ที่ปนเข้ามาในน้ำมันดีเซลนั้นออกไป
ในบางกรณีนั้นแทนที่จะออกแบบ
column
2 คอลัมน์แยกจากกัน
ก็อาจออกแบบให้เรียงซ้อนกันสูงขึ้นไป
โดยฝาครอบปิดส่วนก้นของ
column
ตัวบนจะทำหน้าที่เป็นฝาครอบปิดส่วนบนของ
column
ตัวล่างด้วย
(ดูรูปที่
๒ ประกอบ)
ในบางงานนั้นความร้อนจากไอที่ระเหยขึ้นมาของ
column
ตัวล่างจะทำหน้าที่เป็นตัวให้ความร้อนแก่ของเหลวที่อยู่ทางด้านล่างของ
column
ตัวบน
ตัวอย่างเช่นในกรณีของ
Kerosene
stripper/Diesel stripper ในรูปที่
๑ นั้น (ถ้าในความเป็นจริงมันมีโครงสร้างแบบนี้)
ไอร้อนที่ระเหยขึ้นมาจากตัว
Diesel
stripper จะสูญเสียความร้อนให้กับน้ำมันก๊าดที่อยู่ด้านล่างของ
Kerosene
stripper
ทำให้ไอน้ำมันดีเซลที่ระเหยขึ้นไปนั้นควบแน่นเป็นของเหลวกลับลงมา
(แทนที่จะไหลเข้าไปในหอกลั่นหลัก)
ความร้อนที่น้ำมันก๊าดที่เป็นของเหลวที่อยู่ที่ก้นหอ
Kerosene
stripper ได้รับก็จะช่วยระเหยน้ำมันเบนซินที่ปะปนอยู่
(ถ้ามี)
ให้ระเหยออกไป
(ช่วยประหยัดไอน้ำที่ต้องฉีดไล่น้ำมันเบนซิน)
ในกรณีเช่นนี้ถ้าไม่ต้องการใช้
column
ตัวบน
ก็คงต้องใช้วิธีการถอดท่อที่ก้นหอ
column
ตัวบนออกและใช้
Blind
flange ปิดเอาไว้
(รูปที่
๓)
รูปที่
๓
ตัวอย่างของหอสองหอที่ซ้อนกันอยู่โดยสร้างรวมกันเป็นหน่วยเดียวกัน
ในกรณีเช่นนี้ถ้าไม่ต้องการใช้
column
ตัวบนก็อาจทำการถอดท่อสีแดงออก
แล้วปิดปลายเปิดของท่อนั้นเอาไว้ด้วย
Blind
flange
ในการลุกไหม้ของเชื้อเพลิงนั้นอย่างแรกจำเป็นต้องมีส่วนผสมที่พอเหมาะระหว่างเชื้อเพลิงกับสารออกซิไดซ์ก่อน
ซึ่งในกรณีของการเกิดเพลิงไหม้ส่วนใหญ่นั้นสารออกซิไดซ์ก็คือออกซิเจนในอากาศ
จากนั้นถ้ามีแหล่งพลังงานที่มีพลังงานสูงมากพอมากระตุ้น
ส่วนผสมนั้นก็จะเกิดการระเบิดหรือลุกติดไฟได้
แหล่งพลังงานที่เราคุ้นเคยกันในชีวิตประจำวันได้แก่เปลวไฟหรือประกายไฟ
แต่ในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นยังมีเรื่องของ
"อุณหภูมิที่สูงมากพอ"
เข้ามาเกี่ยวข้องอีก
กล่าวคือส่วนผสมระหว่างเชื้อเพลิงและอากาศสามารถที่จะเกิดการระเบิดและลุกติดไฟได้เองแม้ว่าจะไม่มีเปลวไฟหรือประกายไฟมากระตุ้น
ถ้าหากส่วนผสมนั้นมีอุณหภูมิสูงมากพอ
เช่นเกิดจากการถูกอัดให้มีความดันสูงขึ้นเช่นในกรณีของเครื่องยนต์ดีเซล
หรือสัมผัสกับพื้นผิวที่มีอุณหภูมิสูงมากพอ
อุณหภูมิที่สูงมากพอนี้เราเรียกว่า
"Autoignition
temperature"
ตัวอย่างเช่นน้ำมันก๊าดหรือน้ำมันดีเซลที่มี
Autoignition
temperature อยู่ที่ประมาณ
200-250ºC
ถ้าไอผสมของเชื้อเพลิงเหล่านี้กับอากาศสัมผัสกับพื้นผิวที่มีอุณหภูมิระดับ
250ºC
(เช่นพื้นผิวท่อไอน้ำ)
ไอผสมนี้ก็จะเกิดการระเบิดและลุกติดไฟได้เอง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและโครงสร้างที่แท้จริงของอุปกรณ์นั้นเป็นอย่างไร
ผมคงไม่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องแน่นอนได้
บทความนี้เพียงแค่ต้องการบันทึกข้อมูลที่ได้รับฟังมาว่าได้เกิดอะไรขึ้น
และต้องการใช้เป็นตัวอย่างเพื่อชี้ให้เห็นถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดและแนวทางป้องกัน
ที่ใครก็ตามเมื่อได้รับฟังข้อมูลใด
ๆ
ควรที่จะตั้งสติและใช้ความรู้ที่มีอยู่นั้นพิจารณาความสมเหตุสมผลของข้อมูลที่ได้รับมา
ไม่หลงเคลิ้มไปกับเทคนิคการนำเสนอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน
ที่มีการเน้นเรื่องเทคนิคการนำเสนอเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้รับฟังนั้นมีเวลาคิดหรือเปิดโอกาสให้คิดเป็นอย่างอื่น
เช่นด้วยการกำหนดเวลาการนำเสนอที่สั้นโดยไม่มีเวลาให้ซักถามมากนัก
คลิปการบรรยาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น